เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 78.3
หลังจากเหตุการณ์ซื้อบ้าน จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้ออกจากวังไประยะหนึ่ง หมู่นี้ทั่วทั้งแว่นแคว้นไม่ค่อยสงบสุขเท่าไร จ้าวซื่อจื๋อเป็นลมแล้ว ตำแหน่งรองเสนาบดีที่เอ่ยกันไว้ย่อมไม่มีหวัง การรวบรวมปัญญาชนกับกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นประณามราชินีที่เอ่ยกันไว้ย่อมไร้หนทางบรรลุเป็นจริงเช่นกัน เพียงแต่เรื่องราวในวันนั้นยังคงเล่าลือกันไป จึงค่อยๆ มีข่าวลือไม่ค่อยดีบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ราชินีบุกเข้าจวนขุนนางชั้นผู้ใหญ่อะไรนั่น เรื่องที่ราชินีจับตัวฮูหยินจ้าวไปทำให้ฮูหยินจ้าวถูกสังหาร หรือจะเป็นเรื่องที่ใต้เท้าจ้าวหกล้มเป็นลมเพื่อช่วยฮูหยิน ต่างเป็นข่าวลือที่ไม่ดีต่อจิ่งเหิงปัวทั้งนั้น ยิ่งมีสุนทรพจน์ปลุกเร้าความฮึกเหิมของจ้าวซื่อจื๋อในวันนั้นเผยแพร่ออกมา แอบชี้แนะว่าราชินีใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้คุณธรรม เล่ากันว่าข่าวลือเหล่านี้ แรกเริ่มที่สุดเวียนวนออกมาจากสำนักตี้เกอ ทว่าได้รับการพิสูจน์ที่ทหารคั่งหลง
วาจาที่เอ่ยว่าในหมู่สัตว์เดรัจฉานย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นย่อมมีความสงสารต่อการประสบเคราะห์กรรมของจ้าวซื่อจื๋อที่เป็นลมเช่นกัน จ้าวซื่อจื๋อเชี่ยวชาญในการแสดงลักษณะภายนอกให้ประจักษ์ มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับขุนนางร่วมราชสำนัก หลังจากเขาเป็นลมไปก็มีคนไม่น้อยที่เดินทางไปเยี่ยมเยียน มองเห็นจวนตระกูลจ้าวจมอยู่ในเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้าด้วยตาของตนเอง จ้าวซื่อจื๋อที่สูญเสียภรรยาซ้ำยังป่วยหนักชราลงไปเป็นสิบปีเพียงคืนเดียว น้องสาวภรรยาห้าคนร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน จวนบริสุทธิ์สูงส่งใหญ่โตเช่นนี้จวนหนึ่งปรากฏสภาพการณ์เสื่อมโทรมในเวลาเพียงไม่กี่วัน พาให้คนตกตะลึง
ผู้คนมากมายมองเห็นอนาคตของตนเองจากสภาพปัจจุบันของจ้าวซื่อจื๋อ ต่างรู้สึกคล้ายว่าจนถึงบัดนี้ เรื่องราวและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับองค์ราชินีต่างไม่มีจุดจบที่ดีสักเรื่องสักราย เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือน ซังต้งพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือนาง เฉิงกูมั่วสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียว จ้าวซื่อจื๋อสูญเสียภรรยา แม้แต่ตนเองยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอด โดยเฉพาะตระกูลซัง ตระกูลใหญ่โตนับร้อยปีที่มีรากฐานมั่นคงยังพ่ายแพ้ลงอย่างไม่มีผู้ใดอธิบายสาเหตุได้ ในราชสำนักได้มีข่าวลือว่าราชินีทรงมี ‘ดาวร้ายเล็งชีวิตง แพร่ออกมา ถัดจากทหารคั่งหลง พรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นของต้าฮวงล้วนแสดงอารมณ์ต่อต้านการดำรงอยู่ขององค์ราชินีเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าขุนนางชราที่ปกป้องประเพณีดั้งเดิมเหล่านั้น นอกจากพวกมหาปราชญ์ฉังฟังไม่กี่คนที่ยืนหยัดปกป้องราชินี คิดว่าต้าฮวงไม่อาจขาดราชินีแล้ว คนส่วนใหญ่ที่เหลือต่างรู้สึกว่าราชินีออกนอกลู่นอกทาง คุณสมบัติแตกต่างจากราชินีแต่ละสมัยในอดีตยิ่งนัก มองดูวาจาและการกระทำของนาง กำเริบเสิบสานลำพองใจ คงจะไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในโอวาทเป็นแน่ อีกทั้งวิธีการสลับซับซ้อน กระทำการแปลกประหลาด เพียงเกรงว่าจิตใจไม่อาจคาดคะเน เป็นภัยพิบัติการล้มล้างต่ออำนาจของกษัตริย์แห่งต้าฮวง
ตรงกันข้ามกับราชสำนักที่เกิดความรู้สึกไม่พอใจไม่สงบสุขจนแทบจะกลายเป็นพันธมิตร คือวาจาสนับสนุนและชื่นชมที่มีต่อจิ่งเหิงปัวเป็นที่สุดในหมู่ราษฎรยามนี้ ความเป็นความตายของคนสำคัญไร้ความเกี่ยวข้องกับราษฎร ราษฎรเพียงชื่นชอบผู้ที่ใส่ใจความเป็นความตายของพวกเขาเหล่านั้น การประสบเคราะห์กรรมของจ้าวซื่อจื๋อกับฮูหยินของเขาทำให้ราษฎรปรบมือแสดงความพึงพอใจเช่นกัน…จวนตระกูลจ้าวขูดรีดดอกเบี้ยจากราษฎร แย่งชิงที่พักอาศัย รวมทั้งใช้กลอุบายหลอกลวงบังคับขู่เข็ญสตรีตระกูลยากจน พาให้ราษฎรโกรธแค้นเดือดดาลมาเนิ่นนานแล้ว
แน่นอนว่าชื่อเสียงในหมู่ราษฎรยิ่งดีเท่าไร เหล่าขุนนางใหญ่ยิ่งไม่ชอบใจเท่านั้น ในระดับใดระดับหนึ่ง ชนชั้นผู้ดีกับชนชั้นราษฎรสามัญชนในสังคมศักดินา ผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายต่างเป็นปฏิปักษ์ต่อกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาด้วยซ้ำ
การปะทะกันและความขัดแย้งที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างเด่นชัดปานนั้น เช่น ความขัดแย้งของชนชั้นผู้ดีกับราษฎร ความขัดแย้งของราชินีที่ไม่ยินยอมเป็นหุ่นเชิดกับเหล่าขุนนางที่หวังให้ราชินีเคารพกฎเกณฑ์ต่อไป ความขัดแย้งของฝ่ายทหารระดับสูงกับราชินี ความขัดแย้งของพรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นกับราชินี…ต่างค่อยๆ รวมกันกลายเป็นความกดดันแหลมคนผืนหนึ่ง ปักเข้าสู่ศูนย์กลางที่สุดของนครตี้เกอ
จิ่งเหิงปัวไม่ได้เผชิญหน้ากับความกดดันเช่นนี้โดยตรง เรื่องราวมากมายถูกกงอิ้นแบกรับเอาไว้ ทว่าจิ่งเหิงปัวก็รู้สึกได้ถึงแววตาที่ยิ่งไม่เป็นมิตรมากขึ้นของทุกคนยามฟังการเมือง มองเห็นได้ถึงสมุดพับที่ยิ่งกองสูงมากขึ้นบนโต๊ะทำงานของกงอิ้น สมุดพับที่ใช้ครั่งปิดผนึกเหล่านี้ แต่ไหนแต่ไรมากงอิ้นไม่เคยให้นางอ่าน แต่นางสามารถเดาเนื้อหาภายในนั้นได้…คงไม่พ้นไปจากการโจมตีราชินีหรือข้อเสนอแนะให้ปลดนางออกจากตำแหน่งแน่
