เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 147 เข้าสู่ระบบ! โอสถไทหยวน!
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 147 เข้าสู่ระบบ! โอสถไทหยวน!
Sign in Buddha’s palm 147 เข้าสู่ระบบ! โอสถไทหยวน!
วังหลวง
ตําหนักชุนฝั่งขวา
เด็กน้อยสองคน หลี่หยวนและหลีหว่านกําลังยืนอยู่ด้านหน้าของซูฉิน
“ลุงสาม ดูนี่สิ ข้าพาเขามาที่นี่แล้ว…” หลีหว่านเหลือบมองมาที่หลีหยวนแล้วพูดกับซูฉินอย่างเอาหน้า
“ลุงสาม…พี่สาว พี่สาวรังแกข้า…”
ในที่สุดหลี่หยวนก็รวบรวมความกล้าในการพูดออกมา
รู้หรือไม่ว่าเวลาปกติเขาไม่มีแม้แต่ความกล้าจะพูดคุยกับซูฉิน เห็นได้ชัดว่าหลีหว่านกดดันเขาจนกังวลใจมากๆ ในตอนนี้
“ข้ารังแกเจ้างั้นหรือ?”
“ข้าไปรังแกเจ้าอย่างไร?”
หลีหว่านจ้องไปที่หลี่หยวนอย่างดุดัน
แม้ว่านางและหลี่หยวนจะเกิดพร้อมกัน แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงและฮองเฮาซูเยว่หยุนก็ถือว่าหลี่หยวนเป็นน้องชาย
ความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ผิดอะไร
ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของบุคลิกภาพหรือในแง่มุมต่างๆ หลี่หยวนมีพัฒนาการช้ากว่า และหลีหว่านก็มักจะเป็นพี่สาวขี้แกล้ง
“พี่สาวของเจ้าสามารถรังแกเจ้าได้เพราะนางฝึกวิทยายุทธ เจ้าอยากฝึกวิทยายุทธด้วยไหมเล่า” ซูฉินเหลือบมองไปทางหลี่หยวนและพูดอย่างเป็นกันเอง
แม้ว่าพรสวรรค์ในเชิงยุทธของหลี่หยวนจะด้อยกว่าหลีหว่านมาก แต่ในฐานะองค์ชายก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าฝึกวิทยายุทธไว้ป้องกันตัวเสียหน่อย
“ฝึกวิทยายุทธ?”
จิตใจของหลี่หยวนสั่นสะท้าน จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและพูดว่า “ช่างมันเถอะ ข้าไม่ได้ชอบวิทยายุทธ ตอนนี้คงจะดีกว่าถ้าข้าศึกษาตําราความรู้”
หลี่หยวนเคยลองฝึกวิทยายุทธมานานแล้ว แต่เขาไม่สนใจในวิทยายุทธเลย มีกงกงชุดแดงหลายคนช่วยเขาในการฝึกเดินลมปราณ แต่พอผ่านไปได้ครึ่งทาง หลี่หยวนก็มักจะผล็อยหลับไป…
สําหรับหลี่หยวน วิทยายุทธเป็นสิ่งที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง
“ตามนั้น”
ซูฉินเห็นว่าหลี่หยวนไม่ได้สนใจในวิทยายุทธ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดถึงมันอีก
บางที่สําหรับคนธรรมดา วิทยายุทธอาจจะเป็นทางออกเดียว แค่ฝึกวิทยายุทธเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่โดดเด่น แต่ในสายตาขององค์ชายอย่างหลี่หยวน วิทยายุทธเป็นเพียงทางเลือกของเขาเท่านั้น
