เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 159 โลกของถ้ําปีศาจ
Sign in Buddha’s palm 159 โลกของถ้ําปีศาจ
“เกือบจะเหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์แทบทั้งหมด”
ซูฉินมองไปยังปีศาจทั้งสองตนที่ถูกตนกดดันจนหมดสติไปทันทีที่ออกมา และพินิจอยู่ในใจ
ปีศาจสองตนนี้สูงประมาณสองเมตร มีเกล็ดประปรายที่บริเวณแก้ม ส่วนจุดอื่นๆ ก็เหมือนกับมนุษย์
“ข้าคิดว่ามันจะเป็นตัวอะไรแปลกๆ เสียอีก”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย คอนข้างพอใจ
ถ้าเขาต้องการไปลงชื่อเข้าใช้ภายในถ้ําปีศาจล่ะก็เขาก็ต้องปลอมตัวเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างแน่นอน
หากปีศาจแตกต่างจากมนุษย์มากเกินไป ซูฉันคงได้แต่ปวดหัวแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็มองดูปีศาจสองตนที่สลบอยู่ “ตื่น
ได้แล้ว”
หวิ่ง!!!
เปลือกตาของปีศาจทั้งสองตนขยับเปิดออกทั้งคู่ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมา
“ที่นี่?”
ปีศาจทั้งสองตนลืมตาขึ้นก็เริ่มตื่นตระหนก
สิ่งที่พวกมันจําได้มีเพียงฝ่ามือที่ฝ่าอากาศมาถึงพวกมันและหลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป
บัดนี้เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่พวกมันคิด
“ข้าถาม เจ้าตอบ” ซูฉินมองดูปีศาจทั้งสองตนแล้วจึงเปิดปากพูดออกมา
ซูฉินลองเรียนรู้ภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจมาอย่างคร่าวๆแล้วจากแผ่นหินด้านนอก หลังจากซึมซับอยู่สักพักแม้ว่าตัว เขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญนักแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาด้านการสื่อสาร กับเผ่าปีศาจเท่าไหร่
“ขอรับ”
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”
ปีศาจทั้งสองตนมองหน้ากัน รู้สึกขื่นขมภายในใจ
จนถึงตอนนี้แล้ว พวกมันจะไม่รู้สถานการณ์ของตนเองได้อย่างไร?
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูฉินก็ได้รู้ในทุกสิ่งที่อยากจะรู้ ดังนั้นเขาจึงยกฝ่ามือขึ้นตรงหน้าสายตาอันสิ้นหวัง
ของปีศาจทั้งสองตน พวกมัน ค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นผงธุลีไป
“ปรากฏว่าโลกถ้ําปิศาจที่เชื่อมต่อด้วยบ่อน้ําไปจรดกับสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า เมืองเมฆาปีศาจ งั้นรึ?”
ซูฉันค่อยๆ ปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอยขบคิดอยู่ในใจ
“พลังของปีศาจสองตนนี้เรียกได้ว่าต่ําตม ไม่ถึงขอบเขตสามระดับบนด้วยซ้ํา พวกมันเป็นแค่ชนชั้นล่างของโลกถ้ําปีศาจนั่นเป็นเหตุให้พวกมันจําต้องคอยเฝ้าผนึกเอาไว้ ไม่ยอมจากไปไหน เพราะคิดว่าหากวันใดที่ผนึกคลายออกพวกมันจะได้ถือโอกาสเข้าสู่โลก…”
“และตามที่พวกมันบอก เจ้าเมืองเมฆาปีศาจคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้ อยู่ในระดับราชาปีศาจ”
“แล้วราชาปีศาจนี่มันเทียบได้กับอรหันต์หรือตํานานยุทธหรือเปล่านะ?”
ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ซูฉินได้มาจากเผ่าปิศาจทั้งสองตนสําหรับข้อมูลอื่นๆ เช่น ตัวตนที่อยู่เหนือระดับราชาปีศาจ หรือเมืองอื่นๆที่นอกเหนือจากเมืองเมฆาปีศาจนั้น
ปีศาจสองตนนี้ไม่รู้เสียด้วยซ้ํา
“แต่อย่างน้อยข้าก็ยืนยันได้หนึ่งเรื่อง ยังไม่ต้องไปคิดถึงว่าโลกถ้ําปีศาจคงอยู่มานานแค่ไหน เพียงแค่เมืองเมฆาปีศาจเพียงแห่งเดียวก็สืบทอดมรดกมากว่าหมื่นปีแล้ว ถ้าดูจากพื้นหลังอย่างเดียวก็แทบจะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพระราชวังถังเลย…”
จิตวิญญาณของซูฉินสั่นไหว
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปเยือนถ้ําปิศาจใต้พิภพเสียแล้ว”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ จิตของเขาเกิดการเคลื่อนไหวจิตสัมผัส ศักดิ์สิทธิ์ในร่างก็เริ่มแยกตัวออกมา
สิ่งนี้ไม่ได้เหมือนกับการปลดปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่ซูฉินทําการแบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเกือบครึ่งหนึ่ง
หากเป็นตํานานยุทธและแม้แต่อรหันต์คนอื่นๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทําเช่นนี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มีความสําคัญมากไม่ต้องพูดถึงการแบ่งแยกออกมาครึ่งหนึ่งแม้แต่การตัดแบ่งหนึ่งในสิบส่วนก็ทําให้ตํานานยุทธอ่อนแรงเสียความแข็งแกร่งไปมากโขแล้ว
แต่ซูฉินแตกต่างออกไป ตอนที่เขาอยู่ในพื้นที่หวงห้ามภู เขาด้านหลังวัดเส้าหลินซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับ “วิชาของมารพุทธะ” ซึ่งก็คือจิตมารแยกวิถี สามารถใช้แบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้อย่างน่าอัศจรรย์
มารพุทธะถูกกักขังไว้ในผนึกตราประทับกว่าเก้าร้อย ปีด้วยความสิ้นหวัง แต่มันก็ยังแบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนให้เล็ดลอดออกจากผนึกได้ทุกๆ หนึ่งร้อยปี เพื่อใช้ สะกดจิตของศิษย์วัดเส้าหลินผู้ใดได้รู้ก็คงนึกภาพความน่า กลัวของวิชาลับนี้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่ซูฉินกําลังใช้อยู่ในขณะนี้หาใช่จิตมารแยกวิถีไม่ แต่ เป็นวิชาลับใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมโดยมีพื้นฐานมาจากวิชาลับดังกล่าว สามารถแยกตัวออกมาเป็นกิ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้
ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงเทียบเท่ากับเป็นอีกร่างที่เกิดขึ้นใหม่จากซูฉิน และไม่มีข้ อจํากัดด้านเวลาเหมือนของมารพุทธะ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง
ตรงหน้าซูฉินมีซูฉินอีกคนที่เหมือนต้นแบบทุกประการ
กลิ่นอายเหมือนกัน รูปลักษณ์เหมือนกัน เหมือนยันกระทั่งแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่รั่วไหลออกมา
ถ้าหากมาสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าร่างของซูฉินอีกคนหนี้งนั้นดูคล้ายภาพลวงตาอย่างมาก ดูราวกับไร้ตัวตน
“ดีแล้วล่ะ”
“ในที่สุดก็แบ่งแยกสําเร็จ…”
ใบหน้าของซูฉินซีดลง แววตาแห่งความสุขปรากฏขึ้น
แม้สําหรับตัวเขาเอง ก็นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ทําการแบ่งตัวเองออกเป็นร่างกึ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะโอสถศักดิ์สิทธิ์นับพันภายในระบบที่สามารถนํา มาฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ซูฉันคงไม่กล้าทําเช่นนี้
“ขั้นตอนต่อไปสําคัญมาก”
ท่าทีของซูฉินดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง และใช้มือขวาตัดชิ้นเนื้อพร้อมกับเลือดออกมาจากร่างกายโดยตรง
แต่ร่างกายของซูฉินน่าหวาดกลัวแค่ไหนกัน? ทันทีที่ชิ้นเนื้อถูกตัดออก บาดแผลก็เริ่มฟื้นตัว เลือดที่ดูใสราวกับ อัญมณีก็ไหลต่อตามเดิมภายในเวลาไม่นาน
หลังจากนั้น
ซูฉินมองดูชิ้นเนื้อและเลือดซึ่งถูกตัดออกมาโดยตนเอง
“จงไป!”
