เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 52
Sign in Buddha’s palm 52 เคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรม
สำหรับซูฉินนั้น การลงชื่อเข้าใช้ประจำวันไม่ควรจะละเลยให้มันสูญเปล่า
การลงชื่อเข้าใช้ไม่มีการสะสมไว้ใช้ในอนาคต หากพลาดไปแล้วในวันนั้นก็คือพลาดโอกาสลงชื่อของวันนั้นตลอดไป
เมื่อมีความคิดแบบนี้ซูฉินจึงเตรียมตัวไปศาลาพระคัมภีร์ในทันใด
“คำนวณจากเวลาแล้ว ฮุ่ยเหวินน่าจะเกือบตัดผ่านระดับชั้นที่สองและเข้าสู่ขอบเขตของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้วใช่ไหมนะ?”
เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉินก็เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะแล้วมองไปทางตึกลานโพธิ์
เป็นดังการคาดการณ์
ในส่วนลึกของลานโพธิ์ วิถีแห่งเต๋าอันเลือนรางคอยประคองพลังฉีในระดับชั้นที่หนึ่งให้คงที่ขึ้นมาอย่างช้าๆ
หนึ่งปีที่ก่อน เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกระตือรือร้นที่จะก้าวหน้าจนนำไปสู่อาการธาตุไฟเข้าแทรก หากซูฉินไม่เข้าช่วยเหลือ เกรงว่าวัดเส้าหลินจะต้องเปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่เสียแล้ว
หลังจากบทเรียนคราวที่แล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เรียนรู้ที่จะระงับความกระตือรือร้น อยากประสบความสำเร็จจนเกินพอดี แล้วเริ่มบ่มเพาะไปทีละขั้นตอน
ด้วยวิธีการบ่มเพาะอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ก็มีเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่จะก้าวไปสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง
ตามการคาดการณ์ของซูฉินคืออย่างน้อยหนึ่งปีหลังจากนี้ ฮุ่ยเหวินจะควบคุมพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์และเมื่อนั้นเขาก็จะออกมาจากด่านฝึกตน
“วัดเส้าหลินในที่สุดก็มีระดับชั้นที่หนึ่งให้สมตามฐานะเสียที”
ซูฉินค่อนข้างพอใจ
แม้ว่ามันจะยังห่างไกลจากการกล่าวได้เต็มปากว่ามียอดปรมาจารย์อยู่ แต่ก็มีเค้าลางว่ากำลังจะมียอดฝีมือระดับนั้นกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน หากวัดเส้าหลินต้องเผชิญกับวิกฤตในอนาคต ซูฉินก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองทุกครั้งไป
ยิ่งวัดเส้าหลินแข็งแกร่งมากเท่าใด ซูฉินก็ยิ่งสามารถลงชื่ออย่างสบายใจได้มากเท่านั้น ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ประเภทที่วัดเส้าหลินถูกกวาดหายไปยามเมื่อตื่นนอนขึ้นมา
“น่าเสียดาย ด้วยพรสวรรค์ของฮุ่ยเหวิน การก้าวข้ามมาระดับชั้นที่หนึ่งคือขีดจำกัดแล้ว หากต้องการจะก้าวหน้าไปอีกขั้นโดยการแปรสภาพร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายในสักอย่างหนึ่งเพื่อกลายเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งก็ยากราวกับปีนป่ายสวรรค์”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย
แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะรู้วิธีการเข้าสู่ระดับถัดไป แต่การรู้ก็เรื่องหนึ่ง การสามารถกระทำได้ตามที่รู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น จิ่วชื่อซานเหริน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เสียชีวิตในโถงวิหารพระสหัสพุทธ เขาเข้าสู่ขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่งเมื่ออายุได้เจ็ดสิบเก้าแต่หลังจากผ่านไปกว่าร้อยปี เขาก็ยังติดอยู่ที่ระดับชั้นที่หนึ่ง นี่แสดงให้เห็นถึงความยากในการเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับชั้น
แน่นอนว่า
เมื่อเทียบกับการแปรสภาพร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน ขั้นต่อไปที่ว่าด้วยการทำความเข้าใจพลังฉีฟ้าดินนั้นยิ่งเป็นเรื่องน่าพิศวงงงงวยมากขึ้นไปอีก
“ในการเดินทางครั้งนี้ มิเพียงข้าจะได้รับกลมารฟ้า คัมภีร์วิชาลับสุดยอดของพรรคมารเท่านั้น ยังเข้าใจถึงพลังงานฉีด้วยการเผชิญหน้ากับพลังทำลายล้างของฟ้าดินอีกด้วย…”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของซูฉิน
การเข้าใจบางส่วนของพลังงานฉีในครั้งนี้ช่วยซูฉินย่นระยะเวลาไปได้อย่างน้อยก็สิบถึงยี่สิบปี
ขณะกำลังคิดถึงเรื่องนี้ซูฉินก็มาถึงหน้าศาลาพระคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
ซูฉินเหลือบมองไปรอบๆ พึมพำเงียบๆ อยู่กับตนเอง
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘เคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรม‘ ]
“เคล็ดวิชากระบี่?”
ซูฉินขมวดคิ้ว
ในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมา เขาลงชื่อเข้าใช้ได้วิชาลับมามากมายจากศาลาพระคัมภีร์ แต่เขาได้รับเคล็ดวิชากระบี่ไม่มากนัก ไม่ถึงร้อยเคล็ดวิชา
อย่างไรก็ตามอาวุธของวัดเส้าหลินโดยทั่วไปมักจะเป็นกระบองหรือสิ่งที่คล้ายๆ กระบอง ไม่ก็มือเปล่า ไม่ค่อยมีการใช้อาวุธมีคมเท่าใดนัก
“โพธิธรรม?”
หัวใจของซูฉินสั่นไหว
ปรมาจารย์โพธิธรรมเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของวัดเส้าหลินเมื่อหลายพันปีก่อน ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แขนงความรู้มากมายชนิดหาตัวจับยาก
“ปรมาจารย์โพธิธรรม…”
การแสดงออกของซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์
ถึงแม้จะเป็นในวัดเส้าหลินเอง ตัวตนของปรมาจารย์โพธิธรรมนั้นลึกลับเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าความแข็งแกร่งของท่านนั้นมากเพียงใด?
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?
จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?
หรือคือจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ แปรสภาพพลังครบสามครั้ง?
หากคิดไปมากกว่านั้น หรือนี่คือการดำรงอยู่ของระดับ ‘อรหันต์‘?
หวึ่ง!
ทันใดนั้น
ข้อมูลอันลึกซึ้งจำนวนมากเกี่ยวกับ ‘เคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรม‘ ก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน
ชั่วพริบตาความละเอียดอ่อนใน‘เคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรม‘ ก็ตีกันในหัวของซูฉิน และสุดท้ายบังเกิดเป็นแสงกระบี่จางๆ ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่ง
จากนั้นไม่นานซูฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ท่านปรมาจารย์โพธิธรรมท่านนี้ เกรงว่าท่านจะบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ เสียแล้ว”
ซูฉินประหลาดใจ
ระดับพลังและความลึกซึ้งของเคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรมนี้ แม้แต่ในสายตาของซูฉินยังมองว่ามันยอดเยี่ยมมาก
ซูฉินพิจารณาได้แล้วว่าความสูงส่งของปรมาจารย์โพธิธรรมน่าจะสูงล้ำกว่าวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไปแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อย
เพียงพริบตาหนึ่งปีก็ผ่านไป
ในตลอดปีนี้ชีวิตของซูฉินก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก
วันๆ นอกจากลงชื่อเข้าใช้เขาก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการกลั่นกำลังภายในให้บริสุทธิ์
“ด้วยความเร็วระดับนี้ อีกไม่กี่ปีข้าคงจะสำเร็จการแปรสภาพกำลังภายในได้อย่างสมบูรณ์”
ซูฉินคิดอยู่ในใจ
ในวันนี้หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อย เขาก็มากวาดลานตามหน้าที่
ทันใดนั้น
ไอพลังจากส่วนลึกของลานโพธิ์พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
ไม่นานนักหลังจากไอพลังนี้ปรากฏขึ้น
หัวหน้าตำหนักของวัดเส้าหลินต่างก็มารวมตัวกันที่ด้านนอกลานโพธิ์
“นี่คือ?”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ดูแปลกใจเหมือนกับว่าเขาจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ไม่แน่ใจนัก
เช่นเดียวกันกับหัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ การแสดงออกของพวกเขามีความรู้สึกไม่แน่ใจกันสักเท่าไหร่
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดินออกมาพร้อมกับหัวหน้าลานโพธิ์
หัวหน้าลานโพธิ์นั้นยังคงเหมือนเดิม แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลับมีกลิ่นอายที่ลึกซึ้งกว่ามาก
“เจ้าอาวาส ท่าน ท่าน…”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ลังเลที่จะพูดออกไป มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หัวหน้าลานโพธิ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงอดที่จะพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ “เจ้าอาวาสก้าวหน้าอย่างราบรื่น และได้กลายเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
เมื่อคำได้ถูกกล่าวออก
หัวหน้าตำหนักต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ
หกสิบปีแล้ว
เป็นเวลากว่าหกสิบปีแล้ว
นับตั้งแต่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลินได้มรณภาพไปเมื่อหกสิบปีก่อน ก็ไม่เคยมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งกำเนิดขึ้นมาในวัดเส้าหลินอีก
ด้วยสิ่งนี้แม้วัดเส้าหลินจะพอดำรงชื่อของสุดยอดพรรคในยุทธภพไว้ได้โดยไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพราะอาศัยภูมิหลังอันลึกซึ้ง แต่ก็สามารถจินตนาการได้เลยว่าความกดดันภายในวัดก็ไม่ใช่น้อยๆ
ในยุทธภพนี้มีเพียงพรรคสำนักที่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเรียกได้ว่าสุดยอดพรรคในยุทธภพ
การที่ไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แม้สักรูปเดียวในวัดเส้าหลิน แล้วยังใช้ชื่อสุดยอดพรรคในยุทธภพก็ย่อมไม่ถูกต้องตามหลักนัก
“ยอดเยี่ยมมาก”
หัวหน้าลานอรหันต์หันมามองอย่างตื่นเต้น “เจ้าอาวาส ในเมื่อท่านได้ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง เราควรจะประกาศให้ทั่วทั้งยุทธภพได้รับทราบเรื่องราวของวัดเส้าหลินครั้งนี้หรือไม่?”
ว่ากันโดยทั่วไป ในยุคสมัยนี้สถานะของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นสูงส่ง เมื่อใดที่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถือกำเนิดจึงสามารถเชิญเหล่ายอดยุทธมารับรู้สิ่งนี้ได้
“ไม่จำเป็นหรอก”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัว “ยุทธภพนั้นกว้างใหญ่นัก ยอดฝีมือล้วนมีอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ต้องกล่าวถึงภายนอกวัดหรอก เพียงแค่ในวัดนี้ตัวข้ายังด้อยกว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ลงมือหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา”
“ข้าจะกล้าประกาศกร้าวไปทั่วภพได้อย่างไร”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจ กล่าวออกมาอย่างเชื่องช้าด้วยอารมณ์ความรู้สึก
หัวหน้าตำหนักต่างตกใจเมื่อได้ฟังคำ
ในมุมมองของพวกเขา บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่ทรงพลังในระดับน่าหวาดหวั่น แต่ตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้กลายเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นเดียวกัน
คนแรกก็เป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ อีกคนก็เป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์
ทั้งคู่ต่างเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าว่ากันตามหลักเหตุและผล แม้จะมีช่องว่างระหว่างทั้งสองแต่ก็ไม่ควรจะเป็นช่องว่างที่ใหญ่จนเกินไป
แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน เหมือนว่าความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะเหนือล้ำกว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน?