เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 257 เป็นผู้ใด
เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]257 เป็นผู้ใด
วิหารหมื่นพุทธเป็นหนึ่งในพุทธศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ในต่างแดนสืบทอดมรดกต่อมาจากช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งก่อกําเนิดของพุทธศาสนาในต่างแดนย่อมมีบันทึกของ “วิหารการสงคราม” เป็นธรรมดา
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบรรพชนของวิหารหมื่นพุทธบรรพชนเก้าเข้าใจชัดแจ้งว่าวิหารการสงครามคือสิ่งใดนั่นเป็นสถานที่ที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ไม่สามารถฝาเข้าไปได้หากไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเรื่องราวนี้ได้ถูกบันทึกไว้โดยผู้ที่ทรงพลังจนถึงขีดสุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดช่วงยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี วิหารการสงครามก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่บรรพชนเก้าไม่คาดหวังก็คือ จะมาได้ยินคําว่าวิหารการสงครามในทวีปนี้
ใบหน้าของบรรพชนเก้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ความคิดแรกของเขาคือวิหารการสงครามจากปากของเจ้าอาวาสอารามวัชระคือสิ่งเดียวกับวิหารการสงครามที่เขารู้มาหรือไม่
ท้ายที่สุดแม้คําว่าวิหารการสงครามจะไม่ธรรมดา แต่ก็คงไม่ได้มีเพียงที่เดียวในโลก
อย่างไรก็ตาม มังกรปีศาจที่เจ้าอาวาสอารามวัชระกล่าวถึงทําให้บรรพชนเก้าตกใจ
ถ้าเป็นเพียงวิหารการสงครามอาจจะบังเอิญมีชื่อเหมือนกันแต่เมื่อเพิ่มมังกรปีศาจเข้าไปก็สอดคล้องกับวิหารการสงครามในบันทึกของวิหารหมื่นพุทธ
“เจ้าคงไม่ได้โกหกข้าหรอกใช่ไหม?”
บรรพชนเก้ามองอย่างเคร่งเครียด จ้องไปที่เจ้าอาวาสอารามวัชระกล่าวทุกคําออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคํา
มังกรปีศาจในวิหารการสงครามในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องร่วมมือกันต่อต้านและสุดท้ายก็ยังโดนขับไล่ออกมาด้วยสภาพทุเรศทุรัง
สัตว์อสูรที่ดุร้ายเช่นนี้ต่อให้เป็นอรหันต์ลงมือก็คงไม่สามารถทําได้สําเร็จเช่นกันจะตกตายภายใต้น้ํามือของผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเข ตอรหันต์ได้เช่นไร?
“ภิกษุไม่กล่าวคําโป้ปด” เจ้าอาวาสอารามวัชระประสานมือและกระซิบคําออกมา
“จริงสิ” บรรพชนเก้าเหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูก็หมื่นกว่าปีมาแล้ว”
“แม้ว่าวิหารการสงครามจะอยู่คงอยู่ได้อย่างยาวนาน แต่มังกรปีศาจก็ต้องมีบ้างที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมสลายลงไปความแข็งแกร่งก็น่าจะหล่นลงมาอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ บรรพชนเก้าก็พยักหน้าเล็กน้อยพลันเข้าใจเรื่องราว
ในฐานะของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร อายุขัยของมังกรปีศาจนั้นเหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าอายุขัยจะไร้ขีดจํากัด
ไม่เช่นนั้นโลกนี้คงถูกปกครองด้วยสัตว์อสูรไปเสียตั้งนานแล้วจะยังมีมนุษย์เหลือรอดได้เช่นไร?
อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอยความแข็งแกร่งลดลง ทําให้อรหันต์ผู้หนึ่งสามารถสังหารมันลงได้ก็ยังทําใจได้ยากที่จะยอมรับจริงๆ
“เพียงแต่ว่า”
“ถึงแม้มังกรปีศาจจะแก่ชราจนใกล้ตาย แต่พรสวรรค์และพลังเหนือธรรมชาติของมันก็ยังคงอยู่ อรหันต์จากวัดเส้าหลินจะต้องมีวิธีการบางอย่างถึงสามารถสังหารมังกรปีศาจลงได้”
บรรพชนเก้าขบคิดอยู่ในใจ
เขาไม่ได้สงสัยว่าเจ้าอาวาสอารามวัชระจะโกหก
ในตอนนี้ บรรพชนเก้าได้เฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าอาวาสอารามวัชระด้วยอาณาเขต หากอีกฝ่ายได้กล่าวคําโกหกออกมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบซ่อนจากตัวเขา
นอกจากนี้ ตามคําอธิบายของเจ้าอาวาสอารามวัชระเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะคุยกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความลับ หากต้ องการรู้เขาก็แค่ต้องไปตรวจสอบซ้ําอีกครั้งไม่ใช่หรือ?
