เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 232 สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 232 สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”
Sign in Buddha’s palm 232 สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”
ตีนเขาคุนหลุน
ภายในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง
ในเวลานี้ เนื่องจากการกําเนิดขึ้นของวิหารการสงคราม ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธจํานวนมากเท่าไหร่ที่มารวมตัวกับรอบเขาคุนหลุน ต้องการจะเห็นวิหารการสงครามตามข่าวลือด้วยตาของตนเอง เป็นเวลานับพันปีมาแล้ว ตราบใดที่จอมยุทธที่ออกมาจากวิหารการสงครามยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยเขาก็จะไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ หรือแม้แต่ไปถึงขอบเขตตํานานยุทธซึ่งเป็นตัวตนที่ขาดหายไปนาน
ไม่มีจอมยุทธคนไหนจะเพิกเฉยต่อโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่หาได้ยาก ในรอบพันปีเช่นนี้ ส่งผลให้โรงเตี้ยมรอบเชิงเขาคุนหลุนพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
และในตอนนั้นเอง
ด้านนอกโรงเตี้ยมมีร่างสองร่างกําลังก้าวเดินมาอย่างช้าๆ ด้านซ้ายเป็นชายที่ดูสงบนิ่ง ด้านขวาเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่งดงามราวกับรูปสลักหยก
“ลุงสาม”
“เรามาทําอะไรกันที่นี่หรือ?”
เด็กสาวตัวเล็กแหงนหน้าขึ้นมองชายคนนั้นเอ่ยถามออกมาด้วย เสียงอันเบา
“พาเจ้ามาดูว่าจิตสังหารคือสิ่งใด” สายตาของชายผู้นี้กว้างไกลนัก เขากล่าวคําออกมาอย่างแผ่วเบา
สองคนนี้ย่อมเป็นซูฉินและหลี่หว่าน
หลี่หว่านทําความเข้าใจเจตจํานงแห่งดาบที่ซูฉินทิ้งไว้ให้ทั้งยามกลางวันและยามกลางคืน เส้นทางดาบของนางไว้ที่สิ้นสุด แต่ขาดจิตสังหาร ซูฉินจึงใช้โอกาสที่วิหารการสงครามโผล่ขึ้นมานี้พาหลี่หว่านออกมาสู่โลกภายนอก
การฝึกฝนวิทยายุทธ โดยเฉพาะเส้นทางแห่งดาบต้องผ่านการต่อสู้ที่ถึงแก่ชีวิตมากมาย ในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์ถังหลี่หว่านมีสถานะเป็นที่นับหน้าถือตาภายในวัง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขันทีชุดแดงหรือรองแม่ทัพแห่งวังหลวง ใครเล่าจะกล้าโจมตีหลี่หว่านอย่างจริงจัง?
ดังนั้นซูฉินจึงพาหลี่หว่านออกมา อย่างไรเสีย ถึงแม้จะไม่มีหลี่หว่าน เขาก็ต้องมายังเขาคุนหลุนแห่งนี้อยู่แล้ว
“โอ้…”
หลี่หว่านได้ยินคํากล่าวของซูฉินก็มายืนด้านข้างของซูฉินอย่างเชื่อฟังทันที
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในโรงเตี้ยม เสี่ยวเอ้อนประจําร้านก็เดิน เข้ามาทักทายในทันที กล่าวคําออกมาอย่างเคารพว่า “ทั้งสองท่าน โปรดขึ้นมาที่ด้านบนเถิดขอรับ”
ดวงตาของเสี่ยวเอ้อดูเคร่งขรึม แม้ว่าเขาจะไม่เห็นอะไรในตัวของซูฉิน ทว่ายิ่งเป็นเช่นนั้นเขาก็ยิ่งไม่กล้าไม่ใส่ใจ
ในช่วงเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธผ่านมามากมายเพียงใด บางที่ซูฉินอาจจะเป็นปรมาจารย์ผู้ซ่อนเร้นก็เป็นได้
ไม่นานนัก
หลังจากที่ซูฉินนั่งลง หลี่หว่านก็ไปนั่งอยู่ข้างๆ
“ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังยอดเขาคุนหลุน ด้วยการสังเกตอย่างใกล้ชิดนี้ เขาสัมผัสได้ถึงเวลาจําเพาะของการกําเนิดของวิหารการสงครามได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
เมื่อครั้งยังอยู่ภายในเมืองฉางอันที่อยู่ห่างจากเขาคุนหลุนถึงแสนลี้ แม้จะใช้ดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ก็สามารถสัมผัสความผันผวนของชั้นบรรยากาศได้เพียงแผ่วเบาเท่านั้น ทําได้แค่อนุมานเวลาที่วิหารการสงครามจะปรากฏขึ้น
