เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 209.1 (1) แผ่นดินสะเทือน
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 209.1 (1) แผ่นดินสะเทือน
Sign in Buddha’s palm 209 (1) แผ่นดินสะเทือน
เมื่อซูฉินพูดขึ้นมาสี่คํา “เกาะภูตหยิงโจว” ชิงชิวชิงหลิ งก็เปลี่ยนท่าทีไปทันที ท่าทางที่แสนน่าสงสารก่อนหน้า ก็กลายเป็นเย็นชา
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ชิงชิวชิงหลิงกล่าวออกมา เสียงของนางยังคงคมชัดและห วานซาบซ่าน แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“ข้ารู้ได้อย่างไร?”
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไอพลังของชิงชิวชิงหลิงผสานกันได้อย่างลงตัวมาก ไม่ แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวการยั่วยวนการสร้างความสับสนและกิริยาอันสูงสง่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะสงสัยนาง
ถึงชิงชิวชิงหลิงจะสามารถซ่อนลมหายใจของนางได้ แต่ปราณฉีประจําตัวนั้นยากจะปกปิด
ปราณฉีนั้นยากที่จะปิดบังกันได้
กลิ่นอายสามารถปิดซ่อนได้ง่าย แต่ปราณนั้นมีมาแต่กําเนิด
มนุษย์ก็มีปราณฉีของมนุษย์ สัตว์ก็มีปราณฉีของสัตว์พฤกษาก็มีปราณฉีของพฤกษา ตราบใดที่ยังมีชีวิตย่อมมีปราณฉี
และด้วยดวงตาแห่งสัจจะของซูฉินไม่ว่าจะเป็นชิงชิวชิว หลิงกลุ่มสตรีที่อยู่ด้านหลังนาง หรือร่างงามในชุดคลุมสีแดงที่ออกมาเชื้อเชิญเขาเมื่อครู่ปราณฉีที่เผยให้ เห็นนั้นแตกต่างจากของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง
ปราณฉีที่ซูฉินเห็นในร่างเหล่านี้ คล้ายคลึงกับสัตว์บางชนิด
แต่ไอพลังในร่างของชิงชิวชิงหลิงนั้นทรงพลังยิ่งกว่าสัตว์ธรรมดาๆไปมากโข
มันคล้ายคลึงกับเรื่องราวสัตว์อสูรหรือภูตอสูรในตํานานมาก
เกาะหยิงโจว เป็นหนึ่งในสิบทวีปและสามเกาะเป็นเกาะเซียนในตํานานศักดิ์สิทธิ์แต่บัดนี้เกาะแห่งนี้ถูกกลุ่มภูตอสูรเข้ายึดครองจึงถูกซูฉินเรียกว่าเกาะภูตหยิงโจว
สิ่งเดียวที่ซูฉินประหลาดใจก็คือ กลุ่มภูตอสูรนั้นปรากฏตัวขึ้นเร็วมาก
ในความเห็นของเขา จากแนวโน้มกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนแม้ว่าสัตว์ร้ายบางตัวจะสามารถก่อกําเนิดปัญญาขึ้นมาได้ที่ตามแต่การก่อเกิดปัญญาหาใช่ว่ามันจะกลายเป็นสัตว์อสูรหรือภูตอสูรไม่หากต้องการให้มีเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรเกิดขึ้นจริงๆอย่างน้อยก็ต้องหลายสิบปีให้หลัง
ซูฉินมีเพียงข้อสันนิษฐานเดียวเมื่อนึกถึงเกาะหยิงโจวที่ตอนนี้ถูกยึดครองเอาไว้ คงจะมีปราณคงเหลืออยู่เรื่อยมาจนถึงยุคฟื้นคืนของกระแสปราณฉีอีกครั้งผนวกกับ การแยกตัวเป็นเอกเทศของพื้นที่เกาะพอจะเข้าใจได้ว่าคงจะมีสัตว์อสูรบางเผ่าพันธุ์รอดมาได้
“เหตุผลที่เจ้าอยากให้ข้าสัมผัสกับแผ่นหินสีดํานั่นเพราะมันมีค่ายกลสังหารอยู่ใช่หรือไม่จึงชักนําให้ข้าเข้าไปหามัน?”
