เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 155 พร้อมทะลวงขั้น
Sign in Buddha’s palm 155 พร้อมทะลวงขั้น
พลังมังกรคชสารปัญญาบารมีเป็นเคล็ดวิชาที่ซูฉินได้รับมาจากหน้าจัตุรัสหยกขาวภายในพระราชวังถึงเมื่อสองวันก่อน
เมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นที่สิบสาม จะได้รับพลังประดุจมังกรสิบสามตัว ช้างสิบสามเชือก
โดยทั่วไปแล้ว แม้ว่าผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆที่ได้ฝึกวิชานี้ไป ก็จําต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อสําเร็จขั้นหนึ่งไม่ก็ขั้นสอง หากมีพรสวรรค์มากพอ บางทีอาจจะขึ้นไปถึงขั้นที่สามขั้นที่สี่ก็เป็นได้?
แต่ซูฉินใช้เวลาเพียงสองวันในการสําเร็จวิชาที่ผู้ฝึกยุทธธรรมดาจะไม่มีวันเดินไปถึงได้ตลอดชั่วชีวิต
“พลังของมังกรสิบสามตัวและช่างสิบสามเชือก บวกกับพลังของกายเนื้อของข้า แม้จะไม่ได้ใช้แก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย เพียงพลังกายอย่างเดียวก็คงต่อกรกับตํานานยุทธธรรมดาๆระดับนภาชั้นที่สี่ได้”
ซูฉินรู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นภายในร่างของเขา รอยยิ้มก็พลันปรากฏบนใบหน้า
ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธหรืออรหันต์คนใด วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือพัฒนาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ความสามารถของซูฉินในการเพียงใช้กายเนื้ออย่างเดียวก็สามารถเอาชนะตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ได้ ลองจินตนาการดูว่าร่างกายของซูฉินแข็งแกร่งเพียงใด
“นอกจากนี้ ร่างของข้ายังมีปราณชีวิตมังกรแท้จริง ไหลเวียนอยู่ตลอดอีกด้วย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งมีแต่จะแกร่งขึ้นเท่านั้น”
ความคิดของซูฉินสลับปรับเปลี่ยนไปมา ใบหน้าแสดงออกให้เห็นถึงความคาดหวัง
ในช่วงปีแรกๆ เขาได้ลงชื่อที่ด้านหน้าศาลบรรพชนของราชวงศ์และได้รับปราณชีวิตมังกรแท้จริงมา มันหล่อเลี้ยงเนื้อหนังของเขาอยู่ตลอดเวลา
แม้มันจะไม่ได้ช่วยพัฒนาอะไรได้มากในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่การพัฒนานั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ สะสมต่อไปอีกหลายปี ความฝันย่อมเป็นจริงในที่สุด
“ในตํานานว่าเอาไว้ว่า มีจอมยุทธที่ทําลายมิติได้ด้วยร่างกายของพวกเขาเอง ในตอนนั้นข้าคิดว่ามันคงถูกแต่งแต้มขึ้นมาโดยคนรุ่นหลัง มิติความว่างเปล่ามันมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ เพียงแต่สัมผัสไม่ได้ จะใช้เพียงกายเนื้อทุบทําลายอะไรได้กัน?”
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเมื่อร่างกายแข็งแกร่งถึงขีดสุดแล้วนั้น นับประสาอะไรกับมิติความว่างเปล่าทั้งหลาย แม้โลกทั้งใบก็คงทุบทําลายได้มิใช่หรือ?”
การแสดงออกของซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
จากนั้นซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
หนึ่งปีผ่านไปในพริบตา
วันนี้องค์หญิงหลีหว่านมาเข้าพบซูฉิน ใบหน้าของนางดูเคร่งเครียด “ลุงสาม ข้ารู้สึกเหมือนกําลังจะตัดผ่านระดับชั้น”
“ตัดผ่านขั้น?”
“เข้าสู่ระดับชั้นที่แปด?”
