เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 173 สะเทือนเลือนลั่น
Sign in Buddha’s palm 173 สะเทือนเลือนลั่น
“เป็นไปได้อย่างไร?”
กองทัพกว่าห้าล้านนายของอาณาจักรเหมิ่งหยวนยืนนิ่ง พวกเขามองดูราชครูแห่งอาณาจักรที่เหมือนกับเทพเจ้าถูกทะลวงแทงด้วยนิ้วมือ เกือบจะคิดไปว่าสิ่งที่พวกมันเห็นนั้นคือภาพลวงตา
“ท่านราชครูแห่งอาณาจักรสิ้นชีพแล้ว?”
“ท่านราชครูแห่งอาณาจักรสิ้นชีพได้อย่างไร?”
ฝ่ามือฝ่าเท้าของคนในฝั่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเย็นเยียบ เริ่มวิตกกังวล ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดถึงการยอมจํานนของเหล่าอาณาจักรต่างๆ เหมิ่นหยวนจะครอบครองทั้งใต้หล้า…. แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนสิ้นชีพในพริบตา
หลังจากราชครูแห่งอาณาจักรเสียชีวิตลง อาณาจักรเหมิ่งหยวนก็สูญเสียอํานาจสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไป แม้ว่าด้วยอํานาจของอาณาจักรเหมิ่งหยวนตอนนี้ยังสามารถครอบครองพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดได้ แต่ก็คงเป็นเรื่องตลกถ้ายังคิดจะครอบครองใต้หล้า
เหล่าแม่ทัพนายกองที่ยืนอยู่เคียงข้างผู้นาอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็เริ่มหนาวเหน็บในใจ พวกเขาคิดไปไกลยิ่งกว่าคนอื่น ราชครูแห่งอาณาจักรสิ้นชีพ แล้วจะทําอะไรต่อไปดี?
อาณาจักรเหมิ่งหยวนมีกองกําลังกว่าห้าล้านนาย เรียกได้ว่าเป็นกองกําลังทั้งหมดของอาณาจักร เมื่อการรบพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าและต้องหวนคืนกลับสู่อาณาจักรอีกครั้ง เกรงว่าคงต้องเผชิญหน้ากับความคับข้องใจของผู้คน
และ…
แม่ทัพทั้งหลายเหลือบมองซูฉินผู้ซึ่งสังหารราชครูแห่งอาณาจักรลงได้ ขนบนหัวของพวกเขาก็ลุกชั้น
พวกเขาจะกลับคืนสู่อาณาจักรได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ นั่นคือคําถามที่ใหญ่ยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับความคับข้องใจของผู้คนเสียอีก
เมื่อเทียบกับกองทัพเหมิ่งหยวนที่เงียบกริบ
อาณาจักรถังส่งเสียงโห่ร้องอย่างเต็มที่ ทหารอาณาจักรถึงจํานวนมหาศาลเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาไม่รู้จักซูฉิน รู้เพียงแต่ว่าซูฉินออกไปเพื่อสังหารตํานานยุทธของกองทัพเหมิ่งหยวนและได้ช่วยชีวิตนับร้อยครัวเรือนโดยการลงมือในครั้งนี้
“อาณาจักรถังจงเจริญ”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ”
ผู้คนภายในเมืองฉางอันอดไม่ได้ที่ส่งเสียงตะโกนโห่ร้อง
“ชายผู้นั้นใช่ตํานานยุทธที่อยู่ภายในวังหลวงหรือเปล่า?” สตรีรูปงามผู้หนึ่งมองที่ซูฉินด้วยความชื่นชม
“มองดูแล้วก็อายุไม่ต่างจากข้ามาก ไม่รู้ว่าเรื่องที่ข้าเคยแต่งงานมาแล้ว…”
ผู้หญิงคนนี้ก้มหน้าลงและพูดงึมงําอยู่คนเดียว
“เห้เห้”
เมื่อจอมยุทธที่อยู่ด้านข้างได้ยิน เขาก็ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ตํานานยุทธนะเป็นที่เคารพมากเพียงไร? จะมาหลงเสน่ห์เจ้าได้อย่างไร…”
จอมยุทธคนนี้พูดได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อไป
แต่ความหมายที่อยู่ภายในประโยคเมื่อครู่ เท่ากับเป็นการบอกว่า “เจ้าไม่คู่ควร”
“เจ้า?!”