“ลุงสาม ข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว ท่านอาจารย์มีสอนในตอนบ่าย” หลี่หยวนมองหลีหว่านอย่างระมัดระวังและพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ข้ารู้แล้วล่ะ ไปเถอะ”
ซูฉินโบกมือและพูดยิ้มๆ
ไม่นาน
หลังจากที่หลี่หยวนจากไป
หลีหว่านก็กะพริบตาและพ่นลมหายใจออกมา “อ่านหนังสือได้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่รู้ว่าหนังสือพวกนั้นมีอะไรดี”
“เอาล่ะ”
“ลุงสาม ตอนนี้ข้ากําลังฝึกเคล็ดวิชาหนึ่งอยู่ แต่ทํายังไงก็เริ่มฝึกฝนไม่ได้สักที”
ทันทีที่หลีหว่านพูดกับซูฉิน ใบหน้านางก็แสดงความทุกข์ใจออกมา
ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่นางเรียนเคล็ดบ่มเพาะตามที่ซูฉินบอกนางก็ไม่พบอุปสรรคในการฝึกวิชาอีกเมื่อโคจรกําลังภายใน
ดังนั้นตอนนี้หลีหว่านจึงไว้วางใจซูฉินเป็นอย่างมาก
“แสดงให้ข้าได้ดู”
ซูฉินได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาอย่างสบายๆ
หลีหว่านมีพรสวรรค์ที่ดีในด้านวิชายุทธ เรื่องติดขัดทั่วๆ ไปนางย่อมสามารถเข้าใจได้หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งเฉพาะปัญหาที่คิดไม่ตกจริงๆ เท่านั้นถึงจะมาถามซูฉิน
และซูฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะต้องช่วยเหลือ
สําหรับเขา การให้คําแนะนําหลีหว่านก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากคําพูดไม่กี่คํา
หลังจากนั้นไม่นาน
ดวงตาของหลีหว่านก็สว่างวาบ ฝีเท้าของนางเริ่มเคลื่อนไหวไปทีละขั้นตอน ร่างกายเริ่มวูบไหว
“ลุงสาม ข้าทําได้แล้ว”
ใบหน้าหลีหว่านมีความสุขอย่างมาก
นางคิดวิธีการฝึกท่าร่างนี้มาครึ่งเดือนแล้วและไม่สามารถทําอะไรได้ อย่างไรก็ตามด้วยการแนะนําของซูฉิน นางก็เข้าใจแจ่มแจ้ง นางจะไม่มีความสุขได้อย่างไร
“ลุงสาม ข้ารู้สึกว่าท่านนี่เก่งกว่าท่านกงกงข้างกายจักรพรรดิเสียอีก…” หลีหว่านพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์
ซูฉินเพียงยิ้มเมื่อได้ฟังคํา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ภายในโถงชีวิตนิรันดร์
จักรพรรดิถังดูตื่นเต้นยิ่ง
เนื่องจากเขาสั่งระดมกําลังพลเพื่อหวังพิชิตอาณาเขตของราชาหัวเมืองทั้งสิบเมื่อไม่นานมานี้ และผลลัพธ์ก็ออกมาดีเยี่ยม ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี
หลังจากสูญเสียผู้นํา ดินแดนอิสระเหล่านี้ก็เผชิญความเสี่ยงที่จะโดนบุกจากกองทัพถัง
ในช่วงเวลาอันสั้น สี่อาณาเขตของราชาหัวเมืองได้กลับคืนสู่อาณาจักรถังอีกครั้ง และแม้ว่าจะเหลืออีกหกอาณาเขตแต่พวกนั้นก็แทบจะต้านทานไว้ไม่ไหวแล้ว
“วันนี้ฝ่าบาททรงสําราญพระทัยหรือ?”
