เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 254 สถานการณ์ในใต้หล้า! นภาชั้น ที่เก้า!
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 254 สถานการณ์ในใต้หล้า! นภาชั้น ที่เก้า!
Sign in Buddha’s palm 254 สถานการณ์ในใต้หล้า! นภาชั้น ที่เก้า!
ต่างดินแดน
นิกายเฮยหยวน
ผู้นำนิกายเฮยหยวนนั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์ หน้าตาของเขาดูไม่ออกว่าสุขหรือทุกข์
ในความเป็นจริง เมื่อไม่กี่วันก่อนนิกายเฮยหยวนก็ได้ถูกตัดสินว่าล่มสลายลงแล้ว เพราะบรรพบุรุษชีหยวนที่อยู่ในส่วนลึกของนิกายได้เสียชีวิตลง
การที่ดวงไฟแห่งชีวิตดับนั้นหมายความว่าเจ้าของดวงไฟแห่งชีวิตได้ตายจากไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
“ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร?” ผู้นำนิกายเฮยหยวนเงียบไปครู่หนึ่งมองไปยังเหล่าอาวุโสแล้วจึงกล่าวออกมา
การตายของบรรพบุรุษชีหยวนเป็นความสูญเสียที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนิกายเฮยหยวน นิกายเฮยหยวนไม่ได้สูญเสียเพียงแค่บรรพชนไปเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายภาพลักษณ์ว่าบรรพชนจะอยู่ยงคงกระพันในหัวใจของเหล่าศิษย์สาวกนิกายเฮยหยวนจำนวนนับไม่ถ้วนไปด้วย
มันก็คล้ายการเลื่อมใสศรัทธา
“ท่านผู้นำ ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรจะยั่วยุตำนานยุทธขั้นสูงสุดในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่อีกต่อไป” ในเวลานั้น ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์แปรปรวน
“ยั่วยุต่อไปไม่ได้?”
ผู้นำนิกายเฮยหยวนไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เขาทำได้เพียงทอดถอนใจ
ด้วยภูมิหลังของนิกายเฮยหยวน เป็นธรรมดาที่ต้องมีบรรพชนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพบุรุษชีหยวน แต่บรรพชนเหล่านั้นล้วนเสื่อมถอยกันทั้งหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิต เลือดเนื้อ และอายุขัยก็แทบจะสิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลงมือจัดการเรื่องราวบางอย่าง แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย
เพื่อล้างแค้นให้กับบรรพบุรุษชีหยวน มันไม่คุ้มค่ากับการที่จะต้องสูญเสียรากฐานแท้จริงของนิกายไป
นอกจากนี้ ไม่มีใครรู้ได้เลยว่า เมื่อนิกายเฮยหยวนใช้พลังที่เก็บซ่อนไว้อย่างเต็มที่ ท้ายที่สุดจะสามารถสังหารตำนานยุทธขั้นสูงสุดในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ได้หรือไม่
ในกรณีที่ไม่สามารถสังหารได้ หลังจากที่บรรพชนลงมือไปแล้วพลังชีวิตและเลือดเนื้อย่อมเสื่อมสลาย และหลังจากที่พวกท่านสิ้นใจไป นิกายเฮยหยวนจะต้องรับมือกับการแก้แค้นที่น่ากลัวของซูฉินเป็นแน่
ในเวลานั้น เกรงว่ามันจะกลายเป็นจุดจบที่แท้จริงของนิกายเฮยหยวน
เพียงชั่วพริบตาเดียว ความคิดมากมายก็ไหลบ่าเข้ามาในหัวของผู้นำนิกายเฮยหยวน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะหยุดพูดถึงเรื่องนั้น จะไม่พูดถึงมันอีกต่อไป”
“รับคำสั่ง”
ในที่สุดผู้นำนิกายเฮยหยวนก็ตัดสินใจครั้งสุดท้าย
ผู้อาวุโสที่เหลือและลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนต่างแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พวกเขามองหน้ากัน เห็นความสุขที่ฉายผ่านใบหน้าของกันและ
ในเวลาเดียวกัน
ภายในนิกายเทพเจ้าสายฟ้า
ผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นชายที่ดูสง่างามมีลวดลายสายฟ้าจางๆ อยู่บนใบหน้าของเขา
เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ในที่สุดก็เปลี่ยนทิศทางไปมองยังทิศแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ แล้วส่ายศีรษะไปมา
“ไม่คาดคิดเลยว่าแม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ตกตายลงแล้ว”
“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ สมแล้วที่เป็นแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ แม้จะฟื้นคืนพลังกลับมาได้เพียงสิบปีแต่ก็ยังอันตรายอย่างยิ่ง…”
เสียงของผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแผดคำรามดุจฟ้าร้อง ส่งเสียงดังไปทั่วห้องโถง
“ผู้นำนิกาย”
“แล้วพวกเราควรจะทำเช่นไรดีในยามนี้”
ผู้อาวุโสของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคนหนึ่งขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามออกมา
นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นที่รู้จักในนามของทูตสายฟ้า เป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าผู้ฝึกฝนวิชาชั่วร้าย แม้แต่ในช่วงที่นิกายเฮยหยวนรุ่งเรืองที่สุด ก็จะไม่มีความคิดที่จะยั่วยุนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแม้แต่น้อย
