เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 39
Sign in Buddha’s palm 39 จดหมายจากบ้าน
ความยากในการแก้ไขอาการธาตุไฟเข้าแทรกนั้นขึ้นอยู่กับว่าเกิดอะไรขึ้นภายในร่างกายบ้าง
กำลังภายในหลุดกรอบการควบคุม
เส้นเอ็น เส้นชีพจรวางระเบียบผิดพลาด
พลังปราณและโลหิตปั่นป่วน
แม้ว่าคนนอกอยากจะช่วยเหลือ ก็มิอาจจะหาทางรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้
เพราะเหตุนี้แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ต้องมาเผชิญกับคนที่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรก ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากกัดฟันทนแบ่งฐานการบ่มเพาะมาช่วยชีวิตคนที่ตกอยู่ในอาการนี้ เป็นราคาความสูญเสียที่สูงมาก
แต่ทั้งหมดนั้นไม่นับเป็นอะไรสำหรับซูฉินผู้ซึ่งมีดวงตาแห่งสัจจะ
ดวงตาแห่งสัจจะสามารถมองเห็นกลไกของลมปราณทั้งหมด เป็นปกติที่จะรู้ทุกสิ่งอย่างภายในร่างกายของเจ้าอาวาส
เพื่อช่วยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ซูฉินเพียงแค่ต้องทำตามคำแนะนำของดวงตาแห่งสัจจะเท่านั้น
ไม่ได้มีความยาก ความท้าทายใดๆ เลย
…
ภายในลานโพธิ์
เหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังคงอยู่ที่นี่
แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะหายดีแล้ว แต่เขาก็วางแผนจะอยู่ที่นี่ต่อสักพักเพื่อความปลอดภัย
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ย่อมมีคำถามนับพันนับหมื่นอยู่ในใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยอมจากไป
“เจ้าอาวาส เมื่อครู่ท่านได้เห็นหรือไม่ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินผู้นั้นเป็นใคร?”
หัวหน้าฝ่ายวินัยอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ตอนที่ซูฉินเข้ามาในตัวอาคารลานโพธิ์ รูปร่างหน้าตาของเขาถูกปกคลุมไปทั่วทั้งหมด พวกเขาต่างก็เห็นเพียงแค่ร่างเงาที่คลุมเครือ
แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเป็นบุคคลที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“ไม่เลย”
แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ส่ายหัว
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพูดออกไปตามจริง ไม่ได้ปกปิดอะไร
เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูฉิน ตอนนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ในอาการตกใจอย่างมากที่ร่างกายฟื้นฟูกลับมาได้
แล้วยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต้องการจะเห็น เขาก็ไม่มีทางมองเห็นได้
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นกลุ่มหัวหน้าตำหนักก็เงียบไป
แม้พวกเขาไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะปิดบังหน้าตาไปเพื่อเหตุใด พวกเขาก็ทำได้เพียงเดาไปต่างๆ นานา
“ช่างมันเถอะ”
“กว่าหนึ่งปีมาแล้วนะที่ตราประทับภูเขาด้านหลังได้ถูกเสริมกำลัง สิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”
ขณะนั้นเองหัวหน้าลานธรรมก็ถามออกมา
คำถามที่ออกมานี้
ทุกคนต่างก็ฉงนใจ
แม้ว่าพวกเขาจะเคยถามสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่เดินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังในยามนั้น แต่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าก็บอกว่าพวกท่านอยู่ในสภาพระงับการรับรู้และไม่เคยไปแตะต้องตราประทับเลย
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ
ตราประทับนั้นถูกทิ้งไว้โดยอรหันต์‘ถัวอา‘ แม้ว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าต้องการจะสัมผัส พวกท่านก็ไม่สามารถแตะต้องได้
หัวหน้าตำหนักต่างก็งงงวยกับเรื่องนี้ แต่ในเมื่อไม่มีใครสามารถไขข้อข้องใจได้ จึงทำได้เพียงแต่หยุดคิดมันไป
“สาธุ”
“ไม่ต้องกล่าวความให้มากอีกต่อไป”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกไป
ไม่ว่าเรื่องเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ แต่ถ้าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้คิดบอกกล่าวให้ใครได้รู้ เรื่องนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องไปรู้
เมื่อพูดถึงตราประทับที่ระดับ ‘อรหันต์‘ ทิ้งเอาไว้เมื่อเก้าร้อยปีก่อน ระดับมันเกินขีดจำกัดที่ทุกคนตรงนี้จะคิดจินตนาการไปถึงได้
…
เวลาผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า
อีกหนึ่งปีก็ผ่านไปในพริบตา
ในวันนี้มีหิมะตกหนัก ทั่วทั้งวัดเส้าหลินถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะสีเงิน
หน้าศาลาพระคัมภีร์
ซูฉินกำลังทำความสะอาดปัดกวาดหิมะออกไป
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชาหมัดมวย ‘หมัดกระจ่างแสง‘]
“หมัดกระจ่างแสง?”
