เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 183 หนึ่งความคิด พิชิตหกอาณาจักร
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 183 หนึ่งความคิด พิชิตหกอาณาจักร
Sign in Buddha’s palm 183 หนึ่งความคิด พิชิตหกอาณาจักร
ภายในโถงชีวิตนิรันดร์
จักรพรรดิถังมองดูเหรียญตราทั้งหกที่อยู่เบื้องหน้าของตน
เหรียญตราทั้งหกนั้นดูธรรมดามาก พื้นผิวเองก็หยาบกระด้าง ไม่พบความผิดแปลกใดๆ
“พี่สามบอกว่าถ้าทั้งหกอาณาจักรไม่ยอมจํานน ก็ให้นําเหรียญตราพวกนี้ออกมา”
“แต่ข้าไม่เห็นความพิเศษใดๆ บนเหรียญตราทั้งหกนี้เลย”
จักรพรรดิถังมองดูพวกมันอยู่นาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรนัก ดังนั้นจึงได้เลิกพินิจไป
จักรพรรดิถังเชื่อมั่นในซูฉินอย่างเต็มเปี่ยม ในเมื่อซูฉินกล่าวเช่นนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องไถ่ถามอีกต่อไป
“มานี่หน่อย”
จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาท”
หลิวกงกงโค้งคํานับแล้วเดินเข้ามาหา
“เจ้าและอีกห้าคนที่เหลือจงพกเหรียญตราทั้งหกนี้ไปยังหกอาณาจักร และมอบทางเลือกสองทางให้แก่พวกเขา” จักรพรรดิถังเอ่ยด้วยท่าที่เคร่งขรึม
“ทางเลือกสองทาง?”
หลิวกงกงเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิถังด้วยความสงสัย
“ถูกต้อง”
“จะยอมจํานนหรือตกตาย”
“หากอาณาจักรใดในทั้งหกอาณาจักรไม่ตกลง ให้พวกเจ้านําเหรียญตราออกมาใช้
จักรพรรดิถังกล่าวตามคําพูดของซูฉินโดยไม่มีตกหล่น
“รับพระบัญชา”
หลิวกงกงคิดหนัก
แม้เขาจะไม่รู้ทําไมท่าทีของจักรพรรดิถังถึงได้แข็งกร้าวนัก ไม่สนใจไยดีเงื่อนไขที่ทางนั้นเสนอ และมอบทางเลือกแค่สองทางออกมาเช่นนี้..
อันที่จริง ในความเห็นของหลิวกงกง สองทางเลือกนี้ไม่ค่อยจูงใจเท่าใดนัก ไม่ใช่ว่ามันจะไปทําให้ทั้งหกอาณาจักรโกรธเคืองหรอกหรือ
แต่ในฐานะขุนนางข้าราชบริพารคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดพระบรมราชโองการไม่นานนัก
หลิวกงกงก็เรียกขันที่มาอีกห้าคน
“พวกเจ้าทุกคนเข้าใจความหมายของพระกระแสรับสั่งแล้วใช่ไหม” หลิวกงกงเหลือบมองขันที่ทั้งห้าพร้อมทั้งกล่าวถาม
“ในการไปเยือนหกอาณาจักรในครั้งนี้ ความตายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ความยิ่งใหญ่ของต้าถังนับเป็นเรื่องสําคัญ ไม่ว่าจะถูกหกอาณาจักรข่มเหงอย่างไร พวกเราก็ไม่สามารถถอยกลับได้”
หลิวกงกงกล่าวออกไปทุกถ้อยคํา
ในการเดินทางไปยังหกอาณาจักรคราครั้งนี้ หลิวกงกงได้ยอมรับความตายเสมือนเป็นบ้านอีกหลังไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ถ้าเข้าไปภายในใจกลางของหกอาณาจักรและมีจุดมุ่งหมายที่แข็งกร้าว ให้ทางเลือกที่ไร้ซึ่งความเมตตา ย่อมทําให้ทั้งหกอาณาจักรโกรธเคืองเป็นเรื่องธรรมดา
แม้ว่าทั้งหกอาณาจักรจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับอาณาจักรถังเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยว แต่ก็คงจะไม่มีปัญหาใดที่จะลงมือกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างพวกเขา
ขันที่อีกห้าคนที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความคิดที่หนักอึ้งเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีความคิดที่จะปฏิเสธ ในฐานะขันทีภายในรั้วในวัง ชีวิตและความตายของพวกเขาขึ้นอยู่กับองค์จักรพรรดิ เมื่อพระองค์ต้องการให้อยู่ ย่อมอยู่ได้ แต่หากฝ่าบาทต้องการให้ตายก็ไม่มีใครกล้าที่จะมีชีวิตต่อไป
“รับทราบ
“แต่ละคนจะมีเหรียญตราคนละอัน หากทั้งหกอาณาจักรปฏิเสธที่จะยอมจํานน ให้นําเหรียญตราเหล่านี้ออกมาตามพระราชดํารัส หลิวกงกงได้มอบเหรียญตราให้ขันที่ทั้งห้าตามลําดับ และสุดท้ายหลังจากรับเหรียญตรากันคนละอันแล้ว ต่างก็ออกจากพระราชวัง ทยอยเดินทางไปยังหกอาณาจักรหนานหมิง
ณ พระราชวัง
จักรพรรดิหมิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าปรากฏความไม่แน่ใจ
“เจ้าว่า คนจากเมืองฉางอันจะยอมรับเงื่อนไขของข้าหรือไม่?” จักรพรรดิหมิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม
“ทูลฝ่าบาท”
“ก็แค่สัญญาเพียงฉบับเดียว หนานหมิงของเราอยู่ไกลออกมาทางตะวันออกเฉียงใต้ หากฝ่าบาทไม่ประสงค์จะจํานน ก็ต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปีในการปราบดินแดนหนานหมิงได้”
“สัญญานี้แลกกับการเสียเวลาไปกว่ายี่สิบปี อาณาจักรถังจะไม่ยินยอมได้เช่นไร?”
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกล่าวด้วยความเคารพ
“ข้าก็ว่าแบบนั้น”
จักรพรรดิหมิงพยักหน้าเล็กน้อย
สิ่งที่เขาต้องการก็แค่คําสัญญาจากเมืองฉางอัน มันไม่ได้มีอะไรมากจนเกินไป ไม่มีเหตุผลที่อาณาจักรถังจะไม่ตกลง
ในเวลานั้น มีขุนนางอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ตกลงล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
คําที่กล่าวออกมา
ภายในท้องพระโรงก็เงียบลงในทันใด
แม้แต่ใบหน้าของจักรพรรดิหมิงก็ดําคล้ํามืดมน
“ไม่ตกลง?”
“ข้ายอมมามากเกินพอแล้ว”
จักรพรรดิหมิงชําเลืองมองผู้คนที่เฝ้ามองมา “ถ้าอาณาจักรถังไม่เห็นด้วยจริงๆ ข้าก็คงต้องยอมหักดีกว่ายอมงอ คิดการใหญ่ภายหลัง หลบหนีไปอยู่ต่างดินแดน ไม่อยู่มันแล้วบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้”
“มีเกาะน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน และด้วยทักษะการเดินเรือของอาณาจักรหนานหมิง การพิชิตเกาะเหล่านั้นและยืนหยัดขึ้นใหม่ด้วยตัวพวกเราเองมันจะยากแค่ไหนกันเชียว?”
คําพูดของจักรพรรดิหมิงท่วมท้นไปด้วยพลังอํานาจที่แข็งแกร่ง
หนานหมิงอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลและมักจะส่งเรือออกไปสํารวจทะเลอยู่เสมอ พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ในต่างดินแดนอยู่บ้าง
แม้อาณาจักรถังจะให้กําเนิดตํานานยุทธขึ้นมา แต่หนานหมิงก็ไม่เคยยอมแพ้
ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดก็แค่ต้องละทิ้งดินแดนอาณาจักรหนานหมิงและหนีไปอยู่ต่างดินแดน
แน่นอนว่าหากจักรพรรดิหมิงเลือกได้ เขาจะไม่เลือกเส้นทางนี้ อย่างไรเสียชีวิตในต่างแดนก็ไม่ได้มีความสุขเท่าแผ่นดินใหญ่
ในตอนนั้นเอง
ทหารองครักษ์ก็รีบเดินเข้ามาภายในท้องพระโรง กระซิบคําที่ข้างหูขององค์จักรพรรดิหมิง
“หม?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิหมิง และเขาก็มองไปยังขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ในท้องพระโรง “ทูตจากราชวงศ์ถังได้มาอยู่ที่นี่แล้ว”
เมื่อข้าราชบริพารทั้งหลายได้ยินถ้อยคําเหล่านี้ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง
อาณาจักรถังส่งทูตมายังหนานหมิงในเวลานี้ เห็นทีจะมีเพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว
“ให้เขาเข้ามา”
จักรพรรดิหมิงกล่าวคําด้วยเสียงเบา
หลังจากนั้นไม่นาน
หลิวกงกงก็เดินเข้ามาภายในท้องพระโรง
“จักรพรรดิหมิง”
หลิวกงกงยื่นมือมาด้านหน้าคารวะจักรพรรดิหมิงเล็กน้อย ไม่ได้เคารพหรือนอบน้อมจนเกินไป
“จักรพรรดิถังให้คําตอบมาว่าอย่างไรบ้าง?”
