เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่
Sign in Buddha’s palm 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่
ที่หน้าพระราชวัง
ซูฉินยกมือขวาขึ้น และละอองจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดายุคปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะค่อยๆสลายตัวไป
ถ้าซูฉินไม่ได้ครอบครองอาณาเขตปิงหลิงอาจจะหนีไปได้จริงๆ แต่น่าเสียดาย ภายใต้อาณาเขตแห่งนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว อยากจะพลิกผืนปฐพีหรือทําลายโลกก็ทําได้เพียงแค่คิด
ไม่ว่าปิงหลิงจะเร็วแค่ไหนก็ไร้ความหมาย ยกเว้นจะสามารถพุ่งทะลุมิติ แหวกอาณาเขตออกไปได้
“เป็นคลื่นปราณที่น่าสนใจ…”
ซูฉินมองไปที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิง หรือจะบอกว่าเขามองคลื่นปราณที่ห่อหุ้มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเอาไว้ต่างหากจึงจะถูก
ด้วยคลื่นปราณอันนี้นี่เองที่ทําให้ปิงหลิงสามารถถอดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หนีออกจากร่างกายด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวได้
ซูฉินเหลือบมองครู่หนึ่งจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก
หากคลื่นปราณนี้สามารถชักนําร่างกายให้หนีไปด้วยได้ ซูฉินก็คงจะสนใจอยู่บ้าง แต่นี่หลบหนีได้เพียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ…..
ซูฉินจึงไม่สนใจที่จะพินิจพิจารณา
หลังจากที่ซูฉินเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเป็นเศษละออง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนักพรตในชุดคลุม แบบฉบับเต๋าเป็นคนสุดท้าย
จนถึงตอนนี้ ในบรรดาผู้ที่มาจากต่างดินแดน เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่
นอกจากซูฉินที่ยืนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้แล้ว ก็เหลือเขายืนอยู่อย่างเดียวดาย
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
เมื่อเห็นซูฉินจ้องมองมา มือและเท้าของนักพรตในชุดคลุมเต๋าก็สั่นเทา
เพียงการเคลื่อนไหวไม่กี่กระบวนท่าของซูฉินก็เพียงพอที่จะกวาดล้างศิษย์นิกายใหญ่เหล่านั้นแล้ว โดยเฉพาะเทพธิดาคนปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ เห็นได้ชัดว่านางมีวิธีการหลบหนีบางอย่าง ยอมแม้กระทั่งละทิ้งร่างของนางเอง แต่ผลลัพธ์ก็คือหนีไม่พ้นเงื้อมมือของซูฉินอยู่ดี ซึ่งสําหรับนักพรตเต๋าผู้นี้ นี่ราวกับเป็นระเบิดลูกใหญ่ตกลงมาในจิตใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ทําไมข้าถึงไม่สังหารเจ้า” น้ําเสียงของซูฉินราบเรียบ ไม่มีขึ้นไม่มีลง แต่เสียงที่มาถึงใบหูของนักพรตเต๋านั้นราวกับสายฟ้าฟาด
“ผู้อาวุโสคงต้องการจะทราบความบางสิ่ง” นักพรตเต๋าคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบด้วยความเคารพ
“ฉลาดใช้ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน “จงมากับข้า”
แม้ว่าซูฉินจะไว้ชีวิตนักพรตเต๋าด้วยเหตุผลนี้ แต่ที่มากกว่านั้นคือนักพรตเต๋าเป็นเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ที่ไม่มีเจตนาฆ่า
แม้ว่าจะมีการประมือกับหร่วนชิง เขาก็เพียงแค่ทดลองฝีมือกันเท่านั้น และหร่วนซิงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร
ไม่ช้า
หลังจากที่ซูฉินพูดคุยกับจักรพรรดิถังสองสามคํา เขาก็พาหร่วนซิง นักพรตเต๋า รวมถึงคนอื่นๆกลับไปยังพระราชวัง
จักรพรรดิถังประจําตําแหน่งเรียกระดมกําลังพลเพื่อเข้าแก้ไขความวุ่นวายที่เกิดจากตํานานยุทธทั้งหก
ภายในพระราชวังตะวันออก ซูฉินมองไปทางนักพรตเต๋าด้วยท่าทางน่าเกรงขาม กล่าวออกอย่างสบายๆ “บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มา”
“ขอรับ”
นักพรตเต๋าโค้งคารวะก่อนจะกล่าวออกมา “ข้ามีนามว่า เหยียนไฟ และมาจากสํานักเอกะวิถีในต่างดินแดน”
“สํานักเอกะวิถี” ใบหน้าของหร่วนชิงที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจ้ารู้จัก สํานักเอกะวิถี” หรือ?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หร่วนชิงพร้อมกับเอ่ยถามเบาๆ
“นายท่าน สํานักเอกะวิถีมีชื่อเสียงมากในยุทธภพต่างแดน ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร?” หร่วนชิงกล่าวด้วยความเคารพ “แม้แต่ในหมู่นิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดน สํานักเอกะวิถีก็นับได้ว่าติดหนึ่งในห้าอันดับแรก”
“นักพรตแต่ละรุ่นของสํานักเอกะวิถี ต่างก็ทรงพลัง สามารถปราบปรามตํานานยุทธมากมายในต่างดินแดนได้”
“และได้ยินมาว่า เมื่อสามพันปีก่อน สํานักเอกะวิถีถึงกับให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีออกมาด้วยซ้ําไป”
หร่วนชิงอธิบายทุกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับ สํานักเอกะวิถี” อย่างรวดเร็ว
“เซียนเทพปฐพี่?”
