เงินอุดหนุนหมื่นล้านเป็นของฉันคนเดียว - บทที่ 261 การเจรจา
ในขณะเดียวกัน เฉินห้าวขับรถออกมาไกลแล้ว และหยุดที่พื้นที่ให้บริการทางด่วนในบริเวณใกล้เคียง หลังจากหยุดพักสักครู่ ก็ออกเดินทางต่อ
ระหว่างทาง โจวซีถงยังไม่เข้าใจว่าทำไมตำรวจจราจรถึงไม่จับเขา แต่จับเพียงเด็กหนุ่มคนนั้น
“อาจเพราะว่าฉันรูปร่างหล่อเหลาก็ได้”
เฉินห้าวกล่าวด้วยความหลงตัวเองที่ได้เรียนรู้มาจากเซี่ยจิ้ง
เฉินห้าวพูดขึ้นเพื่อต้องการให้บรรยากาศดีขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าจะใช้โอกาสนี้หลอกล้อโจวซีถง ใครจะรู้ว่าคนงามแสนเยือกเย็นคนนี้เอาไปคิดเป็นจริงเป็นจัง เธอพยักหน้าแล้วกล่าว“ดูสมเหตุสมผลอยู่”
เฉินห้าวคิดว่าเขาคงเจอหญิงแท้ในตำนานแล้ว พูดล้อเล่นก็เอามาเป็นจริงเป็นจัง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันจนมาถึงด่านเก็บค่าผ่านทางด่วนในเขตอำเภอลี่ทง ใช้เวลาเดินทางจริงๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เพราะการแข่งรถจึงช่วยประหยัดเวลาได้มาก ถึงก่อนเวลาที่กำหนด 20 นาที
เฉินห้าวลงจากทางด่วน ตามการนำทางไปยังที่ตั้งสำนักงานอำเภอ ระหว่างทางเขาก็สังเกตสถานการณ์ในเขตอำเภอไปด้วย
โครงสร้างพื้นฐานเมืองของอำเภอลี่ทงค่อนข้างล้าสมัย เหมือนในยุคตอนต้นศตวรรษ ตัวตึกมีไม่กี่ชั้น มีอาคารเจ็ดชั้นจำนวนมากกระจัดกระจายทั่วเมือง มีเพียงในเขตใจกลางอำนวยเท่านั้นที่เจริญรุ่งเรือง แต่เป็นเพียงบริเวณติดถนนเท่านั้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นพื้นที่ด้อยพัฒนา
พื้นผิวถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อมากมาย เขาที่คุ้นเคยกับถนนอันสวยงามของเมืองไป๋เหอ เมื่อมาเห็นสภาพที่นี่ก็รับไม่ได้
ในที่สุดเฉินห้าวก็มาถึงจุดหมายปลายทาง สำนักงานอำเภอลี่ทง เมื่อวานโจวซีถงได้ติดต่อประสานงานกับฝ่ายประสานงานหัวหน้าหน่วยงานอำเภอลี่ทงแล้วว่าวันนี้จะมาขอพบ
ปกติหากเป็นราชการแบบนี้จะยากหน่อย แต่โจวซีถงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เธอเป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัทที่จดทะเบียนห้าร้อยอันดับในประเทศ และยังเป็นผู้นำที่ควบคุมดูแลทุกอย่างในปัจจุบัน บริษัทโจวซื่อมีมูลค่าสินทรัพย์นับหมื่นล้าน มาเยือนเมืองที่ด้อยการพัฒนาแห่งนี้ เท่ากับว่าเป็นแขกระดับวีไอพี
เมื่อรถของเฉินห้าวแล่นเข้ามา ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงดึงดูดความสนใจของเจ้าพนักงานที่อยู่บริเวณหน้าประตู
มีเจ้าพนักงานราชการคนหนึ่งเดินมาที่หน้ากระจกหน้าต่าง และกล่าวถาม“ขอโทษนะครับ ใช่คุณโจวจากบริษัทโจวซื่อใช่ไหมครับ”
“ใช่ฉันเอง” โจวซีถงลดกระจกลง และกล่าวอย่างสุภาพ “เมื่อวานฉันส่งข้อความติดต่อมา ต้องการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางธุรกิจ ไม่ทราบว่าวันนี้ฉันสามารถพบคนที่รับผิดชอบในส่วนนี้ได้บ้างไหม”
“ได้ครับ ได้แน่นอน หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมการลงทุนของอำเภอ หัวหน้าสวี บอกให้ผมมารอรองรับที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้วครับ” เจ้าพนักงานราชการกล่าวอย่างสุภาพ
จากนั้น เจ้าพนักงานจึงแนะนำให้เฉินห้าวเอารถไปจอด จากนั้นทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในตัวอาคาร
เมื่อเข้ามาเฉินห้าวพบว่าอาคารแห่งนี้ไม่ได้บูรณะปรับปรุงมานานแล้ว ผนังลอกออกมาเล็กน้อย ยังต้องใช้บันไดเดินขึ้นตึก เจ้าพนักงานคนนั้นพูดอย่างเขินอาย“ขอโทษด้วยนะครับ อาคารของพวกเราค่อนข้างเก่า มีการวางแผนว่าจะปรับปรุงในปีนี้”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญกับโจวซีถงและเฉินห้าว ทั้งสองมาคุยธุรกิจ ไม่เกี่ยวกับอาคารเก่าหรือใหม่ แต่สิ่งนี้เป็นสัญญาณบอกพวกเขาอย่างหนึ่ง คือสภาพการเงินของอำเภอลี่ทงไม่ค่อยร่ำรวยเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้
เมื่อมาถึงห้องรับรองห้องหนึ่ง การตกแต่งภายในห้องค่อนข้างทันสมัย เห็นการตกแต่งประดับประดาด้วยความวิจิตรบรรจง ชุดโซฟาและโต๊ะทำมาจากไม้เนื้อแข็ง ถูกจัดวางอย่างมีรูปแบบ หน้าประตูมีชายวัยกลางคนออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“คุณคงเป็นคุณโจวใช่ไหมครับ สวัสดีครับ ผมชื่อสวีซื่อเสียนเป็นหัวหน้าฝ่ายผู้รับผิดชอบฝ่ายส่งเสริมการลงทุนของอำเภอลี่ทงครับ!”
เขาแนะนำตัวเอง และจับยื่นมือไปจับมือโจซีถง
สามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบการลงทุนได้ จะต้องเป็นคนที่น้ำกลิ้งบนใบบอน (ตีสนิทได้ทุกฝ่าย) แน่ แม้ว่าจะเรียกเขาว่าหัวหน้าฝ่าย แต่ระดับในหน่วยงานไม่ใช่ต่ำๆ ต้องเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญในหน่วยงานแน่
สวีซื่อเสียนไม่รู้จักเฉินห้าว แต่เขาก็เข้าไปจับมืออย่างกระตือรือร้น และกล่าวถาม“คุณชื่ออะไรครับ”
“ผมชื่อเฉินห้าว เป็นเพื่อนของประธานโจว”
เฉินห้าวแนะนำตัวเองง่ายๆ แต่ในการแนะนำตัวเองของเขาละเว้นคำว่า” ผู้ชาย” ไปหนึ่งคำ
“สวัสดีครับ!”
สวีซื่อเสียนจับมือเฉินห้าวอย่างจริงจัง ตอนจับมือกัน เขารู้สึกได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดา อย่างแรกคือการแต่งตัวที่ดูดี ประกอบกับท่าทางที่เรียบเฉยและสง่างาม ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ตามสัมผัสที่หกของเขา ต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากพอๆ กับโจวซีถงหรือไม่ก็มากกว่า
“ใช่เหรอ?” สวีซื่อเสียนวาดเครื่องหมายคำถามในใจ รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
โจวซีถงเป็นประธานผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ มีหลักทรัพย์ทางการเงินที่แข็งแกร่ง ถ้าเฉินห้าวมีอำนาจมากกว่าโจวซีถง อย่างนั้นเขาเป็นอะไรล่ะ?”
หรือว่าเป็นลูกชายของตระกูลใหญ่บางตระกูล?
สวีซื่อเสียนคิดอย่างสับสนงุนงง และแยกกันไปนั่งโซฟา มีเจ้าพนักงานนำชามาเสิร์ฟ ทั้งสามจึงได้เริ่มดื่มชาและพูดคุย
ในระหว่างการสนทนา สวีซื่อเสียนสำรวจตัวตนของเฉินห้าวไปด้วย เขารู้สึกว่าเฉินห้าวนั้นลึกลับ ซึ่งมันกระตุ้นความสนใจของเขา
แน่นอน การพูดคุยจะไม่พูดตามตรง โดยเฉพาะกับการเจรจาเรื่องการลงทุนขนาดใหญ่ ต่างต้องเริ่มต้นจากการคุยเรื่องทั่วไปก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เข้าประเด็น
คราวนี้ผู้นำโครงการคือเฉินห้าว ดังนั้นโจวซีถงจึงไม่พูดอะไรมาก ให้เฉินห้าวเจรจาแทน
เฉินห้าวไม่ถึงกับถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ พูดคุยอย่างฉะฉานมีหลักการ บทสนทนาของเขาเฉียบแหลมคมคาย แสดงถึงการเลี้ยงดูมาอย่างยอดเยี่ยม มันทำให้สวีซื่อเสียนประทับใจเขาอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เฉินห้าวและสวีซื่อเสียนมีเจตนาของตนเองอย่างชัดเจน
สวีซื่อเสียนในฐานะผู้ดูแลฝ่ายส่งเสริมการลงทุน จึงอยากให้บริษัทหลักทรัพย์ใหญ่อย่างบริษัทโจวซื่อมาตั้งรกรากการลงทุนที่นี่ ราวกับเป็นเจ้าพนักงานขาย เริ่มอวดอ้างข้อดีและความสะดวกทางธุรกิจต่างๆของอำเภอลี่ทง และยังเปลือยอย่างลับๆว่า หากบริษัทโจวซื่อตัดสินใจมาลงทุนสร้างอุตสาหกรรมในอำเภอลี่ทง เขาจะให้ไฟเขียวกับนโยบายทั้งหมด
นี่เป็นสิ่งที่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งชื่นชอบแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จุดประสงค์การสร้างโรงงานในพื้นที่ห่างไกลเพราะการจราจรค่อนข้างราบรื่น หนึ่งคือช่วยประหยัดต้นทุนการซื้อที่ดิน สองคือต้นทุนแรงงานต่ำ สามคือการเอนเอียงของนโยบายท้องถิ่น
สำหรับวัตถุประสงค์ของเฉินห้าว คือการที่ทำให้ถนนเมี่ยวเจียรุ่งเรืองดั่งเมืองไป๋เหอ จึงไม่สนใจการแนะนำเหล่านี้
นี่ทำให้การเจรจาของทั้งสองคน ไม่มีความคืบหน้าเลย