แต่นั้นก็เพียงการคาดเดาคร่าวๆ มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอยู่ราวๆครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้ซูฉินมาอยู่ที่เชิงเขาคุนหลุนแล้ว สามารถทํานายเวลาการกําเนิดขึ้นของวิหารการสงครามได้อย่างแม่นยําภายในช่วงสองสามวัน
“อย่างไรเสียตอนนี้ทุกสิ่งอยู่ในจุดที่พบทางตัน รอต่อไปอีกไม่กี่วันก็ไม่ได้เสียหายอะไร” ซูฉินวางมือไว้บนโต๊ะไม้แล้วเคาะเบาๆ
ตอนนี้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นแล้ว และไม่สามารถทําอะไรได้ในช่วงสั้นๆ ส่วนการพัฒนาระดับสู่นภาชั้นที่เก้า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทําได้ในทันที
“ไม่รู้ว่าวิหารการสงครามจะมีสิ่งใดทําให้ข้าประหลาดใจได้บ้าง?”
มีแสงสว่างเลือนรางในดวงตาของซูฉินครุ่นคิดอยู่กับตนเอง
ขณะที่ซูฉินกําลังครุ่นคิดอยู่นั้น
ภายในโรงเตี้ยมก็เหมือนโดนระเบิดลง
จอมยุทธจํานวนมากที่มารวมตัวกันก็เริ่มพูดคุย
“พวกเจ้าคิดว่าการปรากฏตัวของวิหารการสงครามในครั้งนี้ ราชาดาบชิงเฉิงจะมาหรือไม่?” ชายชุดดําถามด้วยความสนอกสนใจ
ราชาดาบชิงเฉิงเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาเก่งกาจในเรื่องการฆ่าฟัน
“ราชาดาบชิงเฉิง?”
มีจอมยุทธคนหนึ่งหัวเราะออกมา “วิหารการสงครามนั้นเป็นโอกาสอันหาได้ยากในช่วงเวลานับพันปี ไม่ใช่แค่ราชาดาบชิงเฉิง แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งพวกนั้น ข้าเกรงว่าก็ไม่สามารถทนความปรารถนาที่จะมาได้”
“ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด…”
เกิดความเงียบงันทั่วโรงเตี้ยมอย่างกะทันหัน
แม้กระแสปราณฉีจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมากแล้วในตอนนี้ สภาพแวดล้อมทําให้การบ่มเพาะกลายเป็นเรื่องง่าย แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็ยังหาได้ยากยิ่ง ยังนับเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่
“แล้วเหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งล่ะ?” จอมยุทธอีกคนหนึ่งถามด้วยดวงตาที่เร่าร้อน
“เหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่ง
”
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่ก็ยังนับว่าเป็นระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี และสิ่งเดียวที่สามารถเรียกได้ว่าอยู่เหนือระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ ก็น่าจะเป็นตํานานยุทธและอรหันต์
“ในยุคนี้ ข้ารู้เพียงว่าผู้ที่อยู่เหนือระดับชั้นที่หนึ่งมีเพียงสองท่าน หนึ่งคือวัดเส้าหลิน อีกท่านเป็นตํานานยุทธในเมืองฉางอัน”
ในเวลานี้ ที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีฟ้า ก็ค่อยๆกล่าวออกมา
เมื่อชายในชุดสีฟ้าพูดขึ้น ทุกคนในโรงเตี้ยมก็มองมาที่เขา
“เขาคือ?”
สีหน้าของจอมยุทธต่างก็เปลี่ยนไป มองไปที่ชายชุดฟ้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ราชาดาบชิงเฉิง ข้าไม่คาดคิดเลยว่าราชาดาบชิงเฉิงจะมาถึงเขาคุนหลุนแล้ว…” จอมยุทธบางคนหันหน้ามองกัน สีหน้าเต็มไปด้วยอาการตกตะลึง
ชายในชุดสีฟ้าผู้นี้ก็คือราชาดาบชิงเฉิงที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงไปเมื่อสักครู่
ราชาดาบชิงเฉิงเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นและมีชื่อเสียงอย่างมาก แทบจะกลบชื่อเสียงของยอดยุทธรุ่นเก่าไปหมดเลย
“ราชาดาบ เจ้าคิดว่าระหว่างอรหันต์จากวัดเส้าหลินกับตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอัน ผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอกว่ากัน?”
