เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 120
Sign in Buddha’s palm 120 ความโกลาหล
ตำหนักชุนฝั่งขวา
การแสดงออกในปัจจุบันของซูฉินเต็มไปด้วยความสุขสันต์
ในขณะนี้แก่นแท้แห่งพลังของตัวเขามีปริมาณที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า และแก่นแท้แห่งพลังดั้งเดิมก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแก่นแท้แห่งพลังอีกชนิดหนึ่งซึ่งทรงพลังและลึกซึ้งยิ่งกว่า ราวกับมันจะครอบงำโลกหล้าได้เลยทีเดียว
“ไม่เลวไม่เลว”
ซูฉินพอใจมาก
เขาทะลวงขอบเขตอรหันต์ตั้งแต่ระดับนภาชั้นที่หนึ่งมาจนถึงนภาชั้นที่สาม แก่นแท้แห่งพลังมีปริมาณเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่เมื่อตอนที่เข้าสู่นภาชั้นที่สี่ปริมาณของมันก็เหลือล้ำเกินไปกว่าเดิมเสียอีก
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าจากการพัฒนาระดับในครั้งนี้ก็คือแก่นแท้แห่งพลังของซูฉินได้รับการเปลี่ยนแปลงคุณภาพไปเป็นแก่นแท้ชนิดใหม่อย่างสมบูรณ์
เมื่อเทียบกับ‘ปริมาณ‘ที่เพิ่มขึ้นมา ซูฉินดูจะตื่นเต้นยินดีกับการปรับปรุง‘คุณภาพ‘มากกว่า
“อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องแก่นแท้แห่งพลังเลย มาดูกันว่าข้าสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้มากเท่าไหร่กันหลังก้าวข้ามผ่านมาถึงระดับนภาชั้นที่สี่แล้ว”
จิตใจของซูฉินค่อยๆ ผสานไปกับสิ่งรอบตัว
เมื่อเทียบกับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับระดับตำนานยุทธหรือระดับอรหันต์ก็คือความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดิน
ในบรรดาผู้ที่อยู่ในขั้นวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็สามารถดึงเอาพลังฟ้าดินออกมาใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ถ้ากลายเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธจะสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ เพียงขยับตัวก็เหมือนจะถูกเสริมพลังด้วยพลังฟ้าดินอันมากมาย
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าอรหันต์และตำนานยุทธไม่สนใจแบบแผนกลยุทธ์ของหมู่มวลมนุษย์
เว้นแต่จะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ตำนานยุทธหรืออรหันต์ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
หวึ่ง!
จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินยังไหลออกไปเรื่อยๆ จนกระจายออกไปเป็นระยะยี่สิบลี้รอบตัว
“ควบคุมพลังแห่งฟ้าดินได้ไกลถึงยี่สิบลี้แล้ว!”
ซูฉินดูมีความสุข
เขาสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้แค่ไม่กี่ลี้ตอนที่เพิ่งขึ้นมาอยู่ในขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง และเมื่อไปถึงระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์ก็ยกระดับความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินได้ไกลถึงสิบลี้
จากนั้นไม่ว่าซูฉินจะฝึกฝนมากมายเพียงใด การเพิ่มขอบเขตการใช้พลังก็ค้างอยู่ที่ระยะสิบลี้ ราวกับการควบคุมพลังฟ้าดินในระยะสิบลี้เป็นขีดจำกัดของอรหันต์ในนภาชั้นที่สามแล้ว
“พลังฟ้าดินในระยะยี่สิบลี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวข้าได้มากถึงสิบเท่า”
ความสุขสันต์บนใบหน้าของซูฉินยิ่งนานไปยิ่งทวีคูณ
อาจดูเหมือนว่ามีความแตกต่างเพียงแค่เท่าเดียวระหว่างระยะสิบลี้กับระยะยี่สิบลี้ แต่ความเป็นจริงมันกลับแตกต่างกันมาก
มันไม่ใช่แค่เพียงพลังฟ้าดินจะกว้างใหญ่ ต้องดูด้วยว่าความยืดหยุ่นในการใช้งานพลังฟ้าดินนั้นมากแค่ไหน ทั้งสองสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คนละระดับกัน
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ระดับนภาชั้นที่สามเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สี่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะโน้มเอียงไปทางการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพเสียมากกว่า…”
ซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่ถึงกับทรงพลังมากขนาดนี้ แล้วนภาชั้นที่เจ็ด นภาชั้นที่เก้าเล่า มันจะถึงขนาดทำลายฟ้าดินได้เลยไหม?”
ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา
ซูฉินไม่รู้ว่ามีตำนานยุทธคนใดที่เคยไปถึงนภาชั้นที่เก้าหรือไม่ แต่วัดเส้าหลินอันเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธมีประวัติศาสตร์สืบทอดมานานนับพันปีก็ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่หกเพียงเท่านั้น
ตามความเข้าใจของซูฉินจากที่ได้อ่านมาจากหนังสือโบราณของวัดเส้าหลิน สาเหตุที่อรหันต์ท่านนั้นสามารถบ่มเพาะจนขึ้นไปถึงระดับนภาชั้นที่หกได้ก็เพราะค้นพบโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
“มหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด…”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองออกไปนอกแผ่นดินใหญ่
ในตอนที่เขาได้รับแผ่นหนังสัตว์มาจากจอมมาร ซูฉินก็ได้รู้ว่าในส่วนลึกของมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุดอาจจะมีโลกอีกใบซ่อนอยู่
“ถึงแม้จะมีโอกาสที่ดีในส่วนลึกของมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด แต่มันก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน”
“ภายในวัดเส้าหลินเมื่อกว่าสองพันปีก่อน มีอรหันต์รูปหนึ่งที่ไปยังมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย…”
“ตอนนี้ตราบที่ข้ายังคงลงชื่อเข้าใช้ได้อยู่ ข้าก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องไปที่มหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด…”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย
ตำนานยุทธคนอื่นๆ ข้ามน้ำทะเลไปก็เพราะอยากที่จะก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งหรือไม่ก็ยืดอายุขัยของตนเอง ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำมันเป็นเพียงทางเลือกสุดท้ายเพื่อให้ได้มาซึ่งความหวังอันริบหรี่
แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป
เขามีอายุขัยเพียงพอ และสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเก้าร้อยเจ็ดสิบปี ประกอบกับไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝน ทำไมยังจะต้องไปที่มหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด?