หัวใจของซูฉินสั่นไหว
หมัดกระจ่างแสงเป็นผลงานชิ้นเอกของวัดเส้าหลินอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นเคล็ดวิชาด้านหมัดมวยอันดับหนึ่งของวัดเลยก็ว่าได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วัดเส้าหลินถูกปิดล้อมไปด้วยยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งมากมาย
เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินในยุคนั้นก็ได้ใช้เคล็ดวิชานี้นี่แหละ ในการปกป้องวัดเส้าหลิน ต่อกรกับยอดปรมาจารย์หลายต่อหลายคนเพียงลำพัง
ครู่ต่อมา
ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับหมัดกระจ่างแสงก็โถมเข้ามาท่วมในจิตของซูฉิน
จากนั้นไม่นาน
ซูฉินลืมตาขึ้น ความประหลาดใจปรากฏขึ้นทั่วทั้งใบหน้า
“ผู้ที่คิดค้นเคล็ดวิชาหมัดมวยนี้ขึ้นมาอย่างน้อยก็ต้องเป็นจุดสูงสุดของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการแปรสภาพพลังมาสักด้านหรือสองด้านแล้ว”
ซูฉินพึมพำกับตนเอง
ความละเอียดลออของหมัดกระจ่างแสงนั้นค่อนข้างน่าสนใจ แม้แต่ในมุมมองของซูฉินเองก็ยังรู้สึกแบบนั้น
อย่างที่รู้ๆ อยู่ว่าซูฉินลงชื่อรับเคล็ดวิชาต่างๆ ในวัดเส้าหลินมาเป็นจำนวนมาก การที่ซูฉินยังรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเคล็ดวิชาหมัดมวยฉบับนี้แล้ว
โดยเฉพาะกระบวนท่าสุดท้ายของหมัดกระจ่างแสง ที่เกี่ยวพันกับเคล็ดวิชาอื่นๆ อีกเป็นสิบอย่าง เรียกได้ว่าเป็นการเรียงร้อยได้ลงตัวมากทีเดียว
“ไม่เลว ไม่เลว”
“ไพ่ลับในแขนเสื้ออีกใบหนึ่งของข้า”
ซูฉินค่อนข้างพอใจกับมัน
ในช่วงปีที่ผ่านมา ซูฉินได้ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการชำระล้างกำลังภายในของตนโดยการใช้เพลิงมารผลาญสวรรค์ แล้วก็ไปลงชื่อเข้าใช้ทุกที่ในวัดเส้าหลิน
ด้วยการฝึกฝนด้านกำลังภายในอย่างต่อเนื่องมาตลอด ซูฉินก็เริ่มรู้ถึงความยากลำบากในการฝึกฝนวิทยายุทธมากขึ้นบ้างแล้ว
นอกจากนี้
มีหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียวเกิดขึ้นในวัดเส้าหลินในช่วงปีนี้
อาทิ หัวหน้าลานธรรมได้ก้าวผ่านคอขวดได้สำเร็จ กลายมาเป็นผู้เยี่ยมยุทธในระดับชั้นที่สองอีกหนึ่งคนที่นอกเหนือจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน
และหลังจากการเตรียมความพร้อมมาหลายเดือน เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็พร้อมที่จะบุกฝ่าคอขวดระดับขั้นอีกครั้ง
จากการคาดเดาของซูฉินแล้ว คราวนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ควรจะธาตุไฟเข้าแทรกอีก และไม่กี่ปีนับจากนี้การที่จะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพิ่มขึ้นอีกคนคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
ในที่สุด
ปีนี้……
เป็นปีที่สิบห้าที่ซูฉินเข้ามาอยู่ที่วัดเส้าหลิน
“สิบห้าปี…”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
หิมะตกลงมาเต็มผืนฟ้าราวกับว่ามันไม่มีวันสิ้นสุด
หิมะยังคงตกลงใส่ร่างเขาไม่หยุด
