เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 287 คลื่นพลังที่เพิ่มขึ้น
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 287 คลื่นพลังที่เพิ่มขึ้น
Sign in Buddha’s palm 287 คลื่นพลังที่เพิ่มขึ้น
ดวงตาแห่งสัจจะคือทิพยอํานาจแรกที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ มันมีพลังอํานาจที่น่าสะพรึงกลัวในแง่ที่สามารถใช้ตรวจสอบพลังฉีทั้งหมด
ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะด้วยร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด และค้นพบสาเหตุที่พลังปราณฟ้าดินพวยพุ่งขึ้นมาในทันที
ในมุมมองของซูฉิน โลกทั้งใบเปรียบเสมือนผืนน้ําแห่งปราณฉี จิตใจแห่งฟ้าดินมีอยู่ทั่วไปหมด ทั้งหมดในลานสายตาดุจกระแสน้ําเชี่ยว
ในปัจจุบันมีกระแสปราณฉีเพิ่มมากขึ้น น้ําในกระแสธารเองก็ยกระดับสูงขึ้น เกือบจะล้นออกจากจุดเดิมแล้ว
ในไม่ช้า กระแสปราณฉีจะเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าดูครุ่นคิด
รอจนกว่า ‘กระแสธารน้ํา ซึ่งเป็นตัวแทนของ พลังงานฟ้าดินและจิตใจแห่งฟ้าดินไหลมาบรรจบกันจนถึงจุดเปลี่ยน คาดว่าในยามนั้นพลังปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินจะเพิ่มเป็นเท่าทวี
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เป็นประโยชน์สําหรับข้าในการเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความพึงพอใจ
ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หรือยอดอรหันต์ ล้วนต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดในการสื่อสารกับแก่นทะเลปราณในช่องว่างมิติ และนั่นเป็นเหตุผลที่จําเป็นจะต้องแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด
ความแข็งแกร่งทางจิตอย่างการมีจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้น จึงเป็นไปได้ที่จะผ่านช่องว่างมิติเข้าไปสู่แก่นทะเลปราณ
เพียงแต่ช่องว่างมิตินั้นช่างลึกลับอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีพลังจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ตาม แต่การจะทําได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
แต่ยามนี้ เมื่อกระแสน้ําแห่งปราณฉีผ่านจุดเปลี่ยนผ่าน ทะเลปราณในส่วนลึกของช่องว่างมิติก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้เท่ากับลดความยากลําบากสําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนเทพปฐพี ทําให้สามารถใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดชักนําเข้าสู่ทะเลปราณได้ง่ายขึ้น
แน่นอน
ไม่ว่ากระแสปราณฉีจะเพิ่มสูงขึ้นมากเพียงใด และเลยจุดเปลี่ยนผ่านไปมากเพียงไหน มันก็ลดเกณฑ์ขั้นต่ําในการเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี หรือขอบเขตยอดอรหันต์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การจะเป็นเซียนเทพปฐพีนั้นยังคงยากเย็นแสนเข็ญ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ลุงสาม ท่านเป็นอะไรหรือไม่? หลีหว่านที่อยู่ด้านข้างซูฉินหยุดฝีเท้าลงเมื่อนางหันไปมองซูฉิน จากนั้นจึงถามด้วยเสียงต่ํา
ไม่มีอะไรหรอก ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวเบาๆ มันก็แค่รู้สึกอะไรบางอย่างได้เท่านั้น
รู้สึกอะไรหรือ? หลีหว่านถามกลับไปโดยสัญชาตญาณ
เฒ่าเฟยยวและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคํากล่าวนั้น พวกเขาก็เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ สําหรับตัวตนเช่นซูฉิน เพียงประโยคเดียวก็มีความหมาย บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับพวกเขา
มีเพียงหลีหว่านเท่านั้น ที่ใช้สิทธิ์ความเป็นหลานสาวของซูฉินจึงกล้าถาม ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นเฟยยี่หรือคนอื่นๆ แม้ว่าจะให้ความกล้าหาญแก่พวกเขาเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า ก็จะไม่มีใครกล้ากล่าวถามซูฉิน
พลังฟ้าดินกําลังกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ซูฉิน พูดคําบางอย่างที่แฝงความหมายเอาไว้ จากนั้นจึงรีบเดินทางไปยังเมืองฉางอัน
พลังฟ้าดินกําลังกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง… หลีหว่านกะพริบตา เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
รูม่านตาของชายชราเฟยยวและคนอื่นๆก็หดตัวลงราวกับพวกเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง
ไม่นานนัก
ซูฉินก็กลับวังหลวงมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง
หลังจากที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆทราบเรื่อง พวกเขาก็มาหาซูฉินทันที เมื่อพวกเขาเห็นหลีหว่านที่ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี ต่างก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ทุกคนจะมีความมั่นใจในตัวซูฉินมาก แต่คราวนี้ซูฉินไปยังต่างดินแดนและต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบ หากพวกเขาบอกว่าไม่กังวลเลยมันก็คงจะเป็นเรื่องโกหก
แม้จะเป็นนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ซูฉินแข็งแกร่งมาก แต่พรรคหมื่นดาบอ่อนแอหรือ?