ถ้าจะเปรียบเทียบมันก็ราวกับองค์รัชทายาทที่กำลังจะได้ครองบัลลังก์ แต่จู่ๆ เขาก็สละตำแหน่งละทิ้งทุกสิ่งไปเสียอย่างนั้น…
มันไม่โง่ไปหน่อยหรือ?
ซูฉินเป็นคนระมัดระวังตน แน่นอนว่าเขาต้องเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
“ก่อนที่จะทำอะไรอย่างอื่น ตอนนี้ต้องควบคุมระดับพลังให้มั่นคงเสียก่อน…”
ซูฉินคิดได้ดังนั้น ไม่นานก็หลับตาลง แก่นแท้แห่งพลังโคจรไปในแนวทางของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล
เวลาผ่านเลยไป
วันต่อมา
ซูฉินได้ทำให้ฐานของระดับพลังมั่นคงขึ้นเล็กน้อย และออกมาจากการปิดด่านฝึกตน
ทุกอย่างภายในวังเป็นไปตามปกติ จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็ขยันขันแข็ง อาณาจักรถังกำลังจะเฟื่องฟู
พระราชวังตะวันออกถูกทิ้งร้างมาโดยตลอดจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ซูฉินก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาชอบความเงียบสงบอยู่แล้ว ฉะนั้นสภาพแวดล้อมในพระราชวังตะวันออกตอนนี้คือสิ่งที่เขาต้องการ
“เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน…”
ซูฉินก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ปล่อยความคิดให้โล่งโปร่งสบาย
ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ผ่านมาสามสิบปีแล้วตั้งแต่เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะ และพริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่
จากนั้นซูฉินก็กลับเข้าสู่ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง
หลังจากเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่ ซูฉินก็ยังไม่ได้ชะล่าใจ เพราะเขาคิดว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
ลึกลงไปในมหาสมุทรก็ยังลึกจนไร้ก้น
เมื่อซูฉินใช้ชีวิตในการฝึกฝนและลงชื่อเข้าใช้ทุกๆ วัน
อีกหนึ่งปีก็ผ่านไปภายในพริบตา
ในปีนี้จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงได้ปลดหัวหน้าผู้ตรวจสอบของระบบการสอบจากราชสำนัก และตัวเขาก็เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเอง
ผู้สมัครทุกคน ในอนาคตจะไม่อยู่ใต้อำนาจของข้าราชบริพารขุนนางอีกต่อไป แต่จะขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิ
ตามคาด
ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ความขัดแย้งภายในสภาขุนนางก็ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิหลี่เชิงเข้าใจดีว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้สมบูรณ์ เพราะตราบใดที่ยังมีผู้คนอยู่ภายในสภาขุนนาง เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการสร้างกลุ่มก้อนขึ้น
แต่มันก็ช่วยให้การทะเลาะเบาะแว้งของฝ่ายต่างๆ ชะลอลงไปได้
และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพอใจแล้ว
ตกดึก
ขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารรีบเข้ามาที่ตำหนักไท่จี๋ จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
ขุนนางที่มาดูเคร่งเครียด ราวกับมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น
จากนั้นไม่นาน ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็กัดฟันถามออกมาด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท เหตุการณ์นี้มันเริ่มมาจากที่ใด? จริงหรือไม่พะย่ะค่ะ…”
คำที่พูดออกมา
จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถึงกับลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและกล่าวออกด้วยเสียงอันหดหู่ “จริงหรือไม่งั้นหรือ?”
จักรพรรดิหลี่เชิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาอ่านทีละคำ
“ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ข้าจะขอยืมพระราชวังของเจ้า ข้าและพี่ชายชุยเฉว่จะแลกเปลี่ยนชี้แนะวิถีกระบี่ซึ่งกันและกัน จาก เย่กู้เฉิง เจ้าเมืองไป๋หยุน”
หลังจากที่องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพูดจบ เขาก็มองไปที่เหล่าขุนนางพลเรือนและฝ่ายทหารของอาณาจักรถัง “เรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ทั้งโลกต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมด!”
“พูดมาซิ เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี?!”
จักรพรรดิหลี่เชิงกล่าวจบ
สีหน้าของเหล่าขุนนางก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่ชื่อของเจ้าเมืองไป๋หยุนอย่างเย่กู้เฉิงนั้น พวกเขาก็ต้องพอรู้จักอยู่บ้าง
ในปัจจุบัน แม้ว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจะหายาก แต่ก็มีจำนวนอยู่ไม่น้อย และในบรรดายอดปรมาจารย์ระดับแนวหน้า ชื่อของเย่กู้เฉิงเจ้าเมืองไป๋หยุนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่โดดเด่นขึ้นมา