เมื่อสิบห้าปีก่อน ซูฉินจำต้องมานมัสการวัดเส้าหลินเพื่อหลีกหนีศัตรูของตระกูลซู
ก็แค่ซูฉินไม่คาดคิดเลยว่าตนเพียงจะมาเยี่ยมชมและหลบซ่อน จะอยู่มาจนถึงสิบห้าปีได้
เมื่อสิบห้าปีก่อนซูฉินไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย นอกจากตำแหน่งนายน้อยสามแห่งตระกูลซู ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เก้า
และอีกสิบห้าปีต่อมา ซูฉินกลับสามารถทำให้ทั้งโลกตกตะลึงได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนหรือนักพรตจางสายเลือดจอมยุทธอย่างแท้จริงแห่งเขาหวู่ตั้ง ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
“ดูเหมือนว่ายิ่งอายุมากขึ้น ข้าจะยิ่งคิดมากขึ้นไปด้วยนะเนี่ย”
ซูฉินยิ้ม เตรียมตัวกลับไปที่ลานจิปาถะ
เมื่อซูฉินกลับถึงลานจิปาถะก็พบเข้ากับศิษย์ลานจิปาถะคนหนึ่ง
“เจินกวน มีจดหมายถึงเจ้า”
ศิษย์คนนั้นยื่นจดหมายมาให้ซูฉิน
แม้ว่าวัดเส้าหลินจะให้ความสำคัญกับความสงบ กำหนดใจให้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้กีดกันห้ามศิษย์ติดต่อกับโลกภายนอกแต่ประการใด
อย่างไรเสีย ศิษย์ส่วนใหญ่ของวัดเส้าหลินก็มิใช่เด็กกำพร้าและมีญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ภายนอก แม้พวกเขาจะแสดงหาความสงบเงียบว่างเปล่า แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดขาดจากบุคคลอันเป็นที่รัก
“เป็นจดหมายจากตระกูลซูใช่หรือไม่?”
ซูฉินเหลือบมองจดหมายในมือ
สิบห้าปีมานี้ ตระกูลซูมักจะเขียนจดหมายมาหาซูฉินบ้างนานๆ ครั้ง ซูฉินคิดว่าคราวนี้ก็คงจะเหมือนเดิมกับที่ผ่านมานั่นแหละ
เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉินก็เปิดซองจดหมายและคลี่มันออกดู
จากนั้นไม่นาน
ซูฉินวางจดหมายในมือลง ร่องรอยความรู้สึกซับซ้อนในใจปรากฏออกมาทางสีหน้า
“ปรากฏว่าเด็กหญิงตัวน้อยของข้า……กำลังจะแต่งงานเสียแล้ว…”
ซูฉินพลันนึกถึงเด็กสาวตัวน้อยที่มักจะติดสอยห้อยตามเขาอยู่เสมอ
ก่อนที่จะเข้ามาในวัดเส้าหลิน ซูฉินเป็นนายน้อยสามของตระกูลซู ก่อนจะมีซูฉิน มีพี่ชายที่เกิดแต่บิดามารดาเดียวกันสองคน
นอกจากนั้นซูฉินยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง
ทั้งสี่คนล้วนมีพ่อแม่คนเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเข้มข้นยิ่งกว่าน้ำ
น้องสาวอายุน้อยกว่าซูฉินถึงเจ็ดปี
มักจะเดินน้ำมูกไหลตามซูฉินอยู่ตลอด
กล่าวได้ว่าในตระกูลซูคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดซูฉินที่สุดก็คือน้องสาวคนนี้
ในจดหมาย เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับน้องสาวของเขากำลังจะแต่งงาน
“ดูเหมือนข้าจะพลาดงานใหญ่ของเธอไม่ได้เสียแล้ว…”
ซูฉินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงเดินออกจากวัดเส้าหลินไปตั้งแต่ยามเช้าตรู่
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีที่ซูฉินจะก้าวออกจากวัดเส้าหลินนับตั้งแต่เข้าวัดมา