เรื่องราวพัฒนาไปในทิศทางที่ยากจะควบคุม มือสังหารที่ครั้งก่อนจับได้ที่จวนตระกูลจ้าวผู้นั้นสิ้นชีพระหว่างการสอบสวนเฉียบพลัน ยามเหมิงหู่ส่งคนเข้าไปได้ดูแลระมัดระวังครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ายังคงเกิดความผิดพลาด ต่อมาจึงมีข่าวลือออกมาอีกครั้ง เอ่ยว่าแท้จริงแล้วมือสังหารยังคงเป็นคนที่ราชินีส่งไป นี่คือการสังหารคนเพื่อปิดปาก
จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ถึงความกดดันของกงอิ้นอย่างชัดเจนยิ่งนัก แม้เขาจะไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว ทว่ายิ่งนอนหลับช้าลง ออกจากตำหนักมากยิ่งขึ้น เรียกเหล่าขุนนางเข้าพบมากยิ่งขึ้นเช่นกัน บางครั้งแสงตะเกียงของจิ้งถิงไม่มอดดับตลอดทั้งคืน บางครั้งกลางดึกยังได้ยินเสียงโกรธแค้นของขุนนาง ทุกครั้งหลังจากเสียงโกรธแค้นโต้เถียงผ่านพ้นไป ที่ประชุมขุนนางครั้งใหญ่วันต่อมาจะมีขุนนางน้อยลงไปหนึ่งถึงสองคน ส่วนบรรยากาศในที่ประชุมขุนนางวันนั้นจะยิ่งหนักแน่นหนาวเหน็บมากขึ้น
เรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดยังมีเรื่องการปรับปรุงการป้องกันพระราชวัง ทหารคั่งหลงถูกโยกย้ายออกจากการป้องกันพระราชวัง ทหารอวี้จ้าวรับอำนาจทั้งหมดไว้ จากนั้นไม่นานเท่าใด ขุนพลขั้นกลางเกือบหนึ่งกลุ่มของทหารคั่งหลงถูกตรวจพบว่าฉ้อฉลเงินเบี้ยเลี้ยงและเสบียงของทหาร ต้องโทษเนรเทศสู่บึงโคลนชายแดน กงอิ้นเลื่อนตำแหน่งใหม่ให้ลููกน้องที่มีฐานะเดิมเป็นสามัญชนกลุ่มหนึ่ง ซ้ำยังเริ่มเกณฑ์ทหารใหม่ในหมู่ราษฎรตี้เกอ
การโยกย้ายคั่งหลงเปรียบเสมือนกงอิ้นกำลังตัดแขนตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าสิ่งที่การจัดตั้งขุนพลฝ่ายทหารใหม่นำมาคือบรรยากาศตึงเครียดอีกระลอกหนึ่ง ไม่มีคนคาดเดาได้ว่ากงอิ้นคิดจะกระทำสิ่งใด เหตุใดต้องพลันโยกย้ายทหารคั่งหลงอย่างไม่มีสาเหตุและไม่มีเหตุผล ก่อให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดในตี้เกอ ด้วยเพราะในมุมมองของทุกผู้คน หากราชินีไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม เปลี่ยนนางก็พอแล้ว ไม่คู่ควรให้โยกย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ยกใหญ่ด้วยซ้ำ สำหรับราชครูที่ประทับมั่นคงอยู่บนบัลลังก์บัวสูงสุดเสมอเช่นกงอิ้นนี้แล้ว ขอเพียงเขานั่งอยู่บนที่นั่งประจำตำแหน่ง พยักหน้าแผ่วเบาก็พอแล้ว
เทพเจ้าผู้ประทับสูงส่งบนบัลลังก์ดอกบัว ยามนี้กลับคล้ายค่อยๆ ยกมีดขึ้น คราวต่อไปมีดจะสะบั้นลงบนศีรษะผู้ใด?
