เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 100
Sign in Buddha’s palm 100 คณะทูตจากหนานหมิง
“มีใครบางคนมาที่นี่แล้วเช่นนั้นหรือ?”
ในศาลบรรพชน หัวใจของชายชราสั่นรัวราวกับพายุ
ทั้งยุทธภพรู้เพียงว่ามีจ้าวกงกงขันทีชุดม่วงข้างกายองค์จักรพรรดิถังที่อยู่ในจุดสูงสุดของชั้นที่หนึ่งภายในวังหลวง แต่ความเป็นจริงนั้น นอกจากจ้าวกงกงแล้วยังมีผู้ดูแลศาลบรรพชนที่ทำหน้าที่มาหลายสิบปี นั่นก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด
ราชวงศ์ถังก่อตั้งมานานกว่าห้าร้อยปี ปฐมจักรพรรดิก็เป็นถึงตำนานยุทธ แม้ว่าเขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปจากที่นี่แล้ว และไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ภูมิหลังของอาณาจักรถังก็ยากลึกหยั่งถึง
ในที่แจ้งจ้าวกงกงเป็นคนควบคุมดูแลทุกอย่างและในที่มืดเป็นผู้ดูแลศาลบรรพชนกำลังมองดูทุกสิ่งด้วยสายตานิ่งเฉย
เรื่องที่ผู้ดูแลศาลบรรพชนเป็นถึงยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด นั่นก็เพราะภูมิหลังอันแข็งแกร่งของราชวงศ์ถัง แม้แต่ตัวจักรพรรดิถังองค์ปัจจุบันก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้
ไม่ใช่เท่านั้น ผู้ดูแลศาลบรรพชนยังแตกต่างไปจากจ้าวกงกง
จ้าวกงกงภักดีต่อจักรพรรดิถัง และยอมสละชีวิตได้เพื่อพระองค์
แต่ผู้ดูแลศาลบรรพชนนั้นต่างออกไป
ไม่ใช่องค์จักรพรรดิถังที่ผู้ดูแลศาลบรรพชนจงรักภักดีด้วย แต่เป็นทั้งราชวงศ์ถัง
ตราบใดที่อาณาจักรถังยังคงอยู่ ยังคงมีรัชทายาทเป็นราชนิกุลสกุลหลี่ ผู้ดูแลศาลบรรพชนก็จะไม่ออกหน้า
“เป็นไปไม่ได้”
“ในรั้วในวัง ใครจะแอบเข้ามาในศาลบรรพชนเงียบๆ ได้?”
ผู้ดูแลศาลบรรพชนหนังศีรษะชาวาบ มองตรงไปยังกระถางธูปตรงหน้า
รู้หรือไม่ว่าเขาเฝ้าอยู่หน้าศาลบรรพชนและไม่เห็นใครแอบเข้ามาสักคน แต่ตอนนี้กลับได้กลิ่นไม้จันทน์จากกระถางธูปในศาลบรรพชน
นี่หมายความว่าเช่นไร?
นี่หมายความว่ามีใครบางคนเดินเข้าไปในศาลบรรพชนต่อหน้าต่อตาเขาแล้วเอาไม้จันทน์มาจุดที่นี่?
เป็นไปได้เช่นไร?!!
เขาเป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด การที่เขาคอยดูแลที่นี่อยู่ แม้ว่าจะมีมดคลานเข้ามาเขาก็ต้องรับรู้ทุกอย่างได้
แต่นี่ถึงกลับมีคนแอบเข้ามาทั้งยังเอาไม้จันทน์มาวางไว้ด้วย…
ด้วยการกระทำที่เด่นชัดขนาดนี้ ผู้ดูแลศาลบรรพชนที่อยู่ใกล้ๆ กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย และหากไม่ใช่เพราะกลิ่นไม้จันทน์ที่ยังจางไปไม่หมด เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนแอบเข้ามาในศาลบรรพชน
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นคือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์?”
