เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 113
เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 113 การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิถัง
“บทเพลงชีวิตหลังความตาย?”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
จริงๆ แล้ว ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ควรจะเป็นบทเพลงหนึ่งที่เล่นโดยนักดนตรีหรือผู้ที่มีรสนิยมอันสูงส่ง
“น่าเสียดายที่ข้าไม่น่าจะต้องใช้มัน…”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่ได้เป็นนักดนตรีหรือจอมเสเพลแต่อย่างใด ที่สำคัญเขาไม่ได้มีความสนใจด้านดนตรี แม้ว่าจะมีผลงานที่ล้ำค่าอย่างมิอาจเทียบ เขาก็จะไม่เปลืองพลังงานไปกับมันมากนัก
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อได้รับมาแล้วก็ไม่เสียหายที่จะลองดูเสียหน่อย”
ซูฉินเพียงคิด เขาก็ได้รับการฝังข้อมูลจากระบบ
หวึ่ง!
ทันใดนั้นความลับทั้งหมดของ ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ก็ไหลเข้ามาภายในจิตของซูฉินอย่างช้าๆ
ซูฉินรู้สึกได้ถึงเสียงบรรเลงอยู่ภายในใจ มีเสียงเพลงครวญคร่ำออกมาอย่างแผ่วเบา สื่อความหมายถึงการพลัดพรากจากชีวิตเดิม
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูฉินก็ลืมตาขึ้นโดยพลัน
“ บทเพลงชีวิตหลังความตายนี้ ไม่ง่ายดั่งตาเห็นเลย…”
เค้าลางความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
เดิมทีเขาคิดว่า ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ เป็นเพียงบทเพลงธรรมดาๆ แต่หลังจากได้รับการ ‘ฝังข้อมูล‘ จากระบบ เขาก็พบว่า ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ไม่ใช่แค่บทเพลงธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นการผสานระหว่างดนตรีและศิลปะการต่อสู้
เมื่อบทเพลงชีวิตหลังความตายสามารถสังหารคนด้วยคลื่นเสียง ซึ่งคล้ายคลึงกับวิธีการอันลึกลับของมีดบินน้อยเสียวหลี่
ภายในขอบเขตของเสียงดนตรี ถ้าจิตวิญญาณหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่แข็งแกร่งเท่าซูฉิน ก็มีแต่จะต้องตกตายลงเท่านั้น!
ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลิน ได้รับทักษะวิชามามากมายนับไม่ถ้วน รวมไปถึงวิธีการสังหารด้วยการใช้เสียงเช่นนี้
แต่จิตสังหารที่เปิดเผยออกมามันดูจงใจเกินไป
ตัวอย่างเช่น ‘วิชาสิงโตคำราม‘ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัดเส้าหลิน ก็ใช้คลื่นเสียงเป็นอาวุธ
แต่เพลงที่ฟังดูเป็นธรรมชาติเหมือนกับ ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ นั้นหาได้ยากยิ่งหรืออาจจะหาไม่พบเลยก็ได้
“ไม่เลวไม่เลว”
ใบหน้าของซูฉินเต็มไปด้วยความยินดี
…
จากนั้นซูฉินก็กลับสู่คืนวันอันสงบสุขและผ่อนคลายอีกครั้ง
แม้ว่าพระราชวังถังจะเป็นสถานที่ห่างไกลจากความเงียบสงบเฉกเช่นวัดเส้าหลิน แต่สำหรับซูฉินมันแทบจะเหมือนกัน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรั้วในวังแทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาเลย
ในฐานะ ‘พี่เขย‘ ขององค์รัชทายาท คนอื่นๆ ต่างก็เกรงกลัวซูฉินกันทั้งนั้น ใครจะไปกล้ายั่วโมโหเขากัน?