ฮองเฮาซูเยวหยุนแย้มยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของจักรพรรดิถัง
“ภัยร้ายในอาณาจักรถังกว่าห้าร้อยปีกําลังจะหายไป ข้าย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา” จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวตอบ
“ทําไมช่วงนี้ไม่เห็นหว่านเอ๋อเลย?” จักรพรรดิถังถามขึ้นเหมือนมีความคิดบางอย่างในใจ
“ หว่านเอ๋อ…”
ซุเยว่หยุนยิ้มออกมา “ช่วงนี้นางมักจะไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวาเพื่อตามหาพี่สาม…”
“พี่สาม…”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงพยักหน้าเล็กน้อย
ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงกังวลว่าจะทําให้หลีหว่านออกนอกลู่นอกทาง แต่กับซูฉิน
จักรพรรดิถังหลี่เชิงสามารถเชื่อถือได้เสียยิ่งกว่าได้
คนอื่นอาจจะเข้าหาหลีหว่านด้วยจุดประสงค์แอบแฝงและมีแรงจูงใจที่จะกระทําเรื่องไม่ดีได้
แต่สําหรับซูฉินมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อยหยุนเหนียง…” จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวขึ้น ก่อนจะมองไปรอบข้างแล้วไล่ขันที่และนางกํานัลให้ออกไปจากโถงชีวิตนิรันดร์ก่อน จากนั้นจึงพูดด้วยเสียงต่ำ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ซูเยว่หยุนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“หยุนเหนียง เจ้าเองคุ้นเคยกับวังหลวง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าวังใดอยู่ทิศใดบ้าง”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็ชี้ไปยังตําแหน่งที่ใกล้กับทิศตะวันออกเฉียงใต้
วันที่กองทัพราชาหัวเมืองพ่ายแพ้ไป
คนนอกเห็นเพียงแค่แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากวัง แต่ตําแหน่งนั้นไม่ชัดเจน พวกเขารู้แค่ว่าแสงศักดิ์สิทธิ์มาจากส่วนลึกของวังหลวง
แต่หลี่เชิงนั้นต่างออกไป
ในเวลานั้นตัวเขาเองก็อยู่ในวัง เขาอยู่ใกล้พอที่จะระบุได้ชัดเจนว่าแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนจะมาจากทางส่วนลึกของทิศตะวันออกเฉียงใต้
“ที่นั่น…”
แม้ว่าซูเยว่หยุนจะไม่ทราบว่าจักรพรรดิถังต้องการทําอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ตอบออกไปตามจริงว่า “มีวังในทิศทางนั้นหลายแห่ง อย่าง โถงฉงเหวิน พระราชวังอี๋ชุน โถงอู่เต๋อ พระราชวังเฟิ่งหวา…”
ซูเยว่หยุนเอ่ยชื่ออาคารหลายสิบแห่งติดต่อกันและท้ายที่สุดก็กล่าวว่า “และพระราชวังตะวันออกที่พวกเราเคยอาศัยก็อยู่ในทิศทางนั้นเช่นเดียวกัน ”
“เข้าใจแล้ว”
หลี่เชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จดจําชื่อพระราชวังทั้งหมดไว้ในใจก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
“ในอนาคตหากมีนางกํานัลขันที่สัญจรผ่านหรือเข้าไปทําความสะอาดบริเวณนั้น ให้พวกเขาใส่ใจและสุภาพนอบน้อมกับทุกคนที่พวกเขาได้พบ…”
หลีเชิงกล่าวเตือน
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ซ่อนตัวอยู่ในวัง แต่ผู้นั้นก็พยายามช่วยเหลืออาณาจักรถังไว้หลายครั้งหลายครา
แต่เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ต้องการปรากฏตัว หลีเชิงจึงทําได้เพียงไม่ให้ขันที่และนางกํานัลไปรบกวนอีกฝ่ายเกินไป
ตําหนักขุนฝั่งขวา
แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้ทราบความที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้ขอให้ขันที่นางกํานัลใส่ใจให้ความสุภาพ พอหลังจากเขาให้คําแนะนําแก่หลีหว่านไปเรียบร้อย เขาก็ค่อยๆ เดินเตร่อยู่ในวัง
“เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก”
ซูฉินเดินทอดน่องไม่เร่งรีบ บางครั้งก็พบกองทหารลาดตระเวนไปมา แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นซูฉิน
“วันนี้จะลงชื่อเข้าใช้ที่ไหนดีนะ?”
ความคิดของซูฉินเปลี่ยนผันไปมา
ถ้าอยู่ในวัดเส้าหลินคงจะมีสถานที่แค่สองแห่ง คือ ศาลาพระคัมภีร์กับลานโพธิ์ เพียงแค่สุ่มเลือกหนึ่งในนั้นมาสักแห่ง
แต่ภายในวังหลวง มีสถานที่มากกว่าสิบแห่งที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้
“แท่นบูชาเทพธรณีฯ”
ซูฉินตัดสินใจออกมา
ในช่วงหลายปีที่อยู่ในวังหลวง ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าแท่นบูชาเทพธรณีฯ ไม่รู้ว่ามีหยดน้ำหรือผลไม้จิตวิญญาณมากมายเพียงใดที่ได้มา เขาค่อนข้างมีความประทับใจต่อแท่นบูชาเทพธรณีฯ แห่งนี้
ไม่นานนัก
ซูฉินก็มาถึงแท่นบูชาเทพธรณีฯ
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
ซูฉินกล่าวคําอยู่ภายในใจเงียบๆ
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “โอสถไทหยวน” ]