เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 27 ออกเดินทาง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าฉิวหรันเค่อหมดสติไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็แก้มัดให้เขาและพันแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง เหตุที่ซ่านอิงก็ยังไม่มีของสิ่งนี้เป็นเพราะถึงแม้เขาจะไปหางูเถี่ยเซี่ยนบนภูเขา ใช้เวลาตั้งหนึ่งเดือนกว่าถึงจับมาได้เจ็ดแปดตัว แต่มันก็เพียงพอจะเอามาทำเป็นเชือกที่มีความยาวแค่ประมาณหนึ่งเมตรกว่าเท่านั้น หากอยากให้ยาวเท่าเชือกของอวิ๋นเยี่ย เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสะสมเป็นสิบปี
หมอสองคนของสำนักศึกษาเข้ามาพันแผลที่ศีรษะให้ฉิวหรันเค่ออย่างระมัดระวัง นอกจากบาดแผลถูกแทงที่ขาและไหล่ นอกนั้นก็เป็นแค่แผลเล็กๆ เส้นไหมกรีดไม่รุนแรง ใช้เวลามากสุดแค่สิบวันก็หาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผงยาของซุนซือเหมี่ยวที่ใช้อยู่ทั่วตัวจำนวนมากมายราวกับไม่ต้องเสียเงิน จิตใจและร่างกายของฉิวหรันเค่อได้รับบาดเจ็บสาหัสทีเดียว เขาต้องการการนอนหลับในการรักษา ส่วนสูตรลับของผงสำราญพันวันนั้นซุนซือเหมี่ยวไม่ยอมบอก เขาไปขอตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมบอก เขากลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอามันไปใช้ก่อเรื่อง
พึ่งจะออกมาจากประตูอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเสียใจแล้ว เด็กน้อยสองคนนอนกินแขนทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะ คนเป็นพี่ใช้มีดไปปาดแบ่งรากบัว เป่าให้เย็นแล้วเอาให้น้องสาวกิน เงอะงะงุ่มง่ามช่างน่าเอ็นดู
หมูตัวหนึ่งถูกหั่นจนจะเป็นซอสอยู่แล้ว เลือดหมูไหลเต็มพื้น หลิวจิ้นเป่ากำลังพิจารณาว่าจะสับเพิ่มอีกสักสองสามทีดีหรือไม่ เอากลับหมู่บ้านไปทำซาลาเปา แล้วยังมีผู้หญิงใส่ชุดสีขาวรอบล้อมอยู่หน้าหมูอย่างชอบอกชอบใจ มองดูหลิวจิ้นเป่าอยากได้ชิ้นที่ตัวเองพอใจชิ้นนั้นอีกที นักแสดงของตรอกซิ่งฮว่าฟางบอกว่าไม่มีปัญหากับการทำเสียงเล็กๆ น้อยๆ เสียงร้องโหยหวยของผู้หญิง เสียงอ้อนวอนขอชีวิตของผู้ชาย ล้วนแต่มาจากปากของพวกเขา นักแสดงตัวน้อยสองคนยิ่งแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดอารมณ์ความกลัวและความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี
โรงละครของตรอกซิ่งฮว่าฟางตอนนี้สามารถแสดงละครสั้นได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยจัดให้พวกเขาแสดงละครเวที ‘กวีมู่หลาน’ ‘ลูกสะใภ้’ และ ‘ซูอู่เลี้ยงแกะ’ ละครพวกนี้รวบรวมมาจากเรื่องราวดีๆ ของสำนักศึกษา เป็นที่นิยมในฉางอันตั้งนานแล้ว
หากมีเนื้อเพลง “ข้าก็เคยร่วมงานเลี้ยงของฮ่องเต้ ข้าก็เคยขี่ม้าเล่นบนถนนของราชวงค์ เพื่อองค์ชายหลี่อันเป็นที่รัก…” เช่นนี้ดังออกมาจากห้องนอนของเด็กผู้หญิง ท่านพ่อท่านแม่คงจะไม่คิดว่ามันแปลก คงจะไม่คิดว่าลูกสาวของตัวเองจะหนีไปกับคนอื่น คงคิดว่ามันเป็นแค่การร้องเล่นฆ่าเวลาอย่างหนึ่งเท่านั้น
บทเพลงที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘ซูอู่เลี้ยงแกะ’ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็มักจะมีคนร้องขึ้นมา “หญิงเฒ่าผมหงอก คอยเฝ้ามองลูกชายกลับบ้าน หญิงสาวกอดตะเกียงอย่างเดียวดาย คิดถึงท่านพี่ที่อยู่แสนไกล ทั้งสองคนหวังว่าจะได้เจอกันในความฝัน” บทเพลงที่โศกเศร้า ร้องจบก็ไปหานางรำชาวหูเพื่อแก้แค้นให้ซูอู่…
ล้วนแต่เป็นคนจรจัดที่น่าสงสาร เด็กสองคนนั้นหลิวจิ้นเป่าเป็นคนเก็บมาจากข้างทาง ประกาศหาพ่อแม่ตั้งนานก็ไม่มีใครมารับพวกเขากลับไป เขาจึงเลี้ยงดูพวกเขาเหมือนลูกของตัวเอง ทั้งสามเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นความฝันที่อวิ๋นเยี่ยแต่งขึ้นมาให้ฉิวหรันเค่อ ฝันร้ายอันน่ากลัว ผ่านไปสิบวันเมื่อเขาตื่นขึ้นจากความฝัน เขาก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีเขาอาจจะจำชื่อหลี่หวยเหรินได้ แต่นี่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ย คนที่ซวยก็คือหลี่หวยเหริน อวิ๋นเยี่ยยังจำได้ว่าเจ้านั่นคือคนแรกที่เล่นงานเขาตอนที่อยู่หอเอี้ยนไหลโหลว จะไม่กลับมาเอาคืนไม่ได้ สำหรับสิบวันของฉิวหรันเค่อนั้นชีวิตใหม่ของเขาจะเริ่มขึ้นหลังจากผ่านไปจนครบทั้งสิบวันนี้
สำหรับการเอาเรื่องราวที่ไม่มีอยู่จริงยัดเข้าไปในหัวของเขามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในยุคหลังก็มีตัวอย่างความสำเร็จของการเอาจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ ตัวอย่างเช่นการขายตรงหรือประกันภัย มันก็แค่การล้างสมอง คนดีๆ ยังถูกหลอกให้เป็นคนบ้าจนญาติพี่น้องไม่รู้จัก คนที่บ้าๆ บอๆ อย่างฉิวหรันเค่อยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันช่างง่ายดาย
สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จูบไปที่แก้มของเด็กทั้งสองคนทีหนึ่ง บอกให้พวกเขากินแขนทั้งสองข้างให้หมด จากนั้นเขาก็เอามือไขว้หลังเดินออกไปหาจางชูเฉิน หรือก็คือธิดาแส้แดงนั่นเอง
“อวิ๋นโหว ไม่ทราบว่าอาการของสหายข้าเป็นเช่นไร” เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา ธิดาแส้แดงก็มาต้อนรับและถามเขา เมื่อครู่อวิ๋นเยี่ยบอกให้ลานตรงนั้นเป็นที่ต้องห้าม ไม่อนุญาตให้คนตระกูลหลี่เข้าไป ธิดาแส้แดงจึงทำได้แค่ฟังเสียงร้องโหยหวนและเสียงคำรามของฉิวหรันเค่อจากไกลๆ ที่เหลือนางไม่รู้อะไรเลย
“กราบเรียนท่านป้า สหายของท่านตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่ เขาอาจจะต้องนอนหลับไปกว่าสิบวัน จิตใจและร่างกายของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่ว่าความพยายามของพวกเราไม่ได้เสียเปล่า เขาจำได้แล้ว ท่านต้องบอกเขาว่า การที่เขาต่อสู้กับคนอื่นนั้นเกิดขึ้นเมื่อวานเท่านั้น เพื่อเรื่องนี้ ข้าพยายามทำให้บาดแผลจากมีดของเขาหายช้ากว่าปกติ เพื่อให้บอกเขาว่า เขาเหนื่อยเกินไปจึงนอนหลับไปทั้งคืน”
“ไอ้หนุ่ม เหตุใดกัน หรือว่ามีอะไรที่ให้คนเห็นไม่ได้หรือ” หลี่จิ้งที่แต่งตัวเป็นอัศวินรีบเข้ามาทางประตู เอาดาบแขวนไว้บนผนัง เขามักจะสงสัยในความคิดของอวิ๋นเยี่ยอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแบบนี้มันไม่เหมาะสม แต่เพราะว่าศักดิ์ศรีของผู้สูงส่ง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ท่านพี่ อวิ๋นโหวรักษาอาการป่วยของจ้งเจียนได้แล้ว อีกแค่สิบวัน จ้งเจียนก็จะตื่นขึ้นมา และความทรงจำทั้งหมดที่หายไปของเขาก็จะกลับคืนมา”
“อวิ๋นโหว เป็นเช่นนี้จริงหรือ” ปากของหลี่จิ้งสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่จิตใจของเขาก็ยังมีความอ่อนโยน
“ใช่ขอรับ แต่ต้องให้เขานอนหลับไปสักสิบวัน เพื่อให้จิตใจและร่างกายของเขาได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ตอนนี้เราให้เขาฟื้นฟูทางด้านจิตใจเป็นหลัก การรักษาแผลที่ร่างกายเป็นอันดับสอง ดังนั้นหลานจึงไม่ได้รักษาบาดแผลให้เขาทันที เพราะพิจารณาถึงเรื่องนี้
ท่านอาจจะเคยได้ยินมาว่าการฟื้นฟูจิตใจจะต้องทำการกระตุ้นจิตใจของเขาอย่างรุนแรง ดังนั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ท่านต้องบอกว่าเวลาผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น จะบอกว่าผ่านไปแล้วสิบวันไม่ได้เด็ดขาด ให้เขาคิดว่าการกระตุ้นที่โหดเ**้ยมเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย เขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์นั้นจริงๆ ท่านคงจะจิตนาการไม่ได้ว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง หลานขอตัวก่อนขอรับ”
หลังจากให้คำแนะนำทางการแพทย์เสร็จแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็กำมือขอตัวเองแล้วออกมา ตอนนี้เขายังต้องไปเป็นห่วงพวกหลี่หวยเหรินอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าระดับการแก้แค้นของหลี่จิ้งไปถึงจุดไหนแล้ว
ก้นของไฉหลิ่งอู่โผล่ออกมาด้านข้างราวกับมะเขือม่วง เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยเข้ามา เขาอยากจะปิดก้นตัวเอง แต่น่าเสียดายที่พอผ้าไปแตะที่ก้นเขามันก็เจ็บจนเหงื่อไหล ดูแล้วน่าจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะนั่งลงได้ ทักทายกันสักหน่อย เอายาของซุนซือเหมี่ยวให้เขาไปห่อใหญ่ นัดกันไปหอนางโลมที่ปลอดภัยในครั้งต่อไป จากนั้นสองสหายถึงได้ยกจอกเหล้าเอ่ยบอกลากัน
หลี่หวยเหรินยังคงคุกเข่าอยู่หน้าป้ายบรรพบุรุษ หลี่เซี่ยวกงกับหลี่จิ้งเป็นสหายสู้รบกันมาตั้งหลายปี มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ได้ยินว่าหลี่หวยเหรินต่อยฉิวหรันเค่อ หลี่เซี่ยวกงก็ตีหลี่หวยเหรินทันที และลงโทษเขาให้สำนึกผิดอยู่ในห้องบูชาบรรพบุรุษ
สำหรับการที่อวิ๋นเยี่ยมาเยี่ยมหลี่หวยเหริน หลี่เซี่ยวกงค่อนข้างพอใจ เขาสั่งสอนอวิ๋นเยี่ยต่อหน้าแขกทั้งห้อง บอกอวิ๋นเยี่ยว่าต่อไปอย่าไปก่อเรื่องกับหลี่หวยเหรินอีก พวกเขาควรมีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และสู้ไปด้วยกัน
ฟังเขาพูดเรื่องไร้สาระจบ ก็รู้สึกพอใจในความไร้สาระของชายเฒ่าคนนี้เป็นที่สุด จากนั้นเขาจึงถือห่อผ้าเข้าไปหาหลี่หวยเหริน แสดงป้ายที่เอามา ดูอาการของเขา และไล่คนใช้ที่ดูแลหลี่หวยเหรินออกไป วางห่อผ้าลงได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็เห็นหลี่หวยเหรินค้นไก่ย่างออกมาจากห่อผ้าและกินอย่างเอร็ดอร่อย
เทน้ำชาให้หลี่หวยเหริน บอกให้เขากินช้าๆ ลงหน่อย หลี่หวยเหรินกินไปพร้อมกับพูดอย่างงงงวยไปด้วยว่า “ข้าหิวมาวันหนึ่งแล้ว จะให้กินช้าๆ ได้เช่นไร พรุ่งนี้อย่าลืมเอาไก่ย่างมาสักสองตัว ข้ายังจะได้สำนึกผิดอีกหนึ่งวัน ที่บ้านไม่เอาข้าวให้ข้ากินเลย”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ ทำไมคนบ้าตีเราได้แต่เรากลับตีคนบ้าไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้สหายสองสามคนได้ระบายความโมโห ตอนที่ข้าไปรักษาอาการป่วยให้กับคนบ้าคนนั้น ข้าทรมานเขาอย่างหนัก”
“น่าอนาถมากเลยใช่หรือไม่”
“แน่นอน ถึงกับน้ำตาไหล!”
“สะใจ สะใจจริงๆ ข้าอยากจะจัดการกับไอ้บ้านั้นด้วยมือของข้าเอง!”
“ข้ารู้ว่าพี่มีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นตอนสุดท้ายที่ไอ้หมอนั่นถามข้าด้วยความสิ้นหวังว่าข้าคือใคร ข้าคิดว่าชื่อของตัวเองไม่ค่อยน่าเกรงขาม ดังนั้นข้าจึงบอกชื่อพี่ออกไป เป็นเช่นไร ข้าทำได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
ไก่ย่างในมือของหลี่หวยเหรินตกลงบนโต๊ะ เขาพึมพำว่า “ข้ามีสหายอย่างพวกเจ้า แล้วข้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เช่นไร”
ลูกชายคนเล็กของหลิวหงจี แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ยังมีความสุข ก้นของเขาแดงก่ำเหมือนไฉหลิ่งอู่ รอบตัวรายล้อมไปด้วยสาวสวยงดงามที่ราวกับดอกไม้บาน พวกนางแต่งตัวสบายๆ ดวงตาของหลิวเจิ้งอู่วนไปวนมา เขาจะยื่นขาออกมา แต่ไม่ทันระวังเลยไปโดนแผลเข้าให้ เขากัดฟันยิ้มและสูดหายใจเข้า คาดว่าเขาคงไม่ได้เป็นหมาป่าไปอีกสักระยะหนึ่ง
จั่งซุนชงถือหนังสืออยู่ในมือ นั่งอยู่ที่สวนดอกไม้อย่างสง่างามแล้วมองเห็นอวิ๋นเยี่ย นอกจากรอยฟกช้ำที่มุมตาก็ไม่มีรอยแผลตามตัวอีก เห็นเขานั่งนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหนก็รู้แล้วว่าวิธีของของตระกูลจั่งซุนใช้กับเขาไม่ได้ผล