เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 70.2
ในขณะเดียวกันนั้นเองเหยียลี่ว์ฉีที่เดิมทีเข้าสู่ภายในรถตระเตรียมจะจากไป หันกายมองไปทางปากตรอก
บนชายคาบ้านมืดมิดแถวหนึ่งเบื้องหน้า พลันมีเงาร่างปานนกตัวใหญ่เฉียดผ่าน เจ้าผู้หนึ่งตะโกนว่า “เฮ้ยๆ! บ้าเอ้ยเหตุใดยังมีอีกคันหนึ่ง! หยุดนะ! อาตมาบอกให้หยุด!”
ในเสียงตะโกนมีเสียงกุกกักดังขึ้น รถม้าคันหนึ่งแล่นตะบึงเข้ามา
ราษฎรที่กำลังเดินกระจัดกระจายกันสองสามคน ยามนี้ได้ยินเสียงรถม้าโลดแล่นเช่นนี้ ต่างมีปฏิกิริยาตอบกลับเพียงหนึ่งเดียวคือหันมองอย่างตกตะลึง
รถม้าสีดำเทาที่เปรียบเสมือนโลงศพเปลวเพลิงก่อนหน้านี้! ปรากฏอีกหนึ่งคัน!
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ รถม้าในคราวนี้เปิดโล่ง มองเห็นภายในได้รำไร คล้ายมีคนผู้หนึ่งถูกกดถ่างแข้งถ่างขาบนผนังรถ บริเวณลำคอมีแสงประกายผืนหนึ่ง
นี่คือสิ่งที่ราษฎรส่วนใหญ่มองเห็นได้ในระหว่างเร่งรีบ
ส่วนกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉี นัยน์ตากะพริบวูบด้วยแสงดุร้าย
พวกเขามองเห็นผู้อยู่ภายในรถได้อย่างชัดเจน
คือจิ่งเหิงปัว!
ผู้ที่จับตัวนางไว้กลับกลายเป็นซังต้ง หัวเราะคิกๆ ไปพลาง มีดคมเล่มหนึ่งค้ำบริเวณลำคอของจิ่งเหิงปัวไว้
“ขวางรถคันนั้นไว้!” กงอิ้นตวาดแล้วกระโจนขึ้นไป
“หยุดนะ!” เสียงแหลมคมของซังต้งแว่วมาว่า “ผู้ใดขยับเขยื้อน มีดข้าจะกดลงไปโดยพลัน!”
ผู้คนเต็มถนนใหญ่ยืนแน่นิ่ง เรือนร่างของกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีที่เหินขึ้นมาแล้วลงพื้นโดยพลัน พระปลอมที่ยังเหินไล่ตามรถม้าพลันล้มหัวทิ่ม
“หยุดไว้!” กงอิ้นออกคำสั่งโดยพลัน
ทุกผู้คนยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม จ้องมองรถม้าคันนั้น แล่นผ่านปากทางปานลมเหินไปทางทิศใต้ของเมืองแล้ว
เหล่าราษฎรเพิ่งถอนใจเฮือกหนึ่ง…รถม้าแห่งความตายคันนี้กลับไม่ได้เลือกระเบิดตัวเองที่ตรอกหลิวหลี!
ทว่าพริบตาต่อมาดวงใจของพวกเขาถูกกระชากอีกครั้ง
พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะบ้าคลั่งและเสียงเตือนแหลมคมที่แว่วออกมาจากในรถม้า
“กงอิ้น ต่อไปพวกเราจะไปตำหนักอวี้จ้าว เจ้าจะมาหรือไม่?”