เจ้าอาวาสอารามวัชระจะกล้าหลอกลวงตัวเขาในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“บางที่ “องค์ยูไลที่ข้ากําลังตามหาอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้”
ความคิดของบรรพชนเก้าเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปยังวัดเส้าหลิน”
บรรพชนเก้าเสี่ยงที่จะต้องกระทบกระทั่งกับตํานานยุทธเมืองฉางอันโดยการเข้ามายังอาณาจักรถังเพราะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งองค์ยูไล” ตอนนี้เขาพบเบาะแสบางอย่างแล้ว จะให้ยอมแพ้ได้อย่างไร?
เมื่อคิดได้ดังนี้ บรรพชนเก้าก็ก้าวเดินไปข้างหน้า หายวับรีบเดินทางไปยังวัดเส้าหลิน
เจ้าอาวาสอารามวัชระและผู้พิทักษ์อารามต่างก็มองหน้ากันในที่สุดผู้พิทักษ์อารามก็อดไม่ได้และถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าอาวาสคนผู้นี้มีความแข็งแกร่งอยู่ที่ขั้นใดกัน?”
“แข็งแกร่งขั้นใด?”
เจ้าอาวาสอารามวัชระมองไปยังผู้พิทักษ์อาราม “เจ้าคิดว่าผู้ที่สามารถปราบศิษย์วัดกว่าพันคนภายในอารามวัชระได้ด้วยกลิ่นอายเพียงอย่างเดียวจะมีความแข็งแกร่งในขั้นใดกันเล่า?”
คําที่กล่าวออกมา
ใบหน้าของภิกษุหลายคนซีดเผือด พวกเขาได้แต่เดาในใจแต่ไม่กล้ายืนยัน แต่ในเวลานี้ พวกเขากลับต้องมาตกใจเมื่อได้ยินคําตอบของเจ้าอาวาส
“ท่านเจ้าอาวาส หากนักบวชผู้นี้เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์สายพุทธเหตุไฉนข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อน?” ผู้พิทักษ์อารามกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
เจ้าอาวาสอารามวัชระส่ายศีรษะเล็กน้อย ความกังวลเกาะอยู่เต็มใบหน้า “แต่วัดเส้าหลินนั้น เกรงว่าจะประสบปัญหาบางอย่างเข้าแล้ว”
วังหลวง
จักรพรรดิถังขมวดคิ้วและมองไปยังข้อมูลที่อยู่ในเอกสารราชการ
“ พระหนุ่มผู้หนึ่ง?”
“ตบยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจนตกตายในฝ่ามือเดียว?”
จักรพรรดิถังพึมพําอยู่กับตนเอง โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้ง หรือแปรสภาพพลังได้จนสมบูรณ์คือสามครั้งนั้น แม้จะมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบดขยี้กันได้ง่ายดายเพียงนี้
และจากรายงานฉบับนี้ ความเป็นไปได้มีเพียงสิ่งเดียว
พระหนุ่มผู้นี้ได้ก้าวผ่านขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นและเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์แล้ว
ส่วนจะเป็นอรหันต์ในระดับใดจักรพรรดิถังล้วนไม่ทราบ ท้ายที่สุดอรหันต์รูปใดก็ตบยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจนตกตายได้ทั้งนั้น
“ฝ่าบาท พระหนุ่มผู้นี้อาจจะมาจากวิหารหมื่นพุทธ” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีกล่าวคํา
“วิหารหมื่นพุทธ?”
จักรพรรดิวางรายงานในมือลงและมองไปยังนักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่ามาจากสํานักเอกะวิถี เขามีความรู้ที่กว้างขวาง ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิมีข้อสงสัย เขาจะขอให้นักพรตเฒ่ามาช่วยไขข้อสงสัยให้แก่เขา
นักพรตเฒ่าก็ยินดีเช่นกัน หลังจากอยู่ที่นี่มาสักพัก เขาก็สามารถเห็นความสัมพันธ์ที่จักรพรรดิถังมีต่อซูฉินได้อย่างชัดเจน
ด้วยวิธีนี้ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างสัมพันธ์กับจักรพรรดิถังนักพรตเฒ่าจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?
ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงตอบทุกคําถามของจักรพรรดิถังถึงแม้จะเป็นความลับของสํานักเอกะวิถี ตัวเขาก็ไม่ลังเลที่จะกล่าวออกไป
“มีผิด”
นักพรตเฒ่าพยักหน้า
“พระหนุ่มผู้นี้ได้ไปอารามวัชระเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อออกจากอารามวัชระก็มุ่งหน้าลงใต้…”
จักรพรรดิถังยังคงมองข้อมูลอย่างตั้งใจต่อไป
ในทุกวันนี้ เครือข่ายข่าวกรองของอาณาจักรถังแพร่กระจายไปทั่วทวีป และบรรพชนเก้าก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนของตนเอง กลับเดินตามท้องถนนอย่างโอ่อ่า เขาไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศด้วยซ้ําแน่นอนว่าจักรพรรดิถึงจึงรู้ข้อมูลที่อยู่ของเขา
“ไม่ถูกต้อง”
“เป้าหมายของบุคคลนี้คือวัดเส้าหลิน!”
รูม่านตาของจักรพรรดิถังหดตัว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
จากข้อมูลการกระทําของพระหนุ่มผู้นี้ น่าจะมีความสนใจในด้านพุทธศาสนาบางอย่าง แต่ตอนนี้ได้เดินทางลงไปทางทิศใต้มีแต่วัดเส้าหลินเท่านั้นที่เป็นสํานักพุทธที่อยู่ทางตอนใต้
“เกรงว่ามันจะสายเกินไปแล้ว”
ใบหน้าของจักรพรรดิถังดูหนักอึ้ง
ข้อมูลที่เขาได้รับมาเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นสองสามวันก่อนตอนนี้พระหนุ่มน่าจะเดินทางไปถึงวัดเส้าหลินแล้ว
“ไม่ได้การ”
“เรื่องนี้จะต้องรีบแจ้งให้พี่สามรู้”
จักรพรรดิถังลุกขึ้นในทันทีและเดินไปยังพระราชวังตะวันออกอย่างรวดเร็ว
ความสัมพันธ์ระหว่างซูฉินกับวัดเส้าหลินนั้นไม่ได้เป็นที่ล่วงรู้ในวงกว้าง แต่จักรพรรดิถังเป็นหนึ่งในคนที่ล่วงรู้สิ่งนี้อย่างชัดเจน
ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิถังตระหนักได้ว่าวัดเส้าหลินอาจจะมีปัญหาเขาจึงวางแผนที่จะไปแจ้งให้ซูฉินทราบโดยเร็วที่สุด
ในเวลาเดียวกัน
เหนือภูเขาเส้าชื่อ
ร่างของบรรพชนเก้าเปรียบประดุจร่างเงามายา เดินเข้าไปในวัดเส้าหลินอย่างไม่รีบร้อน
ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนเก้า จึงไม่ยากที่จะซ่อนตัวจากผู้คนในวัดเส้าหลิน
“หืม?”
“มีค่ายกลฟ้าดินมากมายตั้งอยู่ภายใน?”
บรรพชนเก้ามองไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง ท่าทีของเขาประหลาดใจเล็กน้อย
“น่าสนใจ”
บรรพชนเก้าก้าวเท้าออกไป และปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าปากทางเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง จากนั้นจึงก้าวอีกหนึ่งครั้งเพียงพริบตาก็ข้ามผ่านค่ายกลกว่าเก้าในสิบส่วนมาถึงภูเขาด้านหลัง
“ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้ แม้จะจัดวางได้อย่างชาญฉลาดแต่ผู้ครอบครองอย่างมากสุดก็เป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่สี่ไม่กินภาชั้นที่ห้าเท่านั้นไม่ใช่องค์ยูไล” ที่ข้ากําลังมองหา…”
บรรพชนเก้าดูผิดหวัง
เขาแบกความหวังเอาไว้ในใจยามเมื่อเดินทางมายังวัดเส้าหลินแต่เมื่อผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ จะไม่ให้ผิดหวังได้อย่างไร?
ขณะที่บรรพชนเก้ากําลังตริตรอง เขาก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าอีกหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และเข้าไปไปในเขตหวงห้ามด้านหลังภูเขาซึ่งเป็นสถานที่ที่ซูฉินใช้ในการปิดด่านฝึกตนหวิ่ง!