จักรพรรดิหมิงขี้เกียจที่จะพูดคุยเรื่องไร้สาระ จึงถามเข้าประเด็นตรงๆ
“ฝ่าบาททรงมีกระแสรับสั่งบอกข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้มาว่า…” หลิวกงกงยืดตัวตั้งตรง มองไปที่จักรพรรดิหมิง
“โอ้ว”
จักรพรรดิหมิงมองหลิวกงกงด้วยความสนใจ
ขุนนางคนอื่นๆ ก็เงี่ยหูสอดรู้สอดเห็น
“เลือกว่าจะยอมจํานน…”
หลิวกงกงมองไปรอบข้าง “หรือตาย”
ทั้งท้องพระโรงเงียบสนิท
แรงกดดันอันแสนน่ากลัวปกคลุมไปทั่วทั้งโถง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
จักรพรรดิหมิงค่อยๆลุกขึ้น มองลงไปยังหลิวกงกง และกระแทกเสียงทีละคํา “ดี! ดีมาก! ไม่นึกเลยว่าจักรพรรดิถังจะกล้าดูถูกข้าเช่นนี้”
จักรพรรดิหมิงอยู่ในอารมณ์โกรธ
ถ้าจักรพรรดิถังปฏิเสธโดยใช้เล่ห์กลอย่างแนบเนียน เขาก็คงจะไม่โกรธมากนัก
“ในเมื่อจักรพรรดิถังไม่เข้าใจว่าอะไรดีไม่ดี ข้าก็จะไม่ไว้หน้าอีกแล้ว” จักรพรรดิหมิงเค้นเสียงออกมาตามไรฟัน “กวาดทองคําและเงินคงคลังทั้งหมดออกมา เอาสมบัติทุกชิ้นไปด้วย ติดตามข้าไปต่างดินแดน”
เมื่อจักรพรรดิถังนําทองคําและเงินทั้งหมดภายในเมืองหนานหมิงไป มันย่อมสร้างความโกลาหลอย่างมิอาจเลี่ยง แต่ในขณะนี้จักรพรรดิหมิงไม่สามารถดูแลสิ่งของเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“ส่วนเจ้า?”
จักรพรรดิหมิงมองหลิวกงกงอย่างเย็นชา “จงเข้ามา สังหารมันทิ้งซะ”
เสียงของจักรพรรดิหมิงเพิ่งจะดับไป
ร่างเงาหลายคนก็พุ่งเข้าหาหลิวกงกงอย่างเงียบเชียบ
กลิ่นอายซ่อนเร้นที่อยู่ในร่างของคนเหล่านี้ เหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งไปมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด
นับตั้งแต่ปราณฉีฟื้นคืน ไม่เพียงแต่พระราชวังถังเท่านั้นที่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากขึ้น แต่ยอดยุทธจํานวนมากก็ถือกําเนิดขึ้นบนโลกนี้ด้วยเช่นกัน
“พวกเจ้า?!”
ใบหน้าของหลิวกงกงซีดเซียว
เขาเป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น จะหยุดระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้อย่างไร
ขณะที่หลิวกงกงกําลังจะเริ่มต่อสู้เป็นตาย เขาก็นึกถึงเหรียญตราที่พกติดตัวมาด้วย
จักรพรรดิถังได้บอกให้เขานําเหรียญออกมาหลังจากที่หนานหมิงปฏิเสธ และตอนนี้ก็ชัดเจนว่าคงถึงเวลานั้นแล้ว
แม้ว่าหลิวกงกงจะไม่เข้าใจว่าเหรียญตราธรรมดาๆนี้จะสามารถป้องกันยอดยุทธผู้ทรงพลังอํานาจภายในอาณาจักรหนานหมิงได้เช่นไร แต่หลิวกงกงก็ยังทําตามคําสั่งของจักรพรรดิถัง
ในเวลาต่อมา
หลิวกงกงหยิบเหรียญออกมา ถือเอาไว้ราวกับมันเป็นสมบัติแสนล้ําค่า ชูขึ้นเหนือหัว
“อยู่ต่อหน้าความตายเช่นนี้ คิดว่าเหรียญตราชิ้นเดียวนั่น สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?”
ดวงหน้าของจักรพรรดิหมิงมีแววเยาะเย้ยอยู่ กําลังวาดหวังว่าจะได้เห็นหลิวกงกงกลายเป็นก้อนเนื้อด้วยน้ํามือของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดของอาณาจักรหนานหมิง
หวึ่ง!!
เหรียญตราในมือของหลิวกงกงพลันสว่างไสวราวกับดวงตะวันอันศักดิ์สิทธิ์บนฟากฟ้า แสงไฟส่องไปทั่วพระราชวังหนานหมิง
ขณะนั้น โลกทั้งใบเหมือนจะหยุดนิ่ง ดวงตาของทุกคนพร่ามัวมองเห็นร่างที่ดูเข้มแข็ง ค่อยๆเงยศีรษะขึ้นอย่างช้าๆ อยู่ภายในแสงอันไร้ขอบเขต เหมือนกับตัวตนนี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาจนไม่อาจทราบระยะทาง
“นี่คือ?!”
ฝ่ามือและฝ่าเท้าของจักรพรรดิหมิงเย็นวาบ มีความรู้สึกวูบเหมือนกําลังตกลงไปในเหว