“รถม้าของพวกเราจะพุ่งชนหน้าตำหนักอวี้จ้าว ได้ให้ราชินีพุ่งชนไปด้วยกัน นับว่าโชคดีทั้งสามชาติเสียจริง”
“กงอิ้น หากเจ้ารีบกลับไปเชือดคอปลิดชีพตนเองหน้าตำหนักอวี้จ้าวล่วงหน้า พวกเรามองเห็นซากศพของเจ้าแล้ว อาจจะโยนราชินีออกมาก่อนก็เป็นได้นะ ทว่าเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น เชื่อหรือไม่ แล้วแต่เจ้าละกัน”
“หากสิ่งที่มองเห็นเบื้องหน้าตำหนักอวี้จ้าวมิใช่ซากศพของเจ้า ทว่าเป็นกองทัพ เช่นนั้นสิ่งที่โยนออกมาจะเป็นเพียงซากศพของราชินี”
“หากมีผู้ใดกล้าจู่โจมขัดขวางตลอดเส้นทางนี้ สิ่งที่โยนออกมาจะเป็นเพียงซากศพของราชินีเช่นกัน”
“พวกเจ้าคอยดูเถิดฮ่าๆๆ”
…
ตรอกหลิวหลีเงียบสงัดไปชั่วครู่
ก่อเหตุใต้รักแร้ คาดคิดไม่ถึง
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากเหตุการณ์มากมายหลายหลากสงบลง สุดท้ายยังมีรถม้าแห่งความตายอีกคันหนึ่งนี้!
ทุกผู้คนมองไปทางกงอิ้น
เงาคนสวมอาภรณ์ขาวดุจหิมะ คล้ายไม่มีความประหลาดใจใดแลไม่มีความลังเลใด เรือนร่างเฉียดผ่านเพียงครั้ง เหินออกไปอย่างแผ่วเบาตามทิศทางของรถม้า
ทุกคนมองดูเงาด้านหลังที่สูญสลายไปของเขาอย่างมึนงง จากนั้นส่งเสียงเซ็งแซ่ในทันใดดุจตื่นฟื้นขึ้นจากความฝัน
“เกิดเรื่องใดขึ้น!”
“ราชินีถูกจับตัวไปแล้ว!”
“รถม้านี้คล้ายรถม้าเมื่อครู่ ผู้บงการหลังม่านปรากฏกายแล้วเป็นแน่ คงโกรธเกลียดราชินีที่ทำลายแผนการของเขา จึงฉวยโอกาสยามพวกเราต่างไม่ระวังจับตัวราชินี”
“โอ้สวรรค์ เงื่อนไขนั้นเมื่อครู่…มิใช่ว่าทำอย่างไรต่างต้องตายหรือ?”
“ยามนั้นเหตุใดพวกเราถึงไม่หันกลับไปมองดู!”
“มิต้องเอ่ยให้มากความแล้ว ราชินีถูกจับตัวไปด้วยเพราะพวกเรา ไม่อาจไม่สนใจ เหล่าชาวบ้าน ตามไป!”
“ไล่ตามไป! พวกเราคนเยอะ คนเหล่านั้นอาจจะเห็นแล้วกลัว ปล่อยตัวราชินี”
“ไป!”
เอ่ยว่าไปก็ไป เหล่าราษฎรที่เมื่อครู่ยังกระจัดกระจายตระเตรียมกลับบ้านพักผ่อนถลกแขนเสื้อขึ้น ก้าวเท้าก้าวใหญ่ ปะปนเข้าสู่ฝูงชน ผู้ชราค้ำไม้เท้า สตรีทิ้งตะกร้า เหล่าพ่อค้าโยนข้าวของ ผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่กำลังรีบตามหมอหลวงมาพันแผลตรงริมทางผลักหมอหลวงออกแล้วตามไปด้วย
“เฮ้ๆ แผลของเจ้ายังพันไม่เสร็จ…”
“ชีวิตคนสำคัญเทียมฟ้า!”
ผู้บาดเจ็บทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วรีบร้อนวิ่งเข้าสู่ฝูงชน ฝูงชนที่ไล่ตามมายิ่งรวมกันมากยิ่งขึ้น ต่อแถวออกไปจากตรอกหลิวหลีคลาคล่ำมากมายไม่มีสิ้นสุด ค่อยๆ ครอบคลุมเส้นลมปราณทั่วทั้งตี้เกอ
ผู้ที่ถูกทำให้ตกใจนับไม่ถ้วนวิ่งออกมาจากในบ้าน สอบถามอย่างตื่นตระหนกว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?”
หลังจากฟังผู้อยู่ในฝูงชนเอ่นเรื่องราวเมื่อครู่ แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ร้องว่า “อำมหิตเกินไปแล้ว! ข้าไปกับพวกเจ้าด้วย!”
ฝูงชนเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง ขบวนทัพยิ่งยาวมากขึ้น แถวหน้าสุดถึงฉังจิ่งแล้ว แถวหลังตรงตรอกหลิวหลียังไม่ได้เริ่มเดินทาง
จวนขุนนางทุกขั้นริมทางต่างถูกทำให้ตกใจ ทหารคั่งหลงที่ติดตามไปด้วยเริ่มรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นกัน ทว่าราษฎรส่วนใหญ่มีท่าทางเงียบสงบ เพียงเงียบเชียบอยู่ เพียงโศกเศร้าเสียใจอยู่ พุ่งตรงไปยังตำหนักอวี้จ้าวด้วยฝีก้าวรวดเร็ว
ยามผ่านตรอกตงฉิง ในฝูงชนพลันมีผู้ตะโกนว่า “ที่นี่คือจวนของตระกูลซัง! ข้าจำได้แล้ว! ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นรถม้าเหล่านั้นที่ตระกูลซัง! มีช่วงหนึ่งบ้านข้าส่งข้าวปลาอาหารให้จวนนางโดยเฉพาะ มองเห็นรถคันนี้ซ่อนอยู่ในลานด้านหลังอย่างระมัดระวัง รถคันนี้เป็นของตระกูลซัง!”
วาจาประโยคเดียวดุจประกายไฟสาดโปรย ปะทุเพลิงโทสะของราษฎร
“แม่งเอ้ย ตระกูลซัง! เสียสติฟั่นเฟือน!”
“ตระกูลตนเองพ่ายแพ้แล้ว จะให้ทั่วทั้งตี้เกอตายตามไปด้วยหรือ?”
“ตระกูลเช่นนี้จะมันเหลืออยู่ในตี้เกอได้อย่างไร? ให้สร้างรถม้าเช่นนี้อีกหลายสิบคันมาเผาตี้เกอหรือ?”
“รื้อมันซะ รื้อมันซะ!”
“ใช่! รื้อมันซะ!”
เปล่งเพียงเสียงเดียวคนนับหมื่นตอบรับ คนกลุ่มใหญ่กลุ่มโตหลั่งไหลไปยังตระกูลซังที่ว่างเปล่าแล้ว ผู้เฝ้าประตูที่มีเหลือเพียงไม่กี่คนได้ยินเสียงต่างหลบลี้ แม้แต่ทหารคั่งหลงส่วนหนึ่งซึ่งเดิมทีได้รับคำสั่งของกงอิ้นให้ตรวจสอบอายัดตระกูลซังยังจงใจหายไป ปล่อยจวนโอ่อ่าตระการตาที่ครอบครองพื้นที่ครึ่งตรอกแห่งหนึ่งให้ราษฎรที่โกรธแค้น ฝูงชนพุ่งสู่ประตูใหญ่สีแดงม่วงประดับห่วงทองแดงมังกรซวนหนี[1]บานนั้นดุจกระแสน้ำ พัดผ่านห้องสูงสง่าศาลากระเบื้องทางเดินคดเคี้ยวสะพานโค้งของตระกูลซังประหนึ่งลมพายุ ยามพัดผ่านออกมาประดุจลมพายุอีกครั้ง ทั่วทั้งตระกูลซังดั่งคล้ายถูกพายุพัดผ่านถูกสายฟ้าฟาดถูกยักษ์นับหมื่นตนเหยียบย่ำ ข้าวของเครื่องใช้ที่แตกหักกระจายเกลื่อนทั่วพื้น ฉากกั้นสลักดอกไม้และหน้าต่างผุดเผยรูโหว่น่าสังเวชนับไม่ถ้วน บนสระบัวทิวทัศน์งดงามที่เคยเลื่องลือทั่วตี้เกอในยามก่อนมีอาภรณ์ลอยฟ่อง พอมองปราดเดียวคล้ายซากศพร่วงโรยนับไม่ถ้วน
แม้กระทั่งตระกูลใหญ่ร้อยปีธรณีประตูเหล็ก สุดท้ายแล้วยังจมอยู่ใต้เพลิงโทสะของมวลชน
เหล่าราษฎรที่รื้อถอนตระกูลซังหอบของใช้หลายชนิดที่แย่งมาจากตระกูลซัง ติดตามขบวนทัพใหญ่อีกครั้ง
มังกรนิลฝูงชนตัวหนึ่งทอดยาวจากตรอกหลิวหลีที่อยู่ใจกลางนครไปตามถนนสายหลักเลียบคูเมืองอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ตำหนักอวี้จ้าวซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในนครหลวงแห่งนี้