ฉับพลัน!
บรรพชนเก้าก็ดูเหมือนจะสัมผัสเข้ากับพลังต้องห้ามบางอย่าง
ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วทั้งเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เริ่มส่งเสียงคํารามก้อง
ชั่วครู่เดียว เมฆหมอกเริ่มหมุนวนไปรอบๆ ควบแน่นกลายเป็นมังกรหมอกออกมาที่ละตัว ล้อมกรอบบรรพชนเก้าอย่างต่อเนื่องค่อยๆ วนเวียนไปมา
“ค่ายกลฟ้าดินที่จัดตั้งโดยอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สื่นภาชั้นที่ห้ากลับสามารถค้นหาข้าพบ?” บรรพชนเก้าตกตะลึง
และในตอนนั้นเอง
ทั่วทั้งวัดเส้าหลินก็รับรู้บางสิ่งได้แล้ว
ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่ที่ซูฉินใช้บิดด่านฝึกตน และปัจจุบันมันยังเป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับการฝึกฝนบ่มเพาะที่รวดเร็วมากขึ้นของ เหล่าศิษย์วัดเส้าหลินเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สําคัญแห่งหนึ่งในวัด เส้าหลิน
หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างขึ้นมาย่อมดึงดูดความสนใจของทั้งวัดเส้าหลินได้ตั้งแต่แวบแรก
ทันใดนั้น เจ้าอาวาสชุ่ยเหวิน หัวหน้าตําหนัก และลูกศิษย์วัดเส้าหลินทั้งหลายก็รีบเดินทางมายังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและมองไปยังบรรพชนเก้าที่ยืนอยู่ด้านนอกภูเขาด้านหลัง
“บรรดาผู้ที่ล่วงล้ําไปยังสถานที่สําคัญของวัดเส้าหลินจะต้อง
ตาย!!!”
หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ผู้มีบุคลิกใจร้อนก็ได้เริ่มต้นลงมือเป็นคนแรกสําหรับวัดเส้าหลิน เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังมีความสําคัญที่พิเศษ
ในทันทีที่มีคนนอกปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์จึงต้องการที่จะปราบมันให้อยู่หมัด
“หม?”
บรรพชนเก้าขมวดคิ้ว ความคิดของเขาขยับวูบ
ฉับพลัน
หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ที่พุ่งเข้าไปก็รู้สึกเพียงว่า อากาศโดยรอบพลันแข็งตัวและถูกกักขังไว้ ไม่สามารถขยับไปไหนได้
“นี่?”
ลูกตาของหัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์พลันหดตัวลงอย่างกะทันหันสามสิบปีมานี้ ด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง รวมกับกระแสปราณีที่ฟื้นคืนทําให้เขาเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งมาตั้งนานแล้ว และยังเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด
แต่บัดนี้พระหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ากลับสามารถเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ได้ด้วยการปรายตามองเพียงครั้งเดียว
“ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์?”
“ไม่ใช่ เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเขตอรหันต์?”
ความคิดของหัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วแม้ว่าร่างกายจะถูกคุมขังแต่ความคิดของเขายังคงตีกันวุ่นในหัวและตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของพรหนุ่ม
ไม่ไกลนัก เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักที่เห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และไม่ได้ดําเนินการโจมตีบรรพชนเก้าต่อไป
และในตอนนี้
เขาหันไปมองภูเขาด้านหลังและกระซิบคํากับตนเอง “ข้ามเชื่อหรอก ว่าค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้จะสามารถหยุดข้าได้”
ทันทีที่บรรพชนเก้ากล่าวเช่นนั้น เขาก็ก้าวเข้าไปอีกและต้องการจะเข้าสู่ภูเขาด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่ในการปิดด่านฝึกตนของซูฉิน
ครืน!
เพียงครู่เดียว!
ค่ายกลฟ้าดินทั้งหมดบริเวณภูเขาด้านหลังก็สั่นสะเทือนไปทั่ว
พลังฟ้าดินที่สั่งสมมานานหลายสิบปีเริ่มพวยพุ่ง ต้องการจะปีดกั้นการบุกรุกของบรรพชนเก้า
ในช่วงเวลาที่พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังสั่นสะเทือน
ใต้เมืองฉางอัน เหนือห้องโถงพระราชวังสีดําอันสูงตระหง่านซูฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างเงียบๆ
“เป็นผู้ใด?”
ซูฉินมองไปยังทิศทางของวัดเส้าหลิน