“ดูเหมือนว่าสํานักเอกะวิถีนี่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว?”
ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด
ในระดับของซูฉิน เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ดีว่าการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นยากเย็นเพียงใด
เมื่อหร่วนชิงได้ฟังความเห็นของซูฉินเกี่ยวกับสํานักเอกะวิถี หนังศีรษะของเขาก็ชาวาบ ในฐานะที่สํานักเอกะวิถีเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน ข้ามผ่านเวลามานานหลายหมื่นปี ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งกี่คนต่อกี่คนก้าวออกมาจากสํานักแห่งนี้ แต่ซูฉินกลับกล่าวว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง?
ยิ่งไปกว่านั้นหร่วนชิงยังสังเกตเห็นได้รางๆ ว่า ยามที่ซูฉินประเมินด้วยคําว่า “ค่อนข้างแข็งแกร่ง” ซูฉินเหมือนจะแสดงความคิดเห็นต่อเซียนเทพปฐพีแห่งสํานักเอกะวิถีเมื่อสามพันปีก่อน
ส่วนสํานักเอกะวิถี
ไม่รู้ว่าตนเองคิดมากไปเองรึเปล่า แต่หร่วนชิงแอบสังเกตเห็นว่าซูฉินไม่ได้สนใจนิกายใหญ่ในต่างแดนแห่งนี้เลย
นักพรตเต๋าเหยียนไห่ยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่ได้คิดมากอย่างที่หร่วนซิงคิด แต่ในตอนนี้ เหยียนไห่รู้ดีว่าชีวิตความเป็นความตายของตนขึ้นอยู่กับความคิดวูบเดียวของซูฉินเท่านั้น ไม่ว่าสํานักเอกะวิถีจะแข็งแกร่งเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์
“เล่าต่อไป”
ซูฉินเพียงถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
สําหรับซูฉินแล้ว ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เป็นเพียงเรื่องของเวลา ไม่มีอะไรต้องกังวล
“ข้ามายังทวีปนี้พร้อมกับเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ศิษย์สายตรงของนิกายเฮยหยวนและคนอื่นๆ ได้มายังทวีปนี้ตามคําสั่งของครูบาอาจารย์เพื่อเข้าสํารวจพื้นที่จุดตัดที่มีการฟื้นฟูกระแสปราณฉีครั้งใหญ่”
เหยียนไห่กล่าวทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงจุดประสงค์ของตนเองและคนอื่นๆ เขาไม่กล้าหมกเม็ดสักเรื่องเดียว
เพราะเหยียนไห่รู้แก่ใจว่าต่อหน้าซูฉินผู้แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าผู้อาวุโสระดับสูง การกระทําการใดๆ เพราะคิดว่าตนฉลาดพอนั้นเท่ากับการแสวงหาความตาย
ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่การแสดงออกของหร่วนชิงกลับเปลี่ยนไปมากเมื่อได้ฟัง
โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าหญิงสาวในชุดขาวเป็นถึงเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวยิ่งขึ้น
“นายท่าน นายท่านเจอปัญหาร้ายแรงแล้ว…” หร่วนชิงพูดไปขนหัวก็ลุกพรึบ
เดิมที เขาคิดว่าคนที่มาที่นี่ในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายใหญ่ต่างดินแดน อย่างมากที่สุดก็คงเป็นศิษย์หลัก
หร่วนชิงไม่ได้คาดคิดว่าเหยียนไห่และคนอื่นๆ ต่างก็เป็นศิษย์สายตรงที่น่าภาคภูมิใจในยุคสมัยนี้
หร่วนซึ่งเข้าใจดีว่าคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของสิ่งใด
หากเป็นศิษย์ธรรมดา ถ้าซูฉินสังหารไป ก็เป็นเพียงแค่การสังหาร แม้ว่าเหล่าอาวุโสนิกายใหญ่จะไม่พอใจ แต่พวกเขาจะไม่มาขัดแย้งกับซูฉินเพียงเพื่อศิษย์ธรรมดาๆเป็นแน่