แต่สำหรับบรรพบุรุษชีหยวน แม้ว่าบรรพชนของนิกายเทพเจ้าหิมะตื่นขึ้นมา ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณโดยง่ายเช่นนี้
“ตามข่าวที่ได้รับมา ตำนานยุทธขั้นสูงสุดนั้นปกป้องเพียงอาณาจักรถัง สวนรอบนอกอาณาจักรถัง เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เพิ่งจะฟื้นคืนกลับมา และจะขยายตัวต่อไปในอนาคต เราจะหาพื้นที่บริเวณชายขอบของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ค่อยๆ ย้ายนิกายเทพเจ้าสายฟ้ากลับคืนสู่อดีต ไม่ต้องทำทั้งหมดนั่นในครั้งเดียว จงค่อยเป็นค่อยไป”
ผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย
ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมา แม้ว่าจะแข็งแกร่งพอๆกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้า แต่ด้วยความที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง พวกเขาก็ไม่อยากจะยั่วยุตัวตนเช่นนี้ หากมีบรรพชนตกตายเหมือนนิกายเฮยหยวนหรือตำหนักเทพเจ้าหิมะ มันจะไม่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หรอกหรือ
แต่การที่ไม่อยากจะยั่วยุ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมแพ้ต่อแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่
แผนการในปัจจุบันของผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคือการครอบครองพื้นที่บางส่วนในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เป็นการชั่วคราว แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ชายขอบสุดแสนห่างไกลก็ตาม ส่วนเรื่องอื่น ค่อยพูดคุยกันในภายหลัง
อย่างไรเสีย สำหรับนิกายใหญ่อย่างพวกเขา เมื่อกระแสปราณฉีฟื้นตัว ความแข็งแกร่งย่อมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในท้ายที่สุด มันอาจจะกลับมาสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนดั่งช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู
“รับคำสั่ง”
เหล่าศิษย์ของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าโค้งคารวะ
สำนักเทพโอสถ
ชายชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมโอสถขนาดใหญ่เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ชายชราผู้นี้ทั้งผมบนหัวและหนวดเคราล้วนเป็นสีขาว นอกจากตัวเขาเองแล้ว ยังมีผู้อาวุโสสานักเทพโอสถจำนวนมากนั่งอยู่ด้วย
ในบรรดานิกายใหญ่จำนวนมากมายในต่างดินแดน สำนักเทพโอสถเป็นตัวตนที่พิเศษมาก
นิกายใหญ่แห่งอื่นๆ อาจจะมีทั้งกองกำลังที่เป็นมิตรและเป็นศัตรูต่อกันอยู่ แต่นิกายเทพโอสถนั้นแตกต่าง แม้แต่นิกายเฮยหยวนซึ่งเป็นนิกายใหญ่ที่มุ่งหมายแต่จะสังหาร ก็ต้องสุภาพเมื่อเจอเข้ากับนิกายเทพโอสถ
เพราะนิกายเทพโอสถถือครองแหล่งทรัพยากรและโอสถศักดิ์สิทธิ์กว่าหกส่วนจากทั้งหมดในต่างดินแดน
ถ้าเป็นเพียงเท่านั้นก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก สำหรับนักปรุงโอสถที่ทำได้เพียงแค่ปรับแต่งโอสถ นิกายใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดไม่นับคนเหล่านี้เป็นสิ่งใด การจะจับตัวคนเหล่านี้มาเป็นทาสก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะเก่งเรื่องการปรุงโอสถแล้ว สำนักเทพโอสถก็ไม่ได้อ่อนแอแต่ประการใด มีข่าวลือว่าผู้ก่อตั้งสำนักเทพโอสถเป็นถึงเซียนเทพปฐพี สิ่งที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังในสำนักเทพโอสถ ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น แค่ค่ายกลผู้พิทักษ์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายทุกสิ่ง
“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะมีน้ำยาอายุวัฒนะพันปีถือกำเนิดขึ้น หากสำนักเทพโอสถของเราได้รับมันมา คาดว่าจะสามารถหลอม โอสถเซียนเทพ” ขึ้นมาได้”
ชายชราผมเคราขาวมองไปยังนักปรุงโอสถหลายคนภายในสำนักเทพโอสถ กล่าวออกมาช้าๆ
“สำหรับที่อื่น สำนักเทพโอสถเราอาจจะไม่สนใจที่จะต่อสู้แย่งชิง แต่เพราะมีตัวตนที่ทรงพลังเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เพราะฉะนั้นสำนักเทพโอสถของเราจึงจำจะต้องต่อสู้เสียแล้ว
หลังจากที่ชายชราผมเคราขาวกล่าวจบ นักปรุงโอสถคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นที่ละคน เตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธ
ด้วยการแพร่กระจายของข่าวจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ โดยเฉพาะเรื่องการของบรรพชนทั้งสามคน ซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษชีหยวนก็เท่ากับการยืนยันความถูกต้องของข่าวเรื่องแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นอกจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ จะมีสถานที่ไหนอีกบ้างที่ทำให้ตำนานยุทธขั้นสูงสุดตกตายพร้อมกันถึงสามคนเช่นนี้?
