เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 117
ภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์
เสียงทั้งหมดค่อยๆ จางหายไป
หลังจากที่ซูฉินบรรเลงเพลง ‘ชีวิตหลังความตาย‘ จบ เขาก็พร้อมที่จะกลับไป
ตอนที่เขามาที่นี่เขาก็ต้องการจะมาส่งเสด็จองค์จักรพรรดิถังเป็นครั้งสุดท้ายโดยวิธีการกวาดล้างสังหารเหล่าจอมยุทธที่อยู่นอกพระราชวังนั่น
เมื่อทำตามเป้าหมายเรียบร้อย เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ
“เจ้าเจ้าเจ้า?!”
จ้าวกงกงเบิกตากว้างและมองไปที่ซูฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
แม้ตัวเขาจะเป็นเหมือนตะเกียงที่แทบจะไม่เหลือน้ำมันแล้ว พลังทางกายแทบจะไม่หมดสิ้น แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขายังพอจับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเสียงของกู่ฉินอันนี้ได้ดับลมหายใจของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดไปถึงสองคน และยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอีกแปดคนที่อยู่ด้านนอกไปอย่างรวดเร็ว
“คาดไม่ถึงเลยว่าองค์รัชทายาทจะได้แต่งงานกับน้องสาวของตำนานยุทธ…”
ในตอนนี้แม้จ้าวกงกงจะไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของซูฉินเท่าไรนัก น้ำเสียงเขาฟังดูซับซ้อน แต่ก็มีบางส่วนที่เผยความโล่งใจออกมา
“ตำนานยุทธ?”
ซูฉินหยุดและมองไปที่จ้าวกงกง
“ฝ่าบาท ท่านจากไปได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ…”
จ้าวกงกงหันศีรษะกลับไป พึมพำอยู่กับตนเองเสียงแหบต่ำ ลมหายใจของเขาอ่อนลง อ่อนลง และสุดท้ายก็หมดลมหายใจไปอย่างสมบูรณ์
“สิ้นใจทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่รึ?”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ได้แปลกใจอะไร
เพื่อที่จะทำให้องค์จักรพรรดิมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาคงจะหมดสิ้นพลังชีวิตไปมาก หลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิ เท่ากับว่าเขาไม่มีพลังพอที่จะจุนเจืออีกต่อไป เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่จะขยับเขยื้อนไปไหน ไม่เช่นนั้นเขาจะยอมปล่อยให้ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเข้ามาภายในวังหลวงโดยไม่สนใจได้เยี่ยงไร
จะตายในท่านั่งแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร
“ช่างมีจิตใจจงรักภักดียิ่งนัก….”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นต่อจ้าวกงกง
เหล่าจอมยุทธในโลกนี้ค่อนข้างเป็นคนที่หัวรั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ปกติแล้วพวกเขาจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่ออะไรสักอย่างได้ง่ายๆ พวกเขามักจะทำตามใจตนไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ใช้ชีวิตอย่างสุขสันต์นับร้อยปี
แต่จ้าวกงกงนั้นแตกต่าง
สำหรับจ้าวกงกง ชีวิตของจักรพรรดิถังมีความสำคัญมากยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง
เห็นได้ชัดว่านี่ค่อนข้างเป็น ‘สิ่งที่ไม่เหมือนใคร‘ ในบรรดาเหล่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด
…
…
หนานหมิง
ภายในพระราชวัง
จักรพรรดิหมิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาของเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ในตอนนั้นเองผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเดินเข้ามาด้วยความเคารพ โค้งคำนับ และกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท”
“โอ้?”
จักรพรรดิหมิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งเอ่ยถามอย่างสบายใจ “จักรพรรดิถังนั้นกำลังจะตาย ท่านลุงของข้าก็น่าจะไปถึงพระราชวังถังแล้วกระมัง?”
“รายงานฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ”
“ข่าวล่าสุดที่ข้าได้รับมาจากราชาหวู่หยางคืออินจิ่วฝูจะร่วมลงมือในการบุกพระราชวังถังเช่นกัน”
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรตอบในทันที
“เยี่ยมมาก”
ด้วยท่านลุงและอินจิ่วฝู แม้ว่าจ้าวกงกงจะอยู่ที่นั่น มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด…”
น้ำเสียงของจักรพรรดิหมิงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ฝ่าบาท…”
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรดูลังเล แต่ก็อดไม่ได้ที่เอ่ยถาม “ฝ่าบาทได้ร้องขอชุดเกราะจำนวนแปดแสนชุดจากองค์ชายเฉิน จำนวนนี้น้อยเกินไปหรือไม่?”
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมีสีหน้างุนงง
แม้ว่าชุดเกราะรบจำนวนแปดแสนชุดจะทำให้อาณาจักรถังต้องตัดเนื้อเฉือนหนังของตนเองออกมา แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้มา องค์ชายเฉินมีแต่จะต้องยอมโดยไม่มีทางเลือกใด
ไม่ต้องพูดถึงชุดเกราะรบแปดแสนชุด แม้จะเป็นจำนวนล้านชุด องค์ชายเฉินก็มอบให้ได้
“ชุดเกราะรบแปดแสนชุด?”
จักรพรรดิหมิงยิ้มออกมา สีหน้าเจือไปด้วยความรังเกียจ “ชุดเกราะแปดแสนชุดมันก็แค่ทำให้พวกนั้นตายใจ”
“เป้าหมายของข้าไม่ใช่แค่ชุดเกราะรบแปดแสนชุด แต่เป็นอาณาจักรถังทั้งหมดต่างหาก”
เมื่อจักรพรรดิหมิงกล่าวเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันทีแล้วกล่าวเน้นทีละคำ “เจ้าคิดว่าข้าให้ท่านลุงไปที่พระราชวังถังเพียงเพื่อช่วยให้บุตรชายของจักรพรรดิถังได้ขึ้นครองราชย์เท่านั้นหรือ?”
“ฝ่าบาทหมายความเยี่ยงไรกัน?”
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรตกใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เจ้าจะได้รู้เมื่อยามที่ข่าวจากราชวังถังถูกส่งกลับมา” จักรพรรดิหมิงก้าวเท้าเดินอย่างช้าๆ ไม่ต้องการจะเผยอะไรให้มากความ
เมื่อตอนที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกำลังคาดเดาอยู่นั้น
ราชองครักษ์ก็ตรงปรี่เข้ามา
“ฝ่าบาท มีข้อมูลถูกส่งมาจากพระราชวังถัง…”
ราชองครักษ์คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เหงื่อไหลย้อยออกจากหน้าผากอย่างต่อเนื่อง
“โอ้?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิหมิง
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จากน้ำเสียงของจักรพรรดิหมิงที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงแผนการบางอย่าง จึงไม่แปลกที่เมื่อรู้ว่ามีข่าวกลับมา เขาจึงอยากรู้ความนัยนั้นเสียเหลือเกิน
“อ่านมาเถอะ”
จักรพรรดิหมิงเอนตัวเล็กน้อยลงบนบัลลังก์มังกร กล่าวคำสั่งด้วยเสียงอันเบา
“ขอรับ”
ราชองครักษ์กัดฟันแล้วเริ่มอ่านออกมา
“ราชาหวู่หยางและทหารองครักษ์ทั้งแปดถูกกลบฝังที่ด้านนอกพระราชวังถัง ไม่มีผู้รอดชีวิต…”
ทุกคนเงียบกริบ
หลังจากราชองครักษ์ผู้นั้นอ่านจดหมายเหตุจนจบ เขาก็รู้สึกได้ว่ารอบตัวของเขาเงียบกริบไปชั่วขณะ
อึก
ราชองครักษ์ตัวสั่นไปทั้งตัว คุกเข่าลงกับพื้นทั้งสองข้าง ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมาแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน
เสียงของจักรพรรดิหมิงก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ได้รับการยืนยันมาจากหน่วยข่าวกรองแล้วใช่หรือไม่?”