แต่ตอนนี้
คนเหล่านี้ใช่ศิษย์ทั่วไปที่ไหนเล่า?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปิงหลิงในฐานะเทพธิดายุคสมัยปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ได้รับการหมายมั่นให้เป็นเจ้าตําหนักในอนาคต การที่นางตกตายไปเช่นนี้ อย่างน้อยๆ เรื่องราวระหว่างซูฉินและตําหนักเทพเจ้าหิมะจะต้องไม่มีวันจบวันสิ้นเป็นแน่
ไม่มีแม้แต่คําว่าประนีประนอม
สําหรับศิษย์คนอื่นๆพวกเขาต่างก็เป็นศิษย์สายตรงจากนิกายใหญ่ แม้ศิษย์เหล่านี้จะไม่ได้มีคนเดียวในนิกาย แต่การสูญเสียไปหนึ่งก็เป็นเรื่องที่บอบช้ําไม่น้อย
การที่ซูฉินสังหารคนเหล่านี้เทียบเท่ากับการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนิกายใหญ่ในต่างแดน
มั่นใจในตัวซูฉิน แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวแล้วจริงๆ
ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ตัวคนเดียว จะสามารถต่อสู้กับนิกายใหญ่ในต่างแดนทั้งหมดได้หรือ?
“ไม่เป็นไร
ซูฉินโบกมือ ไม่ใส่ใจ
ตามที่เหยียนไห่ได้บอกมาในตอนนี้ ยอดฝีมือระดับสูงที่ สุดในนิกายใหญ่ก็เป็นเพียงตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่ห้า ไม่ก็นภาชั้นที่หก จะมากี่คนซูฉินก็เพียงตบจนแดดิ้นไปเสีย ให้หมด
ส่วนเหล่าบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกาย อาจจะมี บางคนที่ก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดและชั้นที่แปด แต่พลังชี วิตและเลือดเนื้อของพวกเขาเสื่อมถอยลงมากแล้ว ความ แข็งแกร่งก็ถดถอยอย่างหนัก
ในสายตาของหร่วนชิง นิกายใหญ่ในต่างแดนนั้นสูงส่งเทียมฟ้า แต่ในสายตาของซูฉินก็มองเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่กําจัดทิ้งไปได้ง่ายๆ
“จริงสิ การตายของเหล่าศิษย์เหล่านั้น พวกนิกายใหญ่คงไม่รู้หรอกกระมัง?” หร่วนชิงเหมือนได้พบแสงแห่งความหวัง และหันไปมองที่เหยียนไห่อย่างคาดหวัง
เหยียนไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาตามจริง “ข้าและศิษย์นิกายใหญ่ได้ประทับร่องรอยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงในดวงไฟแห่งชีวิต เก็บไว้ภายในส่วนลึกของนิกาย เมื่อตกตายอยู่ภายนอกนิกาย ดวงไฟแห่งชีวิตจะมอดดับลง และตอนนี้การตายของเทพธิดาปิงหลิงรวมถึงคนอื่นๆ อาจจะล่วงรู้ไปถึงนิกายของพวกเขาแล้ว…”
เมื่อหร่วนซึ่งได้ยินคํากล่าวนั้น มือเท้าของเขาก็เย็นเยียบ
“ไม่เป็นไร”
ซูฉินขัดจังหวะการสนทนาของหร่วนชิงกับเหยียนไห่ ก่อนจะถามตรงๆ “ข้าให้เจ้าสองทางเลือก ยอมจํานนหรือจะยอมตาย”
เมื่อเหยียนไห่ไม่ได้ยินคํากล่าวนั้น
แม้ว่าสถานะภายในสํานักเอกะวิถีของเขาจะไม่ได้สูงสุด แต่ก็ไม่ได้ต่ําตม และคงไม่ใช่การพูดเกินจริงหากกล่าวว่าเขาเองก็เป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์
แต่ตอนนี้เมื่อต้องเอาศักดิ์ศรีมาเปรียบเทียบกับชีวิต เหยียนไห่ก็อยู่สภาวะลังเลสองจิตสองใจ
“ผู้อาวุโส ข้าเลือกยอมจํานน” ในท้ายที่สุด เหยี่ยนไห้ก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโค้งคํานับ
ไม่ใช่ทุกผู้ทุกคนที่หาญกล้าเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย โดยเฉพาะตํานานยุทธผู้สูงส่ง ผู้ที่สามารถเพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก พวกเขาจะเต็มใจตายได้อย่างไร?