เป็นผลให้ทั่วทั้งโลกยุทธภพต่างแดนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายกันอย่างสมบูรณ์
หากแรกเริ่มมีเพียงแค่นิกายใหญ่บางส่วนอย่างตำหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนที่ตระหนัก นับเป็นผลกระทบที่เล็กน้อยแต่กับตอนนี้ นิกายใหญ่ทั้งหมดในต่างดินแดนต่างตื่นตัว
แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เป็นแกนกลางหลักในการฟื้นฟูกระแสปราณฉี เป็นการนำมาซึ่งโลกอันยิ่งใหญ่ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับกองกำลังทั้งหลายหรือบุคคลใดๆ ทั้งหมด
ดังนั้นนิกายใหญ่ทั้งหมดในต่างดินแดนจึงเริ่มเคลื่อนกำลังไปสู่แผ่นดินแห่งพลังยุทธกันอย่างลับๆ เนื่องจากมีการปกป้องคุ้มครองจากซูฉินอยู่ นิกายใหญ่เหล่านี้จึงไม่เต็มใจจะขัดแย้งกับอาณาจักรถัง พวกเขาเพียงเลือกสถานที่รอบนอกของราชวงศ์ถังให้เป็นที่พำนักชั่วคราวของนิกาย
อาณาจักรถัง
เมื่อซูฉินปิดด่านฝึกตน โลกก็กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง
การที่ซูฉินสังหารบรรพบุรุษชีหยวนและบรรพชนจากต่างแดนอีกสองคน ทำให้หลายฝ่ายตกใจไม่น้อย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ในอาณาจักรถังก็แทบไม่ได้รับผลกระทบนั้นเลย
ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษซีหยวนหรือนิกายใหญ่ต่างดินแดนล้วนอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับจอมยุทธธรรมดาๆ
แต่ในชั่วพริบตา เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผู้คนบริเวณชายแดนอาณาจักรถังก็ค่อยๆ ค้นพบว่านอกพรมแดนนั้นดูเหมือนจะค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
แม้ว่าอาณาจักรถังจะครองทั้งทวีป แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยอาณาจักรถัง
ไม่ใช่ว่าอาณาจักรถังไม่ต้องการพิชิตดินแดนเหล่านี้ แต่ดินแดนเหล่านี้มีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายรุนแรง ไม่เหมาะที่ผู้คนจะเข้าไปอยู่อาศัย
เช่น ปลายสุดทางทิศตะวันตก สุดลูกหูลูกตาเต็มไปด้วยผืนทรายสีเหลือง ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา แม้แต่จอมยุทธยังไม่กล้าอยู่อาศัยเป็นเวลานาน ยังมีเขตแดนน้ำแข็งทางตอนเหนืออันหนาวเหน็บ น้ำที่หยดลงมายังกลายเป็นน้ำแข็ง สภาพแวดล้อมเลวร้ายเสียยิ่งกว่าปลายสุดของทิศตะวันตกเสียอีก
แต่ยามนี้ พื้นที่ต้องห้ามในสายตาของคนทั่วไป กลับมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
มีจอมยุทธที่อยู่ในหุบเขาทางตะวันออกอันไกลโพ้น ได้กลิ่นโอสถลอยโชยเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต ราวกับเป็นแดนสวรรค์บนดิน จอมยุทธบางคนยังค้นพบวังที่ทำจากผลึกน้ำแข็งในทุ่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ทางตอนเหนือสุด เปรียบประดุจวังหยกสวรรค์
แม้แต่ในทิศตะวันตกที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองทอง ยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงสวด ราวกับองค์ยูไลได้เสด็จมาโปรดโลก
และในตอนนี้ภายในพระราชวังถัง จักรพรรดิถังมองสาส์นกราบทูลประทับตรามังกรด้วยใบหน้ากังวล
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณนอกชายแดนของอาณาจักรถัง เขาตระหนักรู้มาระยะหนึ่งแล้ว และได้รับการยืนยันจากนักพรตเฒ่าสำนักเอกะวิถีว่าเหตุผลที่เกิดสิ่งผิดปกติเหล่านั้นมาน่าจะเป็นแผนการของเหล่านิกายใหญ่ในต่างแดน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาทราบเรื่องนี้แล้ว จักรพรรดิถังก็ไม่มีวิธีจัดการใดๆ