ผู้ดูแลศาลบรรพชนก้มหน้าขบคิด ในที่สุดก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป
ความแข็งแกร่งของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์นั้นมากกว่าขั้นสูงสุดแน่นอน…
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการแปรสภาพมาถึงสองครั้ง ถึงจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเทียบเท่าขั้นสมบูรณ์ แต่ขั้นสมบูรณ์ก็ไม่สามารถผ่านหน้าเขาไปได้โดยที่เขาไม่ได้รับรู้อะไรเลยแบบนี้
“ปัญหากำลังมาแล้ว”
“มังกรที่แท้จริงได้เข้ามาในวังหลวงแล้ว…”
ผู้ดูแลศาลบรรพชนบ่นพึมพำ
แม้เขาจะไม่รู้ว่าผู้ใดที่เข้าไปในศาลบรรพชน แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ควรมีความมุ่งร้าย
ในสายตาของผู้ดูแลศาลบรรพชน ท้ายที่สุดแล้วหากมันไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าคาดเดาจริงๆ เว้นแต่ปฐมจักรพรรดิที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนจะกลับมา ทั้งพระราชวังคงเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพังไปแล้ว…
แต่ความเป็นจริงคือพระราชวังถังยังคงเหมือนเดิมและไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
…
…
พระราชวังตะวันออก
ร่างของซูฉินปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“จริงสิ”
“หลังจากที่ข้าจุดไม้จันทน์ตอนนั้น ข้าก็ไม่ได้สนใจมันอีกเลย ถ้าผู้ดูแลศาลบรรพชนคนนั้นกลับเข้าไปในศาลบรรพชนตอนนั้นเขาจะสังเกตเห็นอะไรรึเปล่านะ?”
ซูฉินแตะไปที่คางและขี้เกียจเกินกว่าจะคิดอีกต่อไป
สำหรับซูฉินแม้ผู้ดูแลศาลบรรพชนจะพบว่ามีคนเข้าไปในศาลบรรพชนจริงๆ แล้วมันจะอย่างไร?
ด้วยความแข็งแกร่งในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างแม้รอยขีดข่วนบนตัวซูฉิน
“อย่างไรก็ตาม ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติก็ไม่จำเป็นที่จะต้องก่อตั้ง [ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์] อีกต่อไป…”
ซูฉินคิดอยู่ภายในใจ
หน้าที่หลักของค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์คือรวบรวมพลังฟ้าดินในรัศมีหลายลี้ หลายสิบลี้ เพื่อเพิ่มความว่องไวในการบ่มเพาะ
แต่ตอนนี้ หลังจากลงชื่อเข้าใช้และได้รับหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ ซูฉินก็ไม่ต้องการพลังฟ้าดินอีกเลย
สิ่งเดียวที่เขาใช้ในตลอดขั้นตอนการบ่มเพาะก็คือหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอันนี้
ด้วยความที่มันเป็นสมบัติที่เกิดขึ้นมาจากพลังฟ้าดิน หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมีความบริสุทธิ์และไม่จำเป็นต้องให้ซูฉินมากลั่น สามารถดูดซึมได้เลย
ในแง่ของคุณภาพที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะ หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอยู่เหนือกว่าพลังฟ้าดินไปเยอะ
โดยไม่ต้องสงสัย
ที่ซูฉินไม่ใช้ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์เพราะมันรวบรวมพลังฉีได้แค่ไม่กี่สิบลี้โดยรอบ
หากวันหนึ่งซูฉินสามารถจัดตั้งค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ที่รวบรวมพลังฟ้าดินจากหลายพันหลายหมื่นลี้หรือครอบคลุมไปทั้งทวีป อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ปริมาณนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ
หากสามารถรวบรวมพลังฟ้าดินหลายหมื่นลี้มาไว้ในที่เดียว ผลที่ได้ย่อมทรงพลังและไม่เลวร้ายไปกว่าหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ หรือบางทีอาจจะมากกว่าเสียอีก
เวลาต่อมา ซูฉินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการลงชื่อเข้าใช้ในวังหลวง บางครั้งซูเยว่หยุนน้องสาวของเขาก็จะเรียกเขาไปรับประทานอาหารที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถันจากห้องเครื่องของราชวงศ์ และบางครั้งเขาก็จะได้เข้าพบองค์จักรพรรดิถัง
นับตั้งแต่ตอนที่มี ‘คำพูดอันยอดเยี่ยม‘ ครั้งล่าสุดนั้น จักรพรรดิก็ดูจะชื่นชอบซูฉินมากขึ้นและมักจะถามคำถามอยู่บ่อยครั้ง
ซูฉินเป็นคนไม่ค่อยจะอดทนกับเรื่องนี้เท่าไหร่ จึงมักจะตอบกลับไปไม่กี่คำอย่างไม่ใส่ใจนัก
เขามาที่พระราชวังถังเพื่อลงชื่อเข้าใช้ ไม่ใช่เพื่อมาสร้างความสำราญใจให้องค์จักรพรรดิถัง
เวลาผ่านเลยไป สองเดือนผ่านพ้นไปในพริบตา
ในช่วงสองเดือนมานี้ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ในส่วนเล็กๆ ของวัง และได้รับของกลับมาเป็นจำนวนมาก
ในวันนี้ซูฉินกำลังเดินอย่างช้าๆ ไปตามถนนภายในพระราชวัง
ด้วยสถานะที่ปรึกษาควบคู่ไปกับสถานะ ‘พี่เขยคนเล็ก‘ ขององค์รัชทายาทหลี่เชิง ซูฉินสามารถไปที่ไหนก็ได้ในพระราชวังตะวันออก และแม้กระทั่งออกจากพระราชวังตะวันออกได้ตราบที่เขาไม่ย่างกรายเข้าไปใกล้เขตพระราชฐาน เขาก็จะไม่ถูกสอบสวนแต่ประการใด
ตอนนี้ซูฉินกำลังนึกอยู่ว่าวันนี้เขาจะลงชื่อที่ไหนดี
คนกลุ่มหนึ่งก็เดินสวนเขาไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายของคนกลุ่มนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากราชวงศ์ถังและมีขันทีในวังเป็นผู้นำทาง
นอกจากขันทีแล้ว ยังมีทหารของอาณาจักรกลุ่มเล็กๆ คอยติดตามมาด้วย ดูเหมือนจะคอยปกป้องพวกเขา แต่แท้จริงก็เป็นการแอบเฝ้าติดตามคนกลุ่มนี้อยู่ในที
“กลุ่มทูตจากหนานหมิง?”