หญิงงามคนนั้นหน้าแดงซ่าน กระทืบเท้าแล้ววิ่งหนีไป
พอคนอื่นๆ เห็นฉากนี้ ก็หันมายิ้มให้กัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิดปกติอะไรกับความคิดของหญิงนางนั้น แต่ถ้าจะให้กล่าวว่าสามารถกระทําได้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“อย่างไรก็ตาม ตํานานยุทธในอาณาจักรถังของพวกเรานั้นแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัว ควรจะอยู่ในขั้นที่ลึกซึ้งแล้วของขอบเขตตํานานยุทธ”
จอมยุทธที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่าง
“จริงแท้”
จอมยุทธคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย ใบหน้าของพวกเขาแสดงอาการกริ่งเกรง
ซูฉินสามารถสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก สําหรับจอมยุทธเหล่านี้ ตํานานยุทธนั้นก็เป็นตัวตนที่ไกลเกินเอื้อมแล้ว แต่ชายผู้นั้นกลับเป็นผู้แข็งแกร่ง แม้แต่ในขอบเขตตํานานยุทธด้วยกัน?
ยามที่ผู้คนมากมายกําลังพูดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิถังและขุนนางทั้งหลายที่อยู่บนกําแพงเมืองต่างตกตะลึง
“พี่สาม สังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน?”
จักรพรรดิถังยังไม่ฟื้นตัวจากอาการตกใจที่ซูฉินก้าวเท้าเหยียบไปบนอากาศ รู้ตัวอีกทีก็เห็นราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนตกตายภายใต้น้ำมือของซูฉินเสียแล้ว จิตใจของพระองค์ว่างเปล่าอีกครั้ง
ผ่านไปนานทีเดียวก่อนจักรพรรดิถังจะตอบสนองได้อีก เขามองไปที่แม่ทัพแห่งวังหลวงซึ่งอยู่ด้านข้าง กล่าวถามด้วยเสียงแหบแห้ง “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”
“ฝ่าบาท”
แม่ทัพถึงเองก็รู้สึกตกใจ เหลือเชื่อ และความรู้สึกอื่นๆ ก็สาดซัดเข้ามามากมาย ในที่สุดเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถอนลมหายใจออก แล้วจึงกล่าวคํา “พระมาตุลาแห่งอาณาจักรเพิ่งจะสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนไปพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่แม่ทัพดังกล่าวคําไป เขาก็สงบจิตใจก่อนจะกล่าวต่อ “ฝ่าบาท พระมาตุลาแห่งอาณาจักรเป็นตํานานยุทธที่อยู่ภายในวัง”
เมื่อแม่ทัพดังกล่าวเช่นนี้ ภาพความทรงจําที่มีต่อซูฉินภาพแล้วภาพเล่ากวาบผ่านเข้ามาในใจ
ในสายตาของแม่ทัพถัง ซูฉินมีความสามารถบางอย่างที่แม้แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนก็ยังชื่นชม แต่เมื่อเทียบกับตัวตนอย่างตํานานยุทธ ทั้งหมดนั้นก็ไม่นับเป็นอะไร
“ปรากฏว่าข้าได้พบตํานานยุทธมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว…” แม่ทัพแห่งวังหลวงขณะนี้ดูเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันมากล้น
เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพภายในวัง มักจะเดินลาดตระเวนอยู่บ่อยๆ และบางครั้งก็จะเห็นซูฉินเดินเตร็ดเตร่อยู่ภายในวัง
“ข้าควรจะคิดได้ ข้าควรจะคิดได้ ข้าควรจะนึกออกแต่แรก”
จักรพรรดิถังร้องคํารามในใจ บ่นพึมพําอยู่กับตนเอง
ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาในราชวงศ์ถัง นอกจากปฐมจักรพรรดิแล้ว ยังไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องของตํานานยุทธมาก่อน และเมื่อมีเรื่องราวการลงมือของตํานานยุทธนั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากซูฉินย้ายเข้ามาอยู่ภายในพระราชวังตะวันออก
ยิ่งกว่านั้นทุกครั้งที่ตํานานยุทธภายในวังลงมือ ก็คือเมื่อยามที่จักรพรรดิถังกําลังเผชิญวิกฤตที่ถึงแก่ชีวิต เห็นได้ชัด าอีกฝ่ายสนใจแค่เฉพาะชีวิตของจักรพรรดิถังเท่านั้น