ซุฉินมองแผนการของชิงชิวชิงหลิงออก
ด้วยดวงตาแห่งสัจจะร่วมกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดทั้งยังมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และอาณาเขต ยังจะมีสิ่งใดในโลกที่สามารถซ่อนตัวจากซูฉินได้
ชิงชิวชิงหลิงไม่ลังเลที่จะเลือกใช้เกาะหยิงโจวเป็นเหยื่อล่อเพื่อดึงดูดซูฉินให้เข้ามา ทุกอย่างดูราบรื่นไม่มีติดขัดแต่ในสายตาของซูฉินมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการจ้อง เส้นลายมือของตนเองทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทั้งหมด
ใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงเริ่มบิดเบี้ยวน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ
หากซูฉินเพียงคาดเดาได้ถึงตัวตนของพวกมัน ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่บัดนี้ซูฉินถึงกลับรู้ ตําแหน่งของค่ายกลสังหารบนเกาะหยิงโจวนี่ไม่ใช่เรื่องบัง เอิญแล้ว
“น่าเสียดาย…”
ชิงชิวชิงหลิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และท่าทีก็ค่อยๆสงบลง “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ไหนแต่ในเมื่อเข้ามาเหยียบที่นี่แล้วก็คงจะออกไปไหนไม่ได้อีก”
“เลือดของตํานานยุทธชั้นยอดหนึ่งหยดก็เพียงพอแล้วที่จะผลักดันความแข็งแกร่งของข้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้น”
ชิงชิวชิงหลิงเลียริมฝีปากสีแดงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
มองไปยังซูฉินด้วยแวว
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง
“มีค่ายกลรูปแบบสังหารอยู่ที่นี่จริงๆ”
“แต่ขอบเขตของค่ายกลสังหารไม่ใช่ศิลาสีดําเหตุผลที่ข้าเรียกให้เจ้ามาตรงนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการป้องกันความผิดพลาด”
“อันที่จริง ตั้งแต่เจ้าเข้ามา มันก็ได้อยู่ในเขตแดนสังหารเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อชิงชิวชิงหลิงกล่าวจบ ก็กระทืบเท้าอย่างรุนแรงและตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ํา “จงขึ้นมา!”
ในชั่วพริบตา
ทั้งโลกก็มืดมิด
พลังฟ้าดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลังธาตุทั้งห้าทองคํา ไม้ น้ํา ไฟและดินต่างกระจายตัวออกไปอัดแน่นอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วในอากาศ
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ตอนนี้ถ้าเจ้าลองร้องขอความเมตตาข้าก็จะช่วยเมตตาเจ้าสักหน่อย”
“แต่หาไม่แล้ว ข้าจะทําให้เจ้าสัมผัสกับความเจ็บปวดของการถูกดูดกลืนปราณชีวิตและเลือดเนื้อให้ความตายค่อยๆคืบคลานมาเยือน”
ชิงชิวชิงหลิงเย้ยหยัน
ในขณะที่ค่ายกลสังหารถูกปกคลุมไว้ทั้งหมด ชิงชิวชิงหลิงได้กุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว แม้ว่าซูฉันต้องการจะวิ่งหนีไปตอนนี้ มันก็สายเกินไป
“ค่ายกลรูปแบบการสังหารนี้น่าสนใจจริงๆ”
ซูฉินไม่ได้สนใจชิงชิวชิงหลิง ยังคงมองไปรอบๆดูค่ายกลสังหารที่ล้อมรอบไปทั่วบริเวณ
ค่ายกลสังหารนี้มีพื้นฐานมาจากพลังของธาตุทั้งห้าทอง ไม้ น้ํา ไฟ ดินและธาตุทั้งห้าก็หมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่รู้จบ ถ้าไม่ใช่เพราะความเสียหายของรูปแบบหยินหยางตรงกึ่งกลางและสามารถรวบรวมพลังหยินหยางเข้ากับทั้งห้าธาตุเกรงว่ามันอาจจะสร้างปัญหาให้กับซูฉินได้จริงๆ
“เจ้าสมควรตาย!”
เจตนาฆ่าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงและมันก็ควบคุมค่ายกลสังหารให้พุ่งเข้าใส่ซูฉินโดยตรง
เสี้ยว
ธาตุทั้งห้าหมุนวนราวกับเครื่องโม่หินขนาดใหญ่ที่มีพลังทําลายรุนแรง
อย่างไรก็ตาม
พลังของธาตุทั้งห้าได้หายไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ใกล้ฉินในระยะหนึ่งร้อยจ้าง
ดูเหมือนว่าภายในหนึ่งร้อยจ้างรอบตัวซูฉินกฎธรรมชาติไม่อาจเข้าถึงศัตรูนับหมื่นก็ไม่อาจหักหาญราวเป็นเซียนเทพองค์หนึ่งก็มิปาน
“นี่คือ?”