ในสายตาของนักพรตเฒ่า ซูฉินเป็นตํานานยุทธขันสูงสุดที่สามารถควบแน่น
อาณาเขตได้ ชายผู้แข็งแกร่งเช่นนี้สามารถอยู่อย่างเกรียงไกรในต่างแดนได้แน่นอน แต่การจะไปใช้อํานาจบังคับนิกายใหญ่ มันย่อมเป็นเพียงเรื่องตลก
นิกายใหญ่มีภูมิหลังมากมายนับไม่ถ้วน เป็นไปได้อย่างไรที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดผู้ควบแน่น อาณาเขตได้จะทําให้กลุ่มอํานาจนี้สั่นคลอน?
ผู้อาวุโส พรรคหมื่นดาบยอมมอบองค์หญิงหลี หว่านกลับมาโดยง่ายหรือไม่? นักพรตเฒ่ากล่าวถามอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่นักพรตเฒ่าถาม ความสงสัยก็ปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าของเขา ตามความเข้าใจเกี่ยวกับพรรคหมื่นดาบ อีกฝ่ายไม่ควรจะยอมปล่อยตัวมาง่ายๆ มิใช่หรือ?
ซูฉินยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคําถามของนักพรตเฒ่า แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลีหว่านรู้สึกช่วยไม่ได้ นางเหลือบมองซูฉิน และเมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไร นางจึงกล่าวออกมาตรงๆว่า พรรคหมื่นดาบถูกทําลายโดยลุงสามเรียบร้อยแล้ว
ทําลายแล้ว
นักพรตเฒ่าตอบสนองไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ใบหน้าของเหยียนไร่กับหร่วนชิงกลับเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ตะลึงงันจ้องค้างไปที่หลีหว่าน
ช่วงเวลาต่อมา
ทันใดนั้นนักพรตเฒ่าก็รู้สึกตัว จิตใจยังคงยุ่งเหยิงปั่นป่วน
หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง นักพรตเฒ่าก็รู้ตัว แต่ก็รู้สึกไม่อาจยอมรับ ถามออกมาด้วยเสียงสั่นเทา พรรคหมื่นดาบ ถูกทําลายลงแล้วงั้นหรือ? .
ทันทีที่คํานี้กล่าวออกมา เหยียนไห่และหร่วนชิงต่างก็จับจ้องไปที่หลีหว่านอย่างใกล้ชิด
เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ อย่างจักรพรรดิถังที่ไม่เคยเดินทางไปยังต่างดินแดน เหยียนไห่และหร่วนซ่ง หนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธอิสระจากต่างดินแดน และอีกหนึ่งเป็นศิษย์จากสํานักเอกะวิถี รู้ดีว่าการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบหมายถึงสิ่งใด
นี่คือนิกายใหญ่ระดับสูง
ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดน สามารถมองผ่านจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนของนิกายใหญ่อื่นๆ
กล่าวออกมาได้อย่างไรว่าถูกทําลาย? แล้วมันปล่อยให้ซูฉินทําลายได้อย่างไร?
แม้ว่านักพรตเฒ่าจะประเมินซูฉินสูงแล้ว เขาก็ยังรู้สึกเหมือนว่าตนกําลังได้ยินเรื่องเล่าจากเทพนิยาย
เป็นเช่นนั้นแน่นอน!