จักรพรรดิถังค่อยๆ ออกจากห้วงความคิด จ้องมองอย่างว่างเปล่าไปที่ซูฉินซึ่งยืนอยู่เพียงผู้เดียวท่ามกลางกองทัพเหมิ่งหยวน
“เสี่ยวฉิน เสี่ยวฉิน…”
ซูชื่อหมิน ซูเฉิงยู่ และซูเฉิงฮ่าว มองหน้ากันด้วยสายตาที่งุนงง ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
กองทัพเหมิ่งหยวน
หลังซูฉินสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนไป ท่าทางของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเป็นตํานานยุทธอย่างแน่นอน ในยุคนี้เรียกได้ว่าไร้ผู้ต้าน น่าเสียดายยิ่งแล้วที่ต้องมาพบกับซูฉิน
ซูฉินได้เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเรียบร้อยแล้ว ความห่างชั้นระหว่างราชครูเหมิ่งหยวนกับซูฉินไม่ต่างจากคนธรรมดาที่ต้องการจะท้าทายตํานานยุทธ
หรืออาจจะห่างชั้นยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉินเพิ่งจะก้าวหน้าขึ้นมาและต้องการสร้างความคุ้นชินกับความแข็งแกร่งของตนเอง เขาสามารถสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่ห่างออกไปสิบลี้โดยอยู่แต่ในเมืองฉางอันได้อย่างสมบูรณ์
ในตอนนี้
เสียงตะโกนก็ดังขึ้น
“เจ้าสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเหมิ่งหยวน เหมิ่งหยวนจะไม่มีวันจบสิ้นไปกับข้า ทหารหาญเอ๋ย ฟังคำสั่งข้า ใครทำร้ายคนผู้นี้ได้ข้าจะให้รางวัลหนึ่งแสนตําลึงทอง ศักดินาหนึ่งหมื่นหมู่ ผู้ที่สังหารคนผู้นี้ได้จะสามารถถือครองสกุลชนชั้นราชาผู้ครองดินแดน ได้รับเขตแดนอันไม่มีที่สิ้นสุด”
เสียงนี้ทุ่มลึก ทรงพลัง และกระจายออกไปไกลหลายในชั่วพริบตา
ทันใดนั้นกองทัพเหมิ่งหยวนทั้งห้าล้านนายก็เริ่มกระวนกระวายใจเล็กน้อย
เมื่อมีรางวัล ก็ต้องมีผู้กล้า
แม้ว่าทหารเหล่านี้จะเห็นซูฉินสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน แต่ในเมื่อพวกเขาเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว ใครบ้างจะไม่อยากประสบความสําเร็จ?
ในขณะนั้นเอง แม่ทัพผู้ออกคําสั่งก็รีบเข้ามาหาผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวน แล้วกระซิบคําว่า “ท่านผู้นําหนีกันเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพไม่คิดว่ากองทัพจํานวนห้าล้านนายจะสามารถจัดการกับซูฉินได้
เหตุผลที่เขาออกคําสั่งกับทหารเช่นนั้นไม่มีอะไรนอกจากตั้งใจจะเสียสละทหารจํานวนห้าล้านนายเพื่อซื้อเวลาให้กับผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน
ในความเห็นของเขา แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งพอที่จะสังหารเหล่าทั้งทหารทั้งห้าล้านนาย แต่ก็ควรจะใช้เวลาอยู่บ้างมิใช่หรือ?
หากการเสียสละของกองทหารกว่าห้าล้านนายสามารถทําให้ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนหลบหนีไปได้ทุกสิ่งย่อมคุ้มค่า
“หนี?”
ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนมองที่แม่ทัพใหญ่ ทันใดนั้นแสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ใช่ ตราบใดที่ข้าหนีกลับไปยังดินแดนทุกหญ้าอันกว้างใหญ่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะยังมีโอกาสอยู่”
ความหวังของผู้นาอาณาจักรเหมิ่งหยวนนิ่งถูกจุดขึ้น เขาก็มองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว อยากจะรู้ว่าเหตุการณ์ในสนามรบเป็นเช่นไร
แต่จากสิ่งที่เห็น ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนในชั่วชีวิตนี้