เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 68
Sign in Buddha’s palm 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ
ชายในชุดขาวตัวสั่นเทา คุกเข่าลงกับพื้น ตราประทับจางๆ รูปมีดบินบนหน้าผากพังทลายลง
ต้องทราบว่าทายาทมีดบินที่มีมากว่าหลายชั่วอายุคนนั้น ไม่ได้ฝึกฝนกายเนื้อและกำลังภายในมาสักเท่าไหร่ แต่มุ่งเน้นไปที่การสะสม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่ามิได้หมายความว่าทายาทมีดบินมิรู้วิชายุทธอื่น เพียงแต่เมื่อเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือล้ำ กำลังภายในและกายเนื้อของพวกเขานับว่าไม่โดดเด่น
เพราะพลังอันเหนือล้ำนั้นทำให้ทายาทมีดบินแต่ละรุ่นเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้คน
แต่ในขณะนี้รอยประทับรูปมีดสั้นที่สื่อถึง‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ กำลังค่อยๆ พังทลายลง
นี่มันน่าเหลือเชื่อขนาดไหนกันเชียว?
บางทีระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อาจสามารถสังหารชายชุดขาวได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถทำลาย ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขา
‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ไม่เพียงแต่จะแสดงถึงระดับการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อความศรัทธาของชายชุดขาวด้วย
แม้ตัวจะตายได้ แต่ความศรัทธามิใช่จะทำลายกันได้ง่ายๆ
“นั่นคือ?!!”
ดวงตาของทายาทมีดบินมีเลือดไหลออกมา
เขาเพียงกระจายการรับรู้ผ่านเคล็ดมีดบิน แทบไม่ได้เข้าไปใกล้พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเลย ทั้งยังมองจากระยะไกลเพียงไม่นานอีกด้วย
แต่ผลที่ได้กลับเจอดวงอาทิตย์เก้าดวงหมุนวนเคลื่อนผ่าน ให้ความรู้สึกนึกย้อนไปถึงยุคโบราณกาล บรรยากาศอันเก่าแก่และดิบเถื่อนรั่วซึมออกมา ทรงพลังเกินจะต้านไหว
‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของชายชุดขาวจะทานทนต่อสิ่งตรงหน้านั้นได้อย่างไร มันแตกหัก พังทลายในทันที ถึงขนาดที่มีพลังอันพิศวงส่งกลับมาปะทะกายเนื้อของเขา
“มันมี ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่กว้างใหญ่จนน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นบนโลกได้เยี่ยงไร?”
เสียงของชายชุดขาวอดไม่ได้ที่จะสั่นเครือ
โดยปกติแล้ว ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของคนธรรมดาแทบจะเล็กจิ๋วเท่า‘จุดแสง‘ ส่วน‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของผู้ฝึกยุทธอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย
แต่ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันก็ไม่ควรจะใหญ่ไปกว่าลูกไฟลูกหนึ่ง
แต่บัดนี้ชายในเครื่องแต่งกายสีขาวรู้สึกว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่มาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเปรียบเสมือนความเวิ้งว้างอันลึกล้ำครอบคลุมไปทั่วทุกสิ่ง
…
ในขณะเดียวกัน
ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง
ซูฉินลืมตาขึ้นมาในระหว่างการโคจรพลังเก้าสุริยัน
“มีคนแอบจับตาดูข้าอย่างนั้นหรือ?”
ซูฉินขมวดคิ้ว
ตอนที่เขากำลังฝึกฝนอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงการจ้องมองที่ค่อนข้างคลุมเครือ
แต่ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามาแอบดู มันเหมือนกับมดตัวหนึ่งบังเอิญหันมามองจากที่ไกลๆ
ถ้าเขาไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตระดับอรหันต์ ซูฉินอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเลยเพราะการจ้องมองเมื่อครู่ไม่ได้โดดเด่นเท่าใดนัก แต่หลังจากบรรลุระดับอรหันต์ ความสามารถในการควบคุมตนเองและสิ่งแวดล้อมของซูฉินนั้นย่อมเป็นเลิศ
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถจับสัมผัสการจ้องมองนี้ได้อย่างง่ายดาย
“น่าสนใจ”
ซูฉินลุกขึ้นและก้าวเท้าออกไปด้านหน้า
ในทันที
ซูฉินก็ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และมาถึงมุมหนึ่งของวัดเส้าหลิน
เบื้องหน้าของซูฉินมีชายในชุดขาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ตัวสั่นเทา
“นี่เจ้าคือทายาทมีดบินรุ่นปัจจุบันอย่างนั้นหรือ?”
ซูฉินเพียงมองดูก็เข้าใจเหตุและผลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้ว่าโดยมากซูฉินแทบไม่ได้ออกจากวัดเส้าหลินไปไหน แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวของ ‘ทายาทของลี้น้อยมีดบิน‘ มาไม่น้อย
วัดเส้าหลินคงอยู่มาหลายพันปีแล้ว มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หลายรูปที่กำเนิดขึ้นที่นี่และได้ต่อสู้กับทายาทของมีดบิน หลังจากกลับมาที่วัดเส้าหลินพวกท่านก็ได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือโบราณ นำไปบรรจุเก็บไว้ในศาลาพระคัมภีร์
ซูฉินใช้ชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลินมากว่ายี่สิบปี เรื่องราวเหล่านี้มักจะผ่านหูผ่านตามาจากในศาลาพระคัมภีร์อยู่แล้ว
ตามบันทึกของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในครั้งอดีต ระบุว่าศาสตร์ที่ทายาทมีดบินเชี่ยวชาญนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่บริสุทธิ์และลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง
มันคล้ายคลึงกับวิชาจิตมารแยกวิถีของมารพุทธะ คล้ายกับวิชากลมารฟ้าของพรรคมาร
“พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาพังทลายลงไปแล้ว ต่อให้เขารอดชีวิตไปได้ เขาก็จะกลายเป็นขยะไร้ค่า”
ความคิดของซูฉินปั่นป่วน และสุดท้ายก็ตัดสินใจ
ในตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมชายชุดขาวจึงมาลงเอยเช่นนี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการต้องการกดดันเอาชนะตัวเองและต้องการจะใช้เคล็ดมีดบินมาสอดแนม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉิน
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉินได้กลั่นตัวเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มานมนานแล้ว และด้วยการสำเร็จระดับ‘อรหันต์‘ ไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งมันพุ่งขึ้นไปกี่เท่าต่อกี่เท่า
นอกจากนี้ซูฉินยังฝึกวิชาเก้าสุริยันที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ในเวลานั้นพลังแห่งดวงสุริยันทั้งเก้ากระจายตัวออกไปส่องแสงแผดเผา จะเป็นไปได้อย่างไรที่ชายชุดขาวจะมา ‘แอบตรวจสอบ‘ ได้?