ซูสิ้นคิดอยู่ภายในใจ
ทันใดนั้นเลือดและชิ้นเนื้อก็ลอยไปตรงหน้าของร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า
“นี่คือขั้นตอนที่สําคัญที่สุด”
ซูฉินมองไปยังหยดเลือดและชิ้นเนื้อ
“ทิพยอํานาจ! กายเนื้อกําเนิดใหม่!”
ซูฉินเริ่มใช้จิตควบคุม
ชิ้นเนื้อและหยดเลือดที่อยู่ด้านหน้าของร่างกึ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มสั่นไหว เซลล์จากบริเวณขอบของเลือดเนื้อค่อยๆแผ่กระจายออกโดยรอบ
ทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่คือพลังที่ซูฉินได้รับมาจากจัตุรัสหยกขาวภายในวังหลวงและยังเป็นที่พยอํานาจที่ซูฉินได้มาเป็นอันดับที่สองนอกเหนือจากดวงตาแห่งสัจจะ
ทิพยอํานาจอันนี้สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ในระดับดีเยี่ยมเรียกว่าเป็นร่างกายกึ่งอมตะเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามซูฉินยังไม่แน่ใจนักว่ากายเนื้อกําเนิดใหม่จะสามารถงอกออกมาเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ได้หรือไม่
เพราะข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการใช้กายเนื้อกําเนิดใหม่ คือร่างกายส่วนสําคัญจะต้องไม่ได้รับความเสียหาย
แม้จะกล่าวได้ว่าซูฉินในตอนนี้ยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ด้วยชิ้นเนื้อ และหยดเลือดได้หรือไม่
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในครั้งนี้ซูฉินต้องรอคอยนานกว่าตอนที่แบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
หลังจากผ่านไปหนึ่งวันเต็ม
ซูฉินอีกคนก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้า ด้วยร่างกายที่เหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้ว
และในตอนนี้
ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ถัดจากกายเนื้อก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วหลอมรวมเข้ากับกายเนื้ออันนี้
หลังจากนั้นไม่นาน
ร่างดังกล่าวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เสร็จสิ้นแล้ว”
ซูฉินรู้สึกแปลกประหลาดมากในยามนี้
มันราวกับมีดวงตาเพิ่มมาอีกคู่หนึ่ง
“ข้าคงจะเป็นร่างจําแลงจากทิพยอํานาจ…”
ซูฉินกระซิบกระซาบกับตนเอง
ในความเป็นจริง ซูฉินก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือร่างจําแลงหรือไม่ เพราะการควบคุมร่างกายทั้งสองร่างก็เหมือนการควบ คุมแขนซ้ายกับแขนขวาไม่ได้มีอันไหนยากในการควบ คุมมากกว่าอีกร่างอย่างชัดเจนนัก
บางที่ซูฉินอาจจะจําแนกไม่ได้ด้วยซ้ําว่าร่างไหนคือร่างจ ริงร่างไหนคือร่างจําแลง
“ไปเถอะ”
“ไปยังโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพแทนข้าหน่อย”
ซูฉินที่กําลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็เห็นซูฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินไปยังบ่อน้ําปิศาจที่อยู่ไม่ไกล
พลังของโชคชะตาแห่งราชวงศ์หลงที่ผนึกปากบ่อเอาไว้มีความผันผวนเล็กน้อย เริ่มก่อตัวเป็นทางออกขนาดสูงเท่าตัว คนหนึ่งคนจะเข้าไปได้และซูฉินก็ก้าวเดินไปตามทางออกนั้น เข้าสู่โลกของถ้ําปิศาจใต้พิภพ