แว่นแคว้นต้าฮวง แข่งขันกำลังกันโดยไร้สรรพเสียง ทว่า ณ สถานที่ซึ่งพละกำลังช่วงชิงอำนาจหลั่งไหลรวมกัน มีท้องนภาสงบเงียบผืนหนึ่ง
ความว่างเปล่าผืนนั้นแผ่คลุมบนศีรษะของจิ่งเหิงปัว
นางถูกคุ้มกันอย่างดียิ่งขึ้น การป้องกันรัดกุมมากยิ่งขึ้น แม้แต่สำนักเจาหมิงที่ติดกัน หลังจากถูกฟ้าผ่ายังไม่สร้างใหม่อีกรอบ เพื่อป้องกันการก่อเกิดเหตุการณ์เหยียลี่ว์ฉีลอบสังหารอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาด ไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากให้กงอิ้นอีก จึงใช้ชีวิตผ่านวันเวลาไปอย่างเรียบร้อย ร้านวาดภาพเหมือนยังคงซื้อมาได้แล้ว นางจัดการให้ชุ่ยเจี่ยพาคนไปตกแต่งปรับปรุง ยามนี้จวนตระกูลจ้าวยุ่งวุ่นวายจนตัวเองยังเอาตัวไม่รอดจึงไม่มีคนมาหาเรื่องอีก
วันหนึ่งนี้ชุ่ยเจี่ยกลับมาเอ่ยว่าร้านวาดภาพเหมือนใกล้จะสำเร็จลุล่วงแล้ว ลำดับต่อไปควรจะเปิดร้านได้แล้ว เรื่องที่ทำให้นางกลัดกลุ้มอยู่บ้างคือตำแหน่งของร้านวาดภาพเหมือนนั้นลับตาคนเกินไป ขณะนี้จวนตระกูลจ้าวที่อยู่ติดกันยังเกิดเรื่องพาให้คนหลีกเลี่ยง กลัวว่าจะทำการค้าขายไม่ได้
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปรบมือครั้งหนึ่งแล้ววิ่งเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ่านไปสักพักก็ถือรูปถ่ายปึกหนึ่งออกมาเลือกในมือ พึมพำว่า “ใบไหนดีล่ะ? ใบนี้! เฮ้อไม่ไหวชัดเจนเกินไป! ใบนี้! เฮ้อไม่ไหวเขากำลังยิ้มอยู่นะ รอยยิ้มของเขาจะให้คนอื่นมองเห็นได้อย่างไร ใบนี้! เฮ้อมองออกว่าเป็นป้ายข้างหลังของจิ้งถิง ไม่ไหวไม่ไหว…เฮ้อใช่แล้ว ใบนี้!”
นางหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมา ยื่นไปยังเบื้องหน้าชุ่ยเจี่ย เอ่ยว่า “ผู้แทนวาจาสายไอดอลโดยกำเนิดเลยนะแบบนี้!”
รูปถ่ายเผยให้เห็นผลลัพธ์การถ่ายภาพมุมสูงเล็กน้อย บริเวณใกล้มีเงาดอกไม้พุ่มหนา ศาลาอาคาร บริเวณลึกเข้าไปในร่มไม้กลุ่มหนึ่งคือกระเบื้องดำกำแพงขาวหน้าต่างสีแดงม่วง เบื้องหน้าหน้าต่างมีเงาคนชุดขาวยืนอยู่เงียบเชียบ มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ทว่ามองออกว่าเรือนร่างสูงโปร่งดุจไม้หยก เส้นผมดำขลับดั่งมะเกลือ ไข่มุกสีทองอ่อนตรงคอเสื้อเปล่งแสงรุ่งโรจน์มัวสลัว สะท้อนริมฝีปากแดงฉ่ำอ่อนนุ่มผืนหนึ่ง
สีสันสดใสกลมกลืน บุคคลในภาพดุจน้ำค้างดั่งหิมะ ทั้งที่เป็นเพียงเค้าร่างไกลโพ้นร่างหนึ่ง ทว่าทุกผู้คนต่างอดจะจ้องมองเงาคนนั้นไม่ได้ พอจินตนาการให้ลึกซึ้ง บุคลิกลักษณะปานนี้เป็นเทพเซียนในหมู่มนุษย์ได้?
“ภาพใบนี้ลอกเลียนลักษณะท่าทางสูงส่งของราชครูออกมาเจ็ดแปดส่วนโดยแท้” แม้แต่ชุ่ยเจี่ยยังอดจะชื่นชมไม่ได้
จิ่งเหิงปัวพยักหน้าไม่หยุด นางรู้สึกเช่นกันว่าท่วงท่าสง่างามของกงอิ้นไม่ใช่สิ่งที่ภาษาหรือภาพวาดจะแสดงออกมาได้โดยตรง ต่อให้เป็นเทคนิคการถ่ายภาพระดับสูงสุดที่มาจากยุคปัจจุบันข้ามผ่านกาลเวลาพันปีนี้ เพียงฝืนแสดงออกมาได้บางส่วนเท่านั้น
ดาราดังหนุ่มน้อยหน้าตาดีในยุคปัจจุบันเหล่านั้น เป้าหมายที่เมื่อก่อนจิ่งเหิงปัวเคยเลียจอเคลิบเคลิ้ม ขณะนี้หากยืนอยู่เบื้องหน้านาง นางคงต้องยื่นนิ้วมือนิ้วหนึ่ง ร้องว่า “Low!”