ซูฉินมองไปที่หลีหว่านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเริ่มทะลวงด่านได้เลย ข้าจะคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆเอง”
“เยี่ยมเลย”
หลีหว่านได้ยินดังนั้นก็เริ่มบุกทะลวงขั้นอย่างกระตือรือร้นในทันที
โดยทั่วไปแล้วเป็นช่วงเวลาสําคัญยิ่งนักสําหรับจอมยุทธในการตัดผ่านขั้นแต่ละครั้ง และมักจะหาสถานที่ปลอดภัย เพื่อทะลวงผ่านโดยไม่มีใครมารบกวน
เพราะในช่วงตัดผ่านระดับขั้นนั้น ทั้งพลังและจิตใจของผู้ฝึกยุทธจะถูกรวม จมดิ่งสู่ภายใน แทบจะไม่สามารถป้องกันตนเองต่อโลกภายนอกได้เลย
ในเวลานี้หากมีคนที่อยู่รอบนอก ก็เท่ากับกุมชีวิตความเป็นความตายของจอมยุทธผู้นั้นไปแล้ว
และหลีหว่านก็กําลังจะทะลวงขั้นต่อหน้าซูฉินโดยไม่มีความลังเล แน่นอนว่าต้องเชื่อใจซูฉินเป็นที่ยิ่ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
กําลังภายในของหลีหว่านก็ไหลรวมกันอยู่ที่จุดเดียว
ซูฉินเหลือบมองอย่างไม่ได้เคร่งเครียดอะไรนัก และรู้ว่าหลีหว่านไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรในการทะลวงขั้น
อันที่จริงซูฉินที่เป็นถึงอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่ห้ามักจะชี้แนะให้กับหลีหว่าน ควบคู่ไปกับทรัพยากรจากองค์จักรพรรดิ หากหลีหว่านยังเกิดปัญหาในการทะลวงขั้นไปสู่ระดับ ชั้นที่แปดเกรงว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครไปถึงระดับชั้นที่แปดเสียแล้วล่ะแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน
ลมหายใจของหลีหว่านก็เริ่มสงบลง
“ลุงสาม”
“นี่ข้าทะลวงขั้นสําเร็จแล้วหรือ?”
หลีหว่านลืมตากว้างมองมาที่ซูฉินด้วยความปิติยินดี
“ไม่เลวเลย ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับชั้นที่แปดเรียบร้อยแล้ว” ซูฉินกล่าวตอบ
ด้วยการตอบรับของซูฉิน เห็นได้ชัดว่าหลีหว่านพลันแจ่มใสมากยิ่งขึ้น ดวงตาของนางยิ้มจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“ในอนาคต ข้าจะต้องกลายเป็นจอมยุทธผู้ทรงพลัง และปกป้องอาณาจักรถังจากการถูกผู้อื่นย่ํายี”
หลีหว่านกําหมัดเล็กๆของนางแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้
ซูฉินเปิดปากพูด “ถ้าเจ้าต้องการปกป้องอาณาจักรถังจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งในระดับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด เจ้าทําได้หรือไม่เล่า?”