…
ภายในรถม้า จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงดังเอะอะข้างหลังเช่นกัน
ซังต้งปล่อยนางลงมาแล้วจับนางมัดไว้ มีดค้ำอยู่บนคอหอยนาง นี่คือท่วงท่าที่ค่อนข้างสบายและสะดวกต่อการที่นางจะพินิจศัตรูที่เกลียดชังที่สุดคนนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ขณะนี้ในใจของจิ่งเหิงปัวรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย วันนี้ไม่ได้พาเฟยเฟยออกมาด้วย ตอนออกมาเฟยเฟยกำลังนอนหลับ นางขี้เกียจจะพามาด้วย ส่วนเจ้าหมาโง่นั้น รำคาญที่มันเอะอะโวยวายเกินไปเลยไม่ได้พามาด้วย ถ้าเจ้าสองตัวนี้อยู่ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีดีๆ บ้าง
ซังต้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเสื้อเปื้อนเลือด บาดเจ็บไม่เบา แต่คล้ายกินยาอะไรเข้าไป ไม่เพียงดูท่าทางมีชีวิตชีวา ยังคล้ายบ้าบิ่นเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวสงสัยว่านางอาจจะกินยากระตุ้นกำลังกายชนิดหนึ่ง
นางเสียใจจริงๆ ว่าก่อนหน้านี้มีดหนึ่งนั้นของตนเองรีบร้อนเกินไป ไม่ได้เล็งให้แม่น ถ้าแทงตายในมีดเดียวคงไม่มีเรื่องราวมากมายขนาดนี้แล้ว
พอได้ยินเสียงดังเอะอะนางหันหน้าไปดูข้างหลังเล็กน้อย มองเห็นคลื่นมนุษย์นับไม่ถ้วนไล่ตามกระชั้นชิดอยู่ข้างหลังจากหน้าต่างรถที่เปิดกว้าง
แม้ว่าราษฎรไล่ตามรถม้ารวดเร็วคันนี้ไม่ทัน ทว่ากงอิ้นสั่งให้ทหารถ่ายทอดข่าวสารตลอดทาง เหล่าราษฎรที่รถม้าแล่นผ่านรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง คนมากมายเปิดประตูบ้านไล่ตามมา ในเสียงคนสับสนวุ่นวายจิ่งเหิงปัวได้ยินคนตะโกนลั่นว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องกลัว! พระองค์ต้องได้รับความช่วยเหลือแน่!”
“ตระกูลซังต้องไม่ตายดี ต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!”
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม รู้สึกว่าแม้ว่าทำความดีจนตนเองเข้าไปพัวพันพาให้เสียเปรียบเล็กน้อย แต่พอเห็นแบบนี้ ได้ยินแบบนี้ เหมือนว่าไม่ได้เสียเปรียบขนาดนั้นแล้ว
ได้ยินคนตะโกนอีกว่า “ฝ่าบาท รีบประทับวิหคเทวะของพระองค์แล้วเหินไปสิ!”
“ฝ่าบาท รีบใช้ตาทิพย์ของพระองค์มองสตรีนางนั้นให้สิ้นชีพสิ!”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะออกมาดังพรืด
วิหคเทวะ? เจ้าหมาโง่เหรอ?
ตาทิพย์? โพลารอยด์ถ่ายภาพก่อนตายเหรอ?
พอคิดถึงตรงนี้ในใจนางกระตุกวูบ
[1] มังกรซวนหนี หนึ่งในบุตรมังกรทั้งเก้า รูปลักษณะภายนอกคล้ายสิงโต สมัยโบราณนิยมนำมังกรซวนหนีมาประดับกระถางธูปหรือกระถางเผาไม้หอม