“เช่นนั้นใบนี้ล่ะ?” จิ่งเหิงปัวตบโต๊ะ กล่าวว่า “มองใบหน้าของเขาไม่ออกด้วยซ้ำ ทว่าอารมณ์ท่วมท้น ผลลัพธ์โฆษณาที่ดีที่สุด”
“ทว่าใบหนึ่งนี้ เล็กขนาดนี้ แปะไว้ที่ใดถึงจะเหมาะสม? หากไม่เดินเข้าไปใกล้คงมองไม่เห็น…”
“ไปหาจิตรกรที่ดีที่สุดของตี้เกอ” จิ่งเหิงปัววางรูปถ่ายไว้ในกล่องอย่างระมัดระวัง กำชับชุ่ยเจี่ยว่า “ให้พวกเขาอิงตามรูปถ่ายใบนี้วาดภาพออกมาชุดหนึ่ง วาดตามลำดับขั้นตอนทีละเล็กทีละน้อย ภาพแรกมีเพียงเงาดอกไม้พุ่มหนา ภาพที่สองเริ่มปรากฏศาลาอาคาร ภาพที่สามมีหน้าต่างน้อยของจิ้งถิงโผล่ออกมาในเงาดอกไม้ ภาพที่สี่มีเงาคนผู้หนึ่งปรากฏในหน้าต่างน้อย ทุกภาพต่างจำเป็นต้องตั้งใจวาด พยายามคืนสู่สภาพเดิมในภาพ ทุกภาพเขียนตรงที่สะดุดตาข้างล่างว่า ‘สง่างามยืนยาว ชั่วครู่คราวล่มแคว้น’”
“สง่างามยืนยาว ชั่วครู่คราวล่มแคว้น…” ชุ่ยเจี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังคิดประโยคเช่นนี้ออกมาได้”
“แอบลอกมาสิ” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวว่า “เค้กน้อยชอบแต่งกลอน มักจะแต่งสายลมดอกไม้หิมะพระจันทร์ไว้มากมาย เขียนเต็มสมุดน้อยเล่มหนึ่งแล้วยังล็อกเอาไว้ไม่ให้พวกเราดู คิกๆ พี่น่ะเป็นผู้ใดกัน เคยอ่านไปตั้งนานแล้ว เศร้าโศก เศร้าโศกอย่างยิ่ง ทว่าประโยคนี้ฝืนใจนำมาใช้สักหน่อยได้…ใช่แล้ว ร้านวาดภาพเหมือนของข้า เช่นนั้นใช้นามว่า ‘ครู่นั้น’ เถิด”
“ครู่นั้น?” ชุ่ยเจี่ยขมวดคิ้ว รู้สึกเลยว่านามนี้ไม่นับว่ามงคลโดยแท้
“ใช่แล้ว ครู่นั้น ฝากภาพไว้ชั่วครู่นั้นทว่าจดจำชั่วกาล” จิ่งเหิงปัวเหม่อลอยขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “มนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ คงอยู่ชั่วนิรันดร์อะไรเสียที่ไหนกัน บางครั้งเพียงมีความงดงามขนาดนั้นครู่หนึ่งก็ดีมากแล้วล่ะ”
นิ้วมือของนางลูบคลำรูปถ่ายอย่างแผ่วเบา สายตาว่างเปล่าเล็กน้อย
ครู่นั้น คำที่สุภาพเรียบร้อยเกินไปสำหรับนางคำนี้พุ่งสู่สมองของนางในช่วงเวลาครู่นั้นเช่นกัน ทันใดนั้นนางรู้สึกว่า ในขณะนี้ คำคำนี้เหมาะสมเป็นที่สุดแล้ว
ทะลุมิติคือครู่หนึ่งนั้น ลาจากคือครู่หนึ่งนั้น ความสูญเสียและการได้รับทั้งมวลต่างเป็นครู่หนึ่งนั้น…
คล้ายดั่งยามนี้ก้นบึ้งของหัวใจพลันกระตุกเจ็บปวดอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้ เป็นครู่นั้นเช่นกัน…