ชายชุดดําที่เพิ่งพูดจบไป ก็ถามขึ้นมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อจอมยุทธคนอื่นๆ ได้ยิน พวกเขาก็รีบเงี่ยหูฟังทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็อยากจะทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ตํานานยุทธและอรหันต์เป็นขีดจุดสูงสุดของวิทยายุทธมาโดยตลอด แม้ว่าทั้งสองจะมีชื่อต่างกัน แต่ก็มีอํานาจในระดับเดียวกัน
“ผู้ใดแข็งแกร่งกว่า…
”
ราชาดาบชิงเฉิงลังเล แม้ว่าเขาจะรู้อะไรมากกว่าคนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ แต่เขาจะไปรู้ถึงความแข็งแกร่งระดับตํานานยุทธได้อย่าง
“จากเรื่องราวที่เห็นในปัจจุบัน ตํานานยุทธเมืองฉางอันน่าจะแข็งแกร่งกว่า” ราชาดาบชิงเฉิงก้มหน้าลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวตอบ
เหตุผลที่เขาสรุปออกมาเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะมีตํานานยุทธมากมายตกตายอยู่ภายในเมืองฉางอัน
ไม่ว่าจะเป็นราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนหรือตํานานยุทธบรรพบุรุษของสํานักสังหารโลหิต ทุกสิ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน
ส่วนผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินนั้นตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ก็มีแต่จัดการกับจอมมารที่บุกมาถึงหน้าประตูวัดเท่านั้น
เมื่อเทียบกับตํานานยุทธเมืองฉางอัน แน่นอนว่าดูอย่างไรก็อ่อนแอกว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
จอมยุทธหลายคนภายในโรงเตี้ยมครุ่นคิดตาม
“ราชาดาบ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าการกําเนิดขึ้นของวิหารการสงครามในครั้งนี้ อรหันต์จากวัดเส้าหลินและตํานานยุทธเมืองฉางอันจะมาหรือไม่?
จอมยุทธบางคนเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วถามออกมาเสียงดัง
“ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับตํานานยุทธเมืองฉางอัน” ราชาดาบชิงเฉิง เหลือบมองฝูงชนแล้วพูดด้วยเสียงต่ําว่า “แต่ผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินไม่น่าจะมา”
คําที่กล่าวออกมา
จอมยุทธจํานวนมากในที่แห่งนี้ต่างงงงวย
พวกเขาไม่คาดคิดว่าราชาดาบชิงเฉิงจะมีความมั่นใจว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินจะไม่มา
“ข้าได้ศึกษาตําราโบราณมาก่อน ตํานานยุทธและอรหันต์ที่กําเนิดขึ้นมาในสมัยก่อน มักจะไม่มีใครอยู่ในทวีปนี้เป็นเวลานาน แต่จะข้ามน้ําข้ามทะเลไปยังดินแดนระดับที่สูงกว่า”
ราชาดาบชิงเฉิงไม่ได้ปิดบังอะไร กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ปรากฏตัวที่วัดเส้าหลิน ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับท่านอีกเลย”
“ข้าคิดว่ามันเป็นไปได้สูงที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ออกจากวัดเส้าหลิน และออกจากทวีปนี้ไปแล้ว ”
แม้ว่าน้ําเสียงของราชาดาบชิงเฉิงจะเบามาก แต่ก็กระจายไปทั่วโรงเตี้ยม ก้องเข้าไปในหูของทุกคน
นี่ไม่ใช่แค่ราชาดาบชิงเฉิงเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหรือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็คิดเช่นนี้
อรหันต์จากวัดเส้าหลินได้จากไปแล้ว
“มิผิด”
“ถ้าผู้ทรงสมณศักดิ์ยังคงอยู่ในวัดเส้าหลิน เกรงว่าจะเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลกนานแล้ว จะเก็บตัวกันมากว่ายี่สิบปีได้อย่างไร?”
จอมยุทธหลายคนพยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย
แม้พุทธศาสนาจะไม่แสวงหาความขัดแย้ง แต่ก็ใช่จะไม่มีข้อพิพาทเลย แม้เส้าหลินจะไม่สนใจอํานาจทางโลกแต่อย่างน้อยก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอารามสายพุทธทั้งสี่แห่งได้
“ราชาดาบพูดมานั้นมีเหตุผลอย่างมาก”
มีจอมยุทธทอดถอนใจ “อย่างไรก็ตาม วัดเส้าหลินเพิ่งจะมีผู้ทรงสมณศักดิ์ไป ไม่นานก็ปรากฏสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งขึ้นมา นามว่า “เฉียนขู่” ทําไมสวรรค์จึงโปรดปรานพุทธศาสนาเช่นนี้ ”
“เฉียนขู่” สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ?
ทันทีที่สี่คํานี้กล่าวออกมา ทั้งโรงเตี้ยมก็เงียบอีกครั้ง
ในสายพุทธ มีเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่มีคุณ สมบัติพอที่จะเรียกว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์
และสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่ผู้นี้ก็เกือบจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ และแม้แต่ยอดปรมาจารย์อย่างราชาดาบชิงเฉิงก็ยังต้องตกเป็นรอง
สิบปีที่แล้ว “เฉียนขู่” ได้เปิดตัวที่วัดเส้าหลิน แต่ปรากฏตัวในฐานะปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา “สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์”เฉียนขู่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็วและเข้าสู่แนวหน้าของระดับชั้นที่หนึ่ง อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เขาก็ได้กําจัดจอมยุทธผู้ชั่วร้ายในระดับชั้นที่หนึ่งไปถึงเจ็ดจน สิ่งนี้ทําให้ทั่วโลกตื่นตะลึง
“เฉียนขู่….”
รูม่านตาของราชาดาบชิงเฉิงหดตัวเล็กน้อย ครั้งหนึ่งเขาเคยประมือกับเฉียนขู่อย่างลับๆ เป็นการประมือไม่กี่กระบวนท่าก่อนที่เขาจะถอยหนีไป อาจกล่าวได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนั้นกลายเป็นเงามืด แฝงอยู่ในชีวิตเขาไปเลย
“ว่ากันว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่ เป็นศิษย์ของผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน จะไม่แข็งแกร่งได้เช่นไร?” มีความลับมากมายในวิธีการของผู้ทรงสมณศักดิ์
“ลูกศิษย์ของผู้ทรงสมณศักดิ์”
ทุกคนเงียบไปในทันที แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว มันก็สมเหตุสมผล
วิธีการของผู้ทรงสมณศักดิ์ จอมยุทธอย่างพวกตนจะไปเข้าใจได้อย่างไร การเป็นศิษย์ของผู้ทรงสมณศักดิ์ นับประสาอะไรกับการไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ก็สมเหตุสมผล
“ลุงสาม”
“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่” ข้าเองก็ได้เคยได้ยินมาจากเสด็จพ่อ…” หลี่หว่านฟังด้วยความเพลิดเพลิน มองไปที่ซูฉินแล้วกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
“เฉียนขู่?”
“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”
ซูฉินแตะปลายคางของตนเอง
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเฉียนขู่” จะก้าวเข้าสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
ตามที่ซูฉินเคยประเมินเอาไว้ตอนที่อยู่วัดเส้าหลิน แม้ว่าเฉียนขู่จะครอบครองดวงใจพุทธะ ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าสิบปีกว่า จะถึงระดับชั้นที่หนึ่ง และอีกร้อยปีกว่าจะก้าวเท้าขึ้นไปแตะระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ จากนั้นจึงสามารถทะลวงขอบเขตอรหันต์ได้
แต่ตอนนี้ในเวลาเพียงยี่สิบปี เฉียนขู่ ก็กลายเป็นระดับชั้นที่หนึ่งได้แล้ว……..
“มันคือผลจากกระแสปราณีฟื้นคืนงั้นหรือ?”
ใบหน้าของซูฉินครุ่นคิด
การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีได้เกิดขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเท่านั้น “เฉียนขู่ ก็ได้รับประโยชน์จากกระแสปราณ ทําให้ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งล่วงหน้าเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
“เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้กลับไปวัดเส้าหลิน…” ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ในพริบตาต่อมา เขาก็พลันรู้สึกถึงบางอย่างและมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“หืม?”
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
[1] เสี่ยวเอ้อ บริกรประจําโรงเตี้ยม หรือโรงน้ําชา