ในวันนี้ หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อยแล้ว เขาก็มองไปยังทิศทางของห้องโถงชีวิตนิรันดร์
ห้องโถงชีวิตนิรันดร์เป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง
“จักรพรรดิถังกำลังจะตายแล้วรึ…”
ดวงตาของซูฉินยังคงสงบนิ่ง ไม่ว่าจะด้วยดวงตาแห่งสัจจะหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ตรวจจับปราณชีวิตของจักรพรรดิถังที่นอนเอนหลังอยู่บนบัลลังก์มังกรภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์ได้ว่ามันเหมือนกับเทียนดวงน้อยที่อยู่ท่ามกลางสายลมพัด สามารถดับลงได้ทุกเมื่อ
“คนที่น่าสนใจกำลังจะหายไปอีกคน…”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจออกมา
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เข้าไปภายในวังส่วนพระองค์มานาน แต่เขาก็ติดต่อกับจักรพรรดิถังมาหลายครั้งจนรู้จักอีกฝ่ายดีพอสมควร อย่างน้อยเขาก็ใจดีกับซูฉิน ทั้งยังตอบแทนกลับมาด้วยสมบัติและทองคำจำนวนมาก
เขายังต้องการย้ายซูฉินไปยังหน่วยแพทย์หลวงด้วยซ้ำ
แม้ซูฉินจะไม่ได้พึงใจกับสิ่งเหล่านี้เลย แต่ก็ยังนับว่าจักรพรรดิถังใจดีอยู่
แน่นอนว่าซูฉินเพียงแค่คิดว่าจักรพรรดิถังน่าสนใจ ไม่ได้มีเหตุผลอื่น
การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิถังนั้นเกิดมาจากการที่อายุขัยถูกใช้ไปหมดสิ้น แม้แต่ตัวตนระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธก็ไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้
“มันไม่เป็นอะไรหรอกถ้าจะต้องตายไป เป็นการทรมานเสียเปล่าถ้ายังมีชีวิตอยู่”
ซูฉินคิดในใจตนอยู่เงียบๆ
แม้ว่าจ้าวกงกงซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับแนวหน้า ยินดีที่จะยื้อชีวิตของจักรพรรดิถังด้วยพลังชีวิตของตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถช่วยให้จักรพรรดิถังใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
การตายในตอนนี้ ก็เป็นเหมือนการ ‘ปลดปล่อย‘ ชนิดหนึ่ง
“อย่างไรก็ตาม จ้าวกงกงผู้นี้ก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวนัก…”
ซูฉินขยับความคิด รับรู้ไปถึงไอพลังของจ้าวกงกงอย่างระมัดระวัง
จ้าวกงกงเป็นผู้ที่มีความสามารถที่สูงลิ่ว แม้เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองร้อยปี แต่ยังไงก็ต้องมีช่วงอายุขัยยาวนานร้อยแปดสิบถึงร้อยเก้าสิบปีเป็นแน่
ช่างน่าเสียดาย เพื่อทดแทนในส่วนที่เสื่อมถอยของร่างกายในตัวองค์จักรพรรดิถัง จ้าวกงกงยินดีที่จะใช้พลังชีวิตของตนเองยืดชีวิตขององค์จักรพรรดิถังต่อไป
ถ้าจ้าวกงกงเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่มีการแปรสภาพร่างกายมาแล้ว ด้วยร่างกายที่ทรงพลังเขาจะสามารถยื้อมันต่อไปได้อีกหลายปี
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของจ้าวกงกงนั้นสูญเสียคุณสมบัติไปเสียแล้วจึงไม่สามารถแปรสภาพกายเนื้อของตนได้ ทำให้เวลานี้เขาใกล้จะหมดแรงเต็มทน
ตอนนี้จักรพรรดิถังกำลังจะสิ้นพระชนม์ ส่วนจ้าวกงกงก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน
“จักรพรรดิถังกำลังจะตาย เขาก็ควรเรียกองค์รัชทายาทมาอธิบายเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพใช่ไหมนะ?”
ซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ก็พบว่าขันทีชุดแดงได้เดินออกมาจากห้องโถงชีวิตนิรันดร์และร่างก็วูบไหวไปราวกับภูตผีพุ่งเข้าไปในห้องโถงเฉิงเอินแห่งพระราชวังตะวันออก
ไม่นานหลังจากนั้น องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็เดินออกมาด้วยความตื่นตระหนกและรีบเดินทางไปยังห้องโถงแห่งชีวิตนิรันดร์
…
ภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์
จักรพรรดิถังเอนกายลงอย่างเงียบเชียบบนบัลลังก์มังกร ท่าทางของเขาดูไม่ได้เหมือนกับคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย
“ฝ่าบาท ข้ารับใช้ชราผู้นี้ไร้ประโยชน์ยิ่ง ไม่สามารถยืดอายุขัยของท่านได้…”
จ้าวกงกงคุกเข่าลงกับพื้น กระซิบกล่าวคำ
“เจ้าทำได้ดีที่สุดแล้ว…” จักรพรรดิถังฝืนยิ้มก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงจะต้องตายไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว…”
ในตอนนั้นเอง
องค์รัชทายาทหลี่เชิงเดินเข้ามาภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์อย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงหน้าบัลลังก์มังกร กล่าวคำออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “เสด็จพ่อ ท่านสบายดีหรือไม่?”
“ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะไปเรียกหมอหลวงมา”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ถูกจักรพรรดิถังรั้งเอาไว้
“ไม่จำเป็น” องค์จักรพรรดิถังมองไปที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงพร้อมทั้งส่ายหัว จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ร่างกายตัวเองดี เป็นเรื่องไม่คาดฝันมากแล้วที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้….”
เมื่อองค์จักรพรรดิถังพูดขึ้น เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรง หลังจากนั้นจึงได้พูดต่อ “ก่อนที่เจ้าจะเข้ามายังฉางอัน ข้าจงใจให้เหล่าพี่น้องของเจ้าต่อสู้กันเพื่อแบ่งอำนาจสภาขุนนางและราชสำนัก”
“ตอนนี้ข้าได้กวาดล้างเหล่าข้าราชบริพารที่คิดเห็นเป็นอื่นไปหมดแล้ว พวกที่ยังอยู่ในสภาขุนนางตอนนี้ไม่ต้องถึงขนาดจะต้องภักดีต่อเจ้า แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็ภักดีต่ออาณาจักรถัง”
“หลังจากที่ข้าตายไป เจ้าจะได้ครอบครองราชสำนักที่ใสสะอาดและสว่างไสว มันจะเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์ ในเวลานั้นเจ้าสามารถทะเยอทะยานในทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่…”
“อย่างไรก็ตาม ข้าคงมิอาจได้เห็นช่วงเวลานั้น…”
เมื่อองค์จักรพรรดิกล่าวเช่นนี้ เสียงของเขาก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“เสด็จพ่อ!”
ดวงตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงกลายเป็นสีแดงก่ำ
เขาไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่องค์จักรพรรดิถังทำลงไปก็เพื่อตน
นับตั้งแต่ที่เขายังอยู่ข้างนอกเมือง องค์จักรพรรดิถังก็ได้เริ่มดำเนินการปูทางให้กับตัวเขาและกำจัดผู้คนที่ต่อต้านออกไปอย่างสมบูรณ์หลังจากที่เขาได้รับการสืบทอดตำแหน่งมา
“แต่ก็เท่านั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นจุดอ่อนของข้า…”
จักรพรรดิถังเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่องค์รัชทายาทหลี่เชิง “นั่นคือพี่น้องของเจ้า ข้าควรจะสังหารพวกเขาให้สิ้น ยามที่เจ้าได้บัลลังก์ไป เช่นนั้นก็จะไม่มีปัญหาอีกในอนาคต…”
ร่องรอยของความซับซ้อนสะท้อนใจซ่อนอยู่ในน้ำเสียงขององค์จักรพรรดิถัง
แม้ตัวเขาจะกวาดล้างราชสำนักด้วยมาตรการรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็เลือกที่จะเนรเทศองค์ชายทั้งหลายออกไปแทนที่จะสังหารพวกเขาเสีย
“ถ้าพวกเขาทำอะไรขึ้นมาในอนาคต และไม่เต็มใจที่จะอยู่อย่างไร้ศักดิ์ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป เพียงเรียกตัวพวกเขากลับมาแล้วสังหารพวกเขาทิ้งซะ”
จักรพรรดิถังถอนหายใจเล็กน้อยราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาอ่อนลง “ชีวิตข้าไม่ติดค้างสิ่งใดแล้ว แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้ายังเสียใจอยู่จนถึงตอนนี้ก็คือเรื่องแม่ของเจ้า…”
จักรพรรดิถังเอนกายลงบนบัลลังก์มังกร สีหน้าของเขาแสดงความคิดถึง เสียงที่เปล่งออกมาเบาราวกับยุงบิน
“หลิงเอ๋อ ข้าได้ทำตามที่ได้ให้สัญญาไว้แล้ว…”
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ!” องค์รัชทายาทหลี่เชิงมองไปที่องค์จักรพรรดิถังซึ่งตอนนี้พลังชีวิตหายไปอย่างสมบูรณ์ น้ำตาของเขาไม่สามารถหยุดไหลได้ เขาร้องไห้คร่ำครวญออกมาเสียงดัง
“ฝ่าบาท….”
จ้าวกงกงเงยหน้าขึ้นแล้วกระซิบคำด้วยเสียงต่ำ