หลีหว่านหยิบดาบยาวซึ่งเป็นอาวุธวิเศษที่ได้รับมาจากยอดเขาดาบพันจ้างบนเกาะหมื่นดาบออกมา และเหวี่ยงมันไปมาต่อหน้านักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์
ปราณดาบเช่นนี้? มันคืออาวุธวิเศษของพรรคหมื่นดาบอย่างนั้นหรือ? นักพรตเฒ่าหรี่ตา พึมพําอยู่กับตนเอง
ปราณดาบของพรรคหมื่นดาบเป็นที่รู้จักดีในต่างแดน นอกจากนักพรตหมั่นดาบเมื่อสี่พันปีก่อนแล้ว ยังจะมีใครสามารถทิ้งอาวุธวิเศษที่เต็มไปด้วยปราณดาบเช่นนี้ได้
หากจะบอกว่าพรรคหมื่นดาบมอบมันให้หลีหว่าน เพื่อไม่ให้ซูฉินซึ่งเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้นั้นขุ่นเคือง มันก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย
การที่หลีหว่านถืออาวุธวิเศษของพรรคหมื่นดาบไว้ในมือ มันหาสิ่งอื่นมาอธิบายไม่ได้เลย
พรรคหมื่นดาบจะมอบอาวุธวิเศษที่เป็นมรดกของตนให้แก่หลีหว่านได้อย่างไร?
รู้หรือไม่ ความสําคัญของอาวุธวิเศษยังอยู่เหนือยิ่งกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุด
สุดท้ายตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังตายได้ด้วยความแก่ชรา แม้จะหลับใหลด้วยวิธีปิดผนึกพลัง แต่มันก็มีขีดจํากัด ทว่ามรดกอย่างอาวุธวิเศษสามารถส่งต่อไปได้หลายชั่วอายุคนเพื่อปกป้องพรรคหมื่นดาบ
เว้นเสียแต่ว่าสิ่งที่หลีหว่านพูดจะเป็นความจริง ซูฉินได้เข้าไปกวาดล้างพรรคหมื่นดาบจนสิ้น
หลังจากการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบ ย่อมมีอาวุธวิเศษจํานวนมากให้ซูฉินได้เลือกสรร
เพียงแต่ว่า
นักพรตเฒ่าก็ยังคงไม่อาจเชื่อ
เพราะถ้าเป็นจริงตามนั้น พรรคหมื่นดาบคงถูกทําลายลงแล้วอย่างแน่นอน
แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน จริงอยู่ว่ามีการล่มสลายของนิกายใหญ่อยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นฝีมือของเซียนเทพปฐพีบางคนที่ลงมือทําลายล้าง
แต่ซูฉิน…
นักพรตเฒ่ากลืนน้ําลาย มองไปยังซูฉิน ราวกับเห็นเทพเจ้า
หลังจากที่ซูฉินสามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ เขาก็ปิดด่านฝึกตน จากนั้นจึงกลับเมืองฉางอัน เกรงว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นคงมากเกินกว่าแค่ระดับควบแน่นอาณาเขตไปแล้ว
ต่อมา คนทั้งหลายก็พูดคุยกันอีกพักหนึ่งแล้ว จึงแยกย้ายกันไป
และซูฉินก็ได้เตือนจักรพรรดิถังเป็นพิเศษอยู่สองสามคํา เพื่อให้เขาใส่ใจสถานการณ์ของโลกในตอนนี้ให้มาก
ในขณะนี้ ซูฉินสังเกตเห็นได้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ และพบว่าปราณฉีจิตใจแห่งฟ้าดินดูเหมือนจะถึงจุดเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งทวีปอย่างไม่อาจเลี่ยง
หลังจากนั้น ซูฉินก็ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาดาบประเภทอื่นให้หลีหว่านเพิ่ม
เคล็ดวิชาดาบเหล่านี้ล้วนได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินในช่วงปีนี้ รวมถึงเคล็ดวิชาที่ลงชื่อได้จากพรรคหมื่นดาบ
ตอนนี้หลีหว่านมีเจตจํานงแห่งดาบของพรรคหมื่นดาบอยู่ในร่างแล้ว ในวิถีแห่งวิชาดาบ นางจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดอีกต่อไป สิ่งที่จําเป็นต้องมีคือเคล็ดวิชาจํานวนมาก
และในทุกๆวันนี้ สิ่งที่ซูฉินไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะเหล่านั้น
ชายแดนทางตอนใต้ของอาณาจักรถัง
ภายในป่าเขาหนาทึบแห่งหนึ่ง
นี่คือฐานหลักของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจากต่างดินแดนที่ก่อตั้งขึ้นในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่
ในเวลานี้ ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าหลายร้อยคนกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางสายฟ้าฟาดค่อยๆปรับปรุงความแข็งแกร่งของตนเอง
บนแท่นสูง รองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าในชุดคลุมสีน้ําเงินเข้มนั่งอยู่บนนั้นเงียบๆ
ฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง
กลิ่นอายอันน่าสยดสยองก็พุ่งทะลุชั้นฟ้าดินทะลวงผ่านก้อนเมฆน้อยใหญ่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายมันก็ฟาดกลับลงมาที่หน้านิกายเทพเจ้าสายฟ้า
เจ้าของกลิ่นอายนี้ดูสูงส่งยิ่งใหญ่ ทุกการขยับตัวมีสายฟ้าจางๆแล่นไปทั่ว ราวกับเป็นเทพเจ้าสายฟ้าในตํานาน
เมื่อรองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเห็นฉากนี้ เขาก็ตกใจและรีบก้าวเท้าไปข้างหน้า โค้งคารวะ พร้อมกับกล่าวว่า ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้ารุ่น หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า เหลยหงน้อมพบบรรพบุรุษ เหลยสิง
หลังจากรองผู้นํานิกายอย่างเหลยหงโค้งคารวะ ศิษย์สาวกอีกหลายร้อยคนของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพลันตอบสนองตามทันที น้อมพบบรรพบุรุษเหลยสิง
ชายร่างสูงที่มาใหม่มีชื่อว่าเหลยสิง เป็นบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ตั้งแต่พันกว่าปีก่อน
ลุกขึ้นเถอะ
ร่างของบรรพบุรุษเหลยสิงมีสายฟ้าปกคลุมโดยรอบอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับมังกรสายฟ้าโอบรัดรอบกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
ท่านบรรพชน ข้าเป็นศิษย์ที่อกตัญญยิ่งนัก นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเราเกรียงไกรเพียงใดในต่างแดน? เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์สายฟ้าควบคุมท้องฟ้า แต่ตอนนี้กลับยึดพื้นที่ได้เพียงมุมที่ห่างไกลของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ไกลจากแกนกลางกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ ข้าละอายใจยิ่งที่ทําให้บรรพชนต้องผิดหวัง….
รองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าคุกเข่าลงกับพื้นน้ําตาไหลอาบใบหน้า
นี่โทษเจ้าไม่ได้ แม้แต่พรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลายลงด้วยน้ํามือของตํานานยุทธจากอาณาจักรถัง เจ้าสามารถวางรากฐานได้เช่นนี้ ก็ค่อนข้างดีมากแล้ว
บรรพบุรุษเหลยสิงกล่าวค่าช้าๆ
อะไรนะ?
พรรคหมื่นดาบถูกทําลาย?
รองผู้นํานิกายเหลยหงตกตะลึง
เขาไม่เคยคิดฝันว่าพรรคหมื่นดาบจะถูกทําลาย ทั้งยังถูกทําลายด้วยฝีมือของตํานานยุทธเมืองฉางอัน?
ไม่ใช่ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันเพิ่งควบแน่นอาณาเขต? มันจะแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?
เหลยหงรู้สึกหวาดกลัว และสงบใจลงได้หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
ท่านบรรพชน ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด? เหลยหงกลืนน้ําลาย ถามออกอย่างไม่แน่ใจนัก
การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีกําลังจะถึงจุดเปลี่ยนผ่าน ข้าได้มาที่นี่ก็เพื่อคว้าโอกาสจากจุดเปลี่ยนผ่านให้แก่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเรา
เมื่อเหลยสิงพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า แล้วอีกอย่าง ข้ากับสหายเต่สองสามคน จะไปพูดคุยกับตํานานยุทธเมืองฉางอันด้วย
ไม่เช่นนั้น หากปล่อยให้อีกฝ่ายครอบครอง แกนกลางของแผ่นดินแห่งพลังยุทธ นิกายใหญ่ของพวกเรายังจะเหลือผู้คนอยู่อีกหรือ?
น้ําเสียงของบรรพบุรุษเหลยสิงนั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า
เหตุผลที่เขาไม่สนใจอาณาจักรถังในช่วงก่อนหน้านี้เป็นเพราะกระแสปราณฉีเพิ่งเริ่มฟื้นตัว และโอกาสต่างๆยังไม่ปรากฏขึ้น แม้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะครอบครองพื้นที่ทั้งหมดไปก็ไม่มีประโยชน์
แต่ตอนนี้ จุดเปลี่ยนผ่านแรกของกระแสปราณฉีกําลังจะมาถึง โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับยุคเฟื่องฟูปราณฉีครั้งล่าสุดกําลังจะปรากฏขึ้น และนิกายเทพเจ้าสายฟ้าย่อมเข้าร่วมการแก่งแย่งครั้งนี้เป็นธรรมดา