สุดท้ายแล้วในระยะปัจจุบัน นิกายใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับอาณาจักรถัง ไม่ได้กวนน้ำให้ขุ่น เพียงใช้พื้นที่รอบนอกอาณาจักรถังเท่านั้น ดูเหมือนไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
แต่จักรพรรดิถังรู้ดีแก่ใจว่าทำไมนิกายใหญ่เหล่านี้จึง “ประพฤติตัวดี” เพราะพวกเขาไม่รู้ถึงตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้ถึงขีดจำกัดความแข็งแกร่งสูงสุดของซูฉิน ควบคู่ไปกับการถ่วงดุลอำนาจระหว่างนี้กายใหญ่จำนวนมาก ทำให้ไม่มีใครกล้าออกตัวลงมือเป็นคนแรกเมื่อสมดุลเสียไป ผลที่ตามมาก็ไม่อาจคาดคำนึงถึง
“ฝ่าบาท ทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือน่าจะถูกครอบครองโดยตำหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ส่วนหุบเขาทางตะวันออกสุดขั้วเกรงว่าจะเป็นสำนักเทพโอสถที่ลงมือยึดครอง ส่วนปลายสุดทางตอนใต้…”
“ส่วนสุดทางทิศตะวันตก มีเสียงสวดดุจองค์ยุไลมาโปรด……….”
เมื่อนักพรตเฒ่ากล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าเกรงว่าที่นี่คือพุทธศาสนสถานในต่างดินแดน วิหารหมื่นพุทธได้มาถึงแล้ว”
“วิหารหมื่นพุทธ?”
จักรพรรดิถังผงะไปชั่วขณะหนึ่ง เขารู้ว่าซูฉินอยู่วัดเส้าหลินมานานหลายปี นอกจากนี้ยังเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ของวัดเส้าหลินด้วยดังนั้นเขาจึงมีความสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับพุทธศาสนสถานในต่างดินแดน
“มิผิด”
“มีพุทธศาสนสถานเพียงแห่งเดียวในบรรดานิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างดินแดน”
น้ำเสียงของนักพรตเฒ่ามีร่องรอยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้อยู่
“วิหารหมื่นพุทธนี้แข็งแกร่งหรือไม่?” จักรพรรดิถังอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้
“แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”
นักพรตเฒ่าพยักหน้าด้วยอาการเคร่งขรึม “อย่างน้อยนิกายเฮยหยวนและตำหนักเทพเจ้าหิมะก็ไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กับวิหารหมื่นพุทธเป็นแน่”
“วิหารหมื่นพุทธนั้นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดแห่งพุทธ สืบทอดมาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู ตามตำนานว่าเอาไว้ว่าในส่วนลึกของวิหารหมื่นพุทธ มีพระบรมสารีริกธาตุแท้ขององค์ยูไลประดิษฐานเอาไว้ ”
สีหน้าของนักพรตเฒ่าดูมีอารมณ์ร่วม
“เป็นพุทธศาสนสถานที่ทรงพลังแท้จริง…”
จักรพรรดิถังเงียบไปนาน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ข้าหวังว่าวิหารหมื่นพุทธนี้จักไม่สร้างปัญหาใด”
“ควรจะไม่มีปัญหา”
“เหล่าพระเฒ่าในวิหารหมื่นพุทธสนใจแต่พุทธศาสนาเท่านั้นส่วนเรื่องอำนาจการปกครองต่างๆ พวกเขาค่อนข้างจะไม่สนใจเท่าไรนัก”
นักพรตเฒ่ากล่าวปลอบขวัญ
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” จักรพรรดิถังพยักหน้า
ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป นิกายใหญ่ต่างแดนเริ่มส่งคน มาที่รอบนอกอาณาจักรงที่ละคนสองคน
ใต้เมืองฉางอัน
ในห้องโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านสีดำสนิท
ความก้าวหน้าของซูฉินก็มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญแล้วเช่นกัน