ซูฉินมองผ่านๆ และพบสัญลักษณ์บนเสื้อผ้าของคนกลุ่มนี้ที่พอจะยืนยันตัวตนของพวกเขาได้
ในโลกนี้อาณาจักรต่างๆ อยู่ร่วมกันซึ่งต้าถังเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด ครอบครองที่ราบตอนกลางอันกว้างใหญ่ ในขณะที่ทางตอนใต้ของอาณาจักรถังเป็นพื้นที่ใกล้ทะเลถูกปกครองโดยอาณาจักรหนานหมิง
จักรพรรดิหมิงรุ่นนี้นั้นทั้งเก่งและยอดเยี่ยม ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์เขาก็ได้กำจัดราชวงศ์ชิงจนสิ้นและรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น จนบัดนี้ก็ผ่านมายี่สิบปีแล้ว ตอนนี้อาณาจักรหนานหมิงเหมือนกับเหล็กหนาที่เป็นหนามทิ่มแทงความมั่นคงของอาณาจักรถัง
นอกจากนี้จักรพรรดิหมิงยังได้จัดตั้งหน่วยงาน ‘องครักษ์เสื้อแพร[1]‘ เพื่อแอบตรวจสอบอาณาจักรต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นหน่วยข่าวกรองระดับโลก แม้แต่อาณาจักรเหมิ่งหยวนซึ่งครอบครองทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ทางตอนเหนือก็ยังมีสายลับของ ‘องครักษ์เสื้อแพร‘ แทรกซึมอยู่
แม้การสู้รบระหว่างอาณาจักรจะสร้างความโกรธเกรี้ยว และผู้นำของแต่ละประเทศจะร้อนใจจนอยากจะบดขยี้อีกฝ่าย แต่ในหน้าฉากนั้นอาณาจักรถังก็ต้องไว้หน้ากลุ่มทูตจากหนานหมิง
บทบาทหลักของกลุ่มทูตพวกนี้ก็คือรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือเพื่อส่งข่าวส่งข้อมูลบางอย่าง
ความคิดของซูฉินแปรปรวนและกวาดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป
“เอ๋?”
ซูฉินดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่ง สายตาของเขาจับจ้องไปที่กลุ่มทูตของอาณาจักรหนานหมิงอีกครั้งหนึ่งและร่องรอยความประหลาดใจก็ฉายออกมาจากดวงตาของเขา
—————————————————
[1] 锦衣卫 จินยี่เว่ย์ หรือองครักษ์เสื้อแพร
เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายตำรวจลับซึ่งเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง มีหน้าที่รับใช้ราชสำนัก องครักษ์เสื้อแพรได้ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยจักรพรรดิหงหวู่ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง
พวกเขาได้รับอำนาจในกระบวนการยุติธรรมในการดำเนินคดีโดยมีอิสระเต็มที่ในการจับกุมสอบสวนและลงโทษผู้ใดก็ตามรวมไปถึงขุนนางและพระญาติของจักรพรรดิด้วย
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรมักถูกมอบหมายให้รวบรวมหน่วยข่าวกรองทางทหารที่เกี่ยวข้องกับศัตรูและการมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างการวางแผน ทหารของหน่วยจะสวมชุดเครื่องแบบสีเหลืองทองที่โดดเด่นด้วยแผ่นป้ายชื่อที่สวมติดบนลำตัวของพวกเขาและถืออาวุธดาบพิเศษ