“นี่คืออาณาเขต?”
ใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงเปลี่ยนไปในทันทีดูไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น
นางจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว?
ชิงชิวชิงหลิงนั้นสามารถตรวจสอบโดยวิธีการบางอย่างของเผ่าพันธุ์ภูตอสูรทําให้ทราบได้ว่าซูฉินนั้นเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด
ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดหากว่ากันตามทฤษฎีแล้วจะสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้
แต่ทฤษฎีอย่างไรก็เป็นทฤษฎีในความเป็นจริงชิงชิวชิงหลิงไม่เคยได้ยินตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้มาก่อน
แม้ว่าจะเป็นช่วงกระแสพลังรุ่งเรืองเฟื่องฟูในยุคที่แล้วพวกผู้ทรงพลังอย่างผิดปกติต่างก็กําเนิดขึ้นมากมายมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกได้ว่าได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ ก็ยังสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้ตอนอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้วเท่านั้น
ทว่าเหล่าบุตรแห่งสวรรค์พวกนั้นได้ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กในช่วงที่กระแสปราณฉีรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด
แต่ซูฉินเล่า?
แม้กระแสปราณฉีจะฟื้นคืนมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังห่างไกล จากจุดสูงสุดนัก ความสามารถของซูฉินในการควบแน่นอาณาเขตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ช่างน่าประหลาดใจยิ่ง
“ความลับใหญ่!”
“เจ้าจะต้องซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้แน่”
ดวงตาของชิงชิวชิงหลิงกลายเป็นร้อนแรง แทบอดรนทน ไม่ไหวที่จะกลืนซูฉินเข้าไปทั้งเป็น
“อย่างไรเสีย ตราบใดที่เจ้าตาย ความลับของเจ้าก็ จะกลายมาเป็นของข้า” น้ําเสียงของชิงชิวชิงหลิงนั้นดูตื่นเต้นอย่างมาก
เดิมที่มันคิดว่าซูฉินเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้น ที่เจ็ด มันไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้
“เจ้ามีอาณาเขตคอยคุ้มกัน ค่ายกลสังหารไม่สามารถทํา อะไรเจ้าได้”
“แต่ตราบใดที่ค่ายกลสังหารยังดําเนินการต่อไป เจ้าก็ห นีไปไหนไม่พ้นเช่นกัน”
ชิงชิวชิงหลิงเลียริมฝีปากของตน และพูดอย่างดุดัน “ช่วง ชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเจ้าขอบเขตตํานานยุทธมีอายุ ขัยไม่เกินห้าร้อยปี ข้าจะกลืนกินเจ้าจนตาย คว้าความลับอันยิ่งใหญ่ที่เจ้ากุมไว้มา”
ชิงชิวชิงหลิงได้ตัดสินใจแล้ว
สําหรับเผ่าพันธุ์ภูตอสูร โดยเฉพาะเผ่าจิ้งจอกภูต ช่วงชี วิตของชิงชิวชิงหลิงนั้นยาวไกลกว่าตํานานยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์มากนักเวลาหลายร้อยปีสําหรับนางแม้ว่าจะต้องเจ็บปวดใจอยู่เล็กน้อยแต่ก็เทียบไม่ได้กับความลับอันยิ่งใหญ่ที่สามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้ในระดับ นภาชั้นที่เจ็ด
“หรืออีกทาง ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้ามอบความลับนั้นของเจ้ามาแล้วข้าจะหาทางลงให้กับเจ้าไม่เช่นนั้นก็รอคอยความตายอยู่ที่นี่เสียเถอะ”
ชิงชิวชิงหลิงกล่าวคําออกมา ฟังดูเหมือนต้องการจะมีเมตตา
แต่ในความจริง ชิงชิวชิงหลิงไม่เคยคิดจะปล่อยซูฉินไปตั้งแต่ต้นเหตุผลที่นางกล่าวเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการมอบความหวังอันน้อยนิดให้ซูฉิน
“โอ้ว”
“หาทางลงให้แก่ข้า?”
เมื่อซูฉินกล่าวออกไปเช่นนี้
ใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
[1] KEะภูตอสูร สิ่งมีชีวิตที่แต่เดิมไม่ใช่มนุษย์อาจเป็นสัตว์,พืช แต่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ส่วนใหญ่จะเป็นจึงจอกพืชพันธุ์บางชนิด