คําที่กล่าวออกมา
เห็นได้ชัดว่าหลีหว่านเหมือนถูกตีแสกหน้า ใบหน้าเล็กๆของนางก้มลงในทันที
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคือผู้ที่อยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นเต็มทน เมื่อกวาดตามองทั่วทั้งดินแดน ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในแต่ละอาณาจักร
สําหรับจอมยุทธตัวน้อยอย่างหลีหว่านที่เพิ่งเข้าสู่ระดับชั้นที่แปด ยังไม่ถึงขอบเขตสามระดับบนด้วยซ้ํา ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดย่อมอยู่ไกลเกินไป
ต้องรู้ว่าการฝึกยุทธย่อมจะยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก้าวเดินไปข้างหน้า ขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลางยังพอทําเนา มันยังพอจะผลักดันด้วยการใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์ แต่ขอบเขตสามระดับบนโดยเฉพาะจากระดับชั้นที่หนึ่งขึ้นไปสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดไม่ได้ใช้เพียงแค่ทรัพยากรแล้วจะขึ้นไปได้
ส่วนยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่จะขึ้นไปถึงขอบเขตอรหันต์หรือตํานานยุทธก็ต้องใช้โชคอย่างมหาศาล
หากไม่มีโชคที่ดีพอ ก็จะไม่สามารถเข้าใจพลังฟ้าดินบนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ตาม เมื่อไม่เข้าใจพลังฟ้าดินย่อมจะติดอยู่ในระดับนั้นต่อไป
ย้อนกลับไปเมื่อวันวาน ถ้าซูฉินไม่ได้ใช้กําลังของตนต้านหิมะถล่ม ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจถึงพลังฟ้าดินได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ จนบุกทะลวงเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ได้ในที่สุด
…
ในเวลาเดียวกัน
ภายในโถงชีวิตนิรันดร์
จักรพรรดิถังหลี่เชิงขมวดคิ้วมุ่น
“หนึ่งปีแล้ว”
“นี่มันก็หนึ่งปีแล้วนะ ทําไมจึงยังไม่พบตัวนักฆ่าจากสํานักสังหารโลหิตอีก?” จักรพรรดิถังเดินไปเดินมา ความคิดอันหลากหลายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้ลองใช้วิธีต่างๆ เพื่อดึงดูดใจนักฆ่าจากสํานักสังหารโลหิต รวมถึงการเปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ โยกย้ายกองกําลังภายในวัง และสุดท้ายถึงกับเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ
แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เกิดผลเลย
ราวกับนักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตหายวับไปในอากาศจริงๆ
“ฝ่าบาท หรือจะเป็นท่านผู้นั้นที่ลงมือไปแล้ว?” แม่ทัพแห่งวังหลวงที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกอย่างระมัดระวัง
“ท่านผู้นั้น?”
จักรพรรดิถังเงียบนิ่ง
จักรพรรดิถังรู้ดีว่า ท่านผู้นั้น” ที่แม่ทัพหมายถึงคือใคร
“เมื่อเร็วๆนี้ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อช่วงต้นปี สํานักสังหารโลหิตได้ไล่ศิษย์สาวกออกไป เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือภายในสํานักสังหารโลหิตก็เกรงกลัวกันไม่น้อย
แม่ทัพแห่งราชสํานักเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก แล้วกล่าวด้วยเสียงต่ํา “นั่นหมายความว่า สํานักสังหารโลหิตได้ยืนยันเองแล้วว่าการลอบสังหารล้มเหลว มือลอบสังหารเองก็ตกตายเสียภายในวังไปแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
อันที่จริงเขาก็มีความคิดเช่นนี้อยู่นานแล้ว ก่อนที่แม่ทัพแห่งราชสํานักจะพูดขึ้นมาเสียอีก
เพราะนักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตผู้นั้นหายตัวอย่างสมบูรณ์แบบเกินไป
ยกเว้นจะมีคนลอบลงมืออย่างลับๆ จักรพรรดิถังก็ไม่สามารถนึกถึงความเป็นไปได้อื่นอีก
“ไม่ว่ามือสังหารจะมีชีวิตอยู่หรือตกตายไปแล้วก็ตาม”
“การลาดตระเวนภายในวังไม่สามารถผ่อนปรนลงได้”
จักรพรรดิถังเหลือบมองแม่ทัพแล้วกล่าวคําออกมา
“รับพระบัญชา”
จากนั้นแม่ทัพแห่งวังหลวงก็ออกจากโถงชีวิตนิรันดร์ไป
ด้านนอกตําหนักขุนฝั่งขวา
ซูฉินเดินมาส่งหลีหว่านกลับไป แล้วหันหลังกลับเดินเข้าไปตําหนักชุนฝั่งขวา
“ในช่วงหนึ่งปีมานี้ ข้าได้บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่ห้าแล้ว ได้เวลาเตรียมตัดผ่านขั้น”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ครุ่นคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ
แม้ว่าจะเป็นตัวชูฉินเอง เขาก็ต้องรั้งรอให้ทุกอย่างเตรียมพร้อมก่อนจึงจะสามารถทะลวงขั้นได้