จะดีขึ้น ทุกสิ่งต่างเป็นเพียงครู่หนึ่งนั้น…
“ต้าปัว…” ชุ่ยเจี่ยเห็นนางพลันใจลอย ตบไหล่ของนางอย่างเข้าใจ เอ่ยว่า “อย่าคิดมากไปเลย พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราวภายในราชสำนักให้มาก ราชครูจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“นั่นสินะ” จิ่งเหิงปัวคืนสติทันที โบกมืออย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย กล่าวว่า “มิเช่นนั้นจะมีแฟนหนุ่มไว้เพื่ออะไร? แฟนหนุ่มไม่ได้มีหน้าที่บุกโจมตีตกอยู่กลางวงล้อมขวางหอกให้พี่หรอกหรือ”
“ภาพเหมือนเหล่านี้วาดเสร็จแล้วทำอย่างไร” ชุ่ยเจี่ยพากลับสู่หัวข้อสนทนา
“ถือภาพเหมือนเดินไปข้างหน้า แปะภาพหนึ่งตรงปากทางทุกแห่งที่ทะลุไปยังร้านวาดภาพเหมือนของพวกเรานั้น แล้วทำหัวลูกศรชี้ทาง” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ภาพทุกภาพต่างมีส่วนเว้นว่างไว้ จะทำให้คนติดตามต่อไปด้วยความสงสัยโดยตลอด สุดท้ายก็จะเดินมาถึงปากประตูของพวกเรา ส่วนรูปถ่ายล้ำค่าใบนี้ เจ้าใช้กรอบผลึกแก้วบานหนึ่งประดับไว้บนประตูใหญ่ของพวกเรา”
“โชคดีที่เจ้าคิดออกมาได้” ชุ่ยเจี่ยรับรูปถ่ายมา จิ่งเหิงปัวกำชับติดต่อกันว่า “ห้ามใช้มือลูบนะ! ระวังหน่อย! หลังจากโฆษณาสักสองสามวันแล้วอย่าลืมนำกลับมาคืนข้า!”
“เพียงแต่เชิญจิตรกรที่ดีที่สุดวาดภาพเยอะหลายภาพขนาดนั้น ต้องใช้เงินมากมายนัก” ชุ่ยเจี่ยรู้สึกเสียดายเงินอยู่บ้าง
“เสียเงินอะไร! เจ้าไปบอกพวกเขา ในมือเจ้ามีภาพน้อยลึกลับคมชัดเสมือนจริงที่เป็นหนึ่งไม่มีสองเป็นตำนานในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จครั้งก่อน ให้พวกเขาชื่นชมเรียนรู้ลอกภาพวาดได้ เงื่อนไขข้อแรกคือวาดภาพโฆษณาไม่คิดเงินให้พวกเราหนึ่งเดือน!” จิ่งเหิงปัวตบไหล่ชุ่ยเจี่ย กล่าวว่า “เชื่อข้า พวกเขาจะวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก”
ชุ่ยเจี่ยส่ายหน้าไปพลางเดินไปพลาง นางรู้สึกว่าจิ่งเหิงปัวไม่ควรเป็นราชินี นางควรจะไปเป็นแม่ค้าหน้าเลือด
นางเดินออกไปไกลโพ้น จิ่งเหิงปัวยังตามออกไปเกาะวงกบประตูตะโกนว่า “จำไว้นะ ไม่ให้ให้เงิน! ไม่ให้อาหารที่พัก! ไม่จัดหาพู่กันวาดภาพสีวาดภาพและกระดาษ! พวกเรายากจน หากเป็นไปได้ ให้พวกเขาจ่ายค่าอาณาบริเวณกับค่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์!”
ห่างไปไกลโพ้น ชุ่ยเจี่ยโซเซครั้งหนึ่ง…