เพียงความคิด ซูฉินก็ได้แบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา ส่วนหนึ่ง ฝังลงไปในร่างกายของเหยียนไห่
“คารวะนายท่าน” เหยียนไห่นั่งลงก้มหัวให้กับซูฉิน
เมื่อเทียบกับหร่วนชิง เหยียนไห่รู้ดีกว่าเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินฝังมาในร่างนั้นเป็นการเชื่องโยงกับจิตใจโดยตรง ตราบที่หาญกล้ามีความคิดเป็นอื่น เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ย่อมระเบิดออกอย่างมิอาจเลี่ยง และทําลายจิตวิญญาณของเหยียนไห่จนสิ้น
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
ซูฉินโบกมือพร้อมกับกล่าวคํา
“ขอรับ”
เหยียนไห่และหร่วนชิงเหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะโก้งคํานับและหันหลังจากไป
หลังจากที่ทั้งสองจากไปอย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปทางต่างดินแดน ดวงตาของเขาสงบนิ่งเหม่อมองออกไปไกล
“นิกายใหญ่ สํานักระดับสูงในต่างแดน…”
หลังจากที่ซูฉินสังหารศิษย์นิกายใหญ่ต่างแดนหลายต่อหลายคนด้วยคมมีด
ในส่วนลึกของต่างแดน ภายในวังขนาดใหญ่ที่ทําจากผลึกน้ําแข็ง เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกําลังนั่งคุยอยู่กับเหล่าผู้อาวุโสหลายคน
“คราวนี้พวกเราจะต้องระวังให้ดีเรื่องสถานที่ในข้อพิพาท เรื่องราวนี้เกี่ยวพันกับมรดกหลายหมื่นปีของตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้า ”
เสียงของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นคมชัด แต่เยือกเย็นดุจภูเขาน้ําแข็ง
“รับคําสั่งเจ้าตําหนัก”
ผู้อาวุโสหลายคนที่ดูเคร่งขรึมกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับเจ้าตําหนักเทพเจ้า
พลังในที่แห่งนี้นั้นเริ่มไหลช้าลง ไม่เพียงเท่านั้น ปราณฉีที่มีมากมายไร้ที่สิ้นสุดของดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้เริ่มจะไหลออกไปอย่างกะทันหัน
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก หัวหน้านิกายใหญ่ในต่างดินแดนต่างประชุมหารือกัน ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุป คําทํานายของสํานักชะตาฟ้าควรจะเป็นเรื่องจริง
พื้นที่จุดตัดสําคัญนั้นมีอยู่จริง
“ท่านเจ้าตําหนักไม่ต้องกังวลไป ปิงหลิงได้ไปยังพื้นที่จุดตัดสําคัญแล้ว นางต้องจัดการได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกําลังจะกล่าวคํา
ฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง
ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะก็รีบเข้ามา
“ท่านเจ้าตําหนัก ผู้อาวุโส แย่แล้ว แย่แล้ว” ศิษย์คนนั้นดูสับสนงุนงง มีร่องรอยของความหวาดกลัวแฝงอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะขมวดคิ้ว มองไปยังศิษย์คนดังกล่าว
“ท่านเจ้าตําหนัก เจ้าตําหนัก ดวงไฟแห่งชีวิตของเทพธิดา…มอดดับแล้ว.” ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวด้วยน้ําเสียงอันสั่นเทา
คําที่กล่าวออกมา
ใบหน้าของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็กลายเป็นแข็งตึง
ในทันทีหลังจากนั้น อุณหภูมิภายในวังน้ําแข็งทั้งหมดก็ลดฮวบ โดยมีเจ้าตําหนักเป็นจุดศูนย์กลาง