ในขณะนั้นเสียงของจักรพรรดิหมิงแหบแห้งลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังระงับอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง
ในความจริง ยามเมื่อเขาเอ่ยถามประโยคนี้ออกไป เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจตนเองแล้ว มันเกี่ยวข้องกับความตายของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแห่งหนานหมิง รวมถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถึงแปดคนเชียวนะ
“รายงานฝ่าบาท เราได้ยืนยันหลายรอบแล้ว…”
ราชองครักษ์กล่าวตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“ออกไปก่อน”
จักรพรรดิหมิงโบกมือออกไป เขาดูเหมือนจะแก่ขึ้นไปอีกสิบปีในทันตาเห็น
ราชาหวู่หยางเป็นดั่งบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของอาณาจักรหนานหมิง และตอนนี้เขาก็ได้ไปนอนทอดร่างอยู่ที่พระราชวังถังแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับหนานหมิง มันไม่ใช่เพียงราชาหวู่หยางเท่านั้น แต่พวกเขายังสูญเสียองครักษ์ประจำอาณาจักรหนานหมิงไปถึงแปดคนอีกด้วย
“เจ้าก็ออกไปด้วย”
จักรพรรดิหมิงเหลือบมองไปที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่คุกเข่าอยู่กับพื้น กล่าวสั่งด้วยเสียงต่ำ
“ขอรับ”
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามถึงแผนการขององค์จักรพรรดิหมิงอีกต่อไป…
ขนาดราชาหวู่หยางยังตายไปแล้ว ไม่ว่าจะวางแผนไว้ดีมากแค่ไหน ตอนนี้มันก็สลายหายไปเหมือนเป็นเพียงเงาจันทร์ในหนองน้ำเท่านั้น
…
…
เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในพระราชวังถังนั้นแพร่กระจายออกไปทั่วดินแดนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ในข้างต้นคือการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิถังองค์เก่า และการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทก็ได้ดึงดูดความสนใจของทุกอาณาจักรอยู่แล้ว ไหนจะมีเรื่องที่หนานหมิงยื่นมือเข้ามาแทรกแซงอีกซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสายตาของกองกำลังต่างๆ ที่เฝ้ามองมานับไม่ถ้วน
ทุกคนเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงภายในพระราชวังถังด้วยความรู้สึกราวกับดูละครเรื่องหนึ่ง
มีหลายคนที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีนักในเรื่องราวขององค์รัชทายาทองค์ปัจจุบัน เพราะองค์ชายเฉินนั้นได้รับการสนับสนุนจากหนานหมิงและอินจิ่วฝู มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดถึงสองคนที่อยู่เบื้องหลังเขา
องค์รัชทายาทจะไปทำอะไรได้?
แต่หลังจากที่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งคู่ได้ตายจากโลกนี้ไป ทั่วทั้งโลกก็ถึงกับสั่นสะเทือน
คนเหล่านี้คือยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด เมื่อไหร่กันที่สามารถจัดการได้ง่ายดายเพียงนี้
…
ในขณะที่ทั่วทั้งโลกต่างตื่นตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซูฉินก็กลับไปที่ตำหนักชุนฝั่งขวาเพื่อใช้ชีวิตอันแสนสุขสบายต่อไป
แต่สำหรับองค์รัชทายาทหลี่เชิง การกระทำของซูฉินเปรียบเสมือนการกอบกู้ราชวงศ์ ช่วยเหลือเหล่าขุนนาง ทหารหาญ และผู้คนอีกนับล้านชีวิต
หากองค์ชายเฉินได้ขึ้นครองบัลลังก์ ขุนนางข้าราชบริพารทั้งฝั่งพลเรือนและฝั่งกองทัพจะต้องถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน และด้วยการร่วมมือกับอาณาจักรหนานหมิงเช่นนั้นมันจะเผาไหม้อาณาจักรถังให้ตกต่ำลงในไม่ช้า
แต่ในสายตาของซูฉินนั้น มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบรรเลงเพลง ‘ชีวิตหลังความตาย‘
ตกดึก
ร่างของซูฉินไปปรากฏตัวที่ศาลบรรพชน
“ดูเหมือนว่านานแล้วที่ขาไม่ได้แวะมาลงชื่อเข้าใช้ที่ศาลบรรพชนแห่งนี้เลย”
ซูฉินหยุดฝีเท้าและมองไปที่ศาลบรรพชนของราชวงศ์ถังจากระยะไกล ทันใดนั้นเขาก็คิดบางอย่างขึ้นในใจ