“ข้าขอคำนับ… ขอคำนับท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”
เมื่อเห็นซูฉินปรากฏตัวขึ้นจากอากาศธาตุ ชายชุดขาวก็รู้สึกชัดเจนถึงกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เสียงของเขาพลันกล่าวออกอย่างขมขื่น
ในตอนนี้เขาจะยังไม่รู้อีกหรือว่ามีอรหันต์อยู่ในวัดเส้าหลินจริงหรือไม่?
ถ้าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าชายชุดขาวจะมั่นใจและหยิ่งยโสแค่ไหน เขาก็ไม่คิดมาแอบจ้องมองตัวตนระดับเทพเซียนเช่น อรหันต์ผู้นี้หรอก
“ช่างน่าเสียดายนัก”
ซูฉินมองไปที่ชายชุดขาวพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย
เขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือชายชุดขาวที่มีจุดจบเช่นนี้ คนผู้นี้จะต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่สามารถโทษใครได้
นอกจากนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ได้พังทลายลงไปแล้ว แม้ซูฉินจะอยากช่วยเหลือแค่ไหน แต่เขาก็กู้อะไรกลับคืนมาไม่ได้
เมื่อนึกได้แบบนั้นซูฉินก็หมุนตัวจากไป และกลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เพื่อทำความเข้าใจคัมภีร์เก้าสุริยันต่อ
ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น
ทางวัดเส้าหลินก็พบชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจดจำได้ว่าชายชุดขาวผู้นี้เป็นทายาทของมีดบินรุ่นปัจจุบัน
“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้ไปรบกวนผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งที่อยู่ในวัดแห่งนี้ ความผิดของข้านั้นสมควรต้องตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ข้าหวังว่าเจ้าอาวาสจะยินดีรับข้าเข้านมัสการพระพุทธรูปอันเก่าแก่ และพำนักอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าไปตลอดชีวิต”
ชายในชุดสีขาวลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ก่อนที่จะมายังวัดเส้าหลิน ชายชุดขาวมุ่งมั่นที่จะบรรลุจุดสูงสุดของวิทยายุทธมาโดยตลอด แต่หลังจากเข้ามาในวัดเส้าหลินและแอบตรวจสอบผู้ซึ่งเทียบได้กับปลายยอดน้ำแข็งท่ามกลางหมู่ชนที่เขตหวงห้ามเพียงครู่เดียว มันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพียงใด
ไฉนยังกล้าใฝ่หาจุดสูงสุดของวิทยายุทธ? เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง เขานับเป็นเพียงหยดน้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทรใหญ่ ความห่างชั้นนั้นช่างไกลเกินเอื้อมถึง
รอยแผลบนผิวหนังควบคู่กับการพังทลายของพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้ชายชุดขาวรู้สึกท้อแท้กับชีวิต และมีความคิดที่จะหลีกหนีเรื่องวุ่นวายทางโลก ปลีกวิเวกใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นี่
“ผู้แสวงบุญ ประสกต้องคิดให้ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้…”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองไปทางหัวหน้าตำหนักที่เพิ่งมาถึง แล้วกล่าวคำอย่างช้าๆ
แม้ว่าชายชุดขาวจะกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ไปเสียแล้วในตอนนี้ แต่เขาก็เป็นถึงทายาทมีดบินในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดความอ่าน ความเข้าใจของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธธรรมดาไปมากนัก
หากชายชุดขาวสักการะเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลินจริงๆ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อรากฐานของวัดเส้าหลิน
“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
ชายชุดขาวถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพระผู้ต้อยต่ำผู้นี้จะเป็นผู้ปลงผมให้เจ้าเอง”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพนมมือสวดมนต์พิธีและกล่าวคำ
เวลาผ่านไปนานเป็นปี
นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆ วัน ซูฉินยังฝึกฝนและทำความเข้าใจในศาสตร์วิชาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากทราบเรื่องที่ยังคงมีตำนานยุทธอยู่ด้านนอกแผ่นดินใหญ่ นอกมหาสมุทรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่น ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่านี้ของซูฉินก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธ หากต้องการจะเติบโต แข็งแกร่ง และก้าวไปสู่ระดับที่ทรงพลังน่าทึ่งยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ต้องกระทำมิใช่แค่ฝึกฝนตนเอง แต่ยังต้องเข้าใจพลังแห่งฟ้าดินด้วย!”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ดวงตาของเขาสว่างไสว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทั้งความพยายามของเขาเองและด้วยการใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอย่างต่อเนื่อง การบ่มเพาะของเขาในขอบเขตระดับอรหันต์ค่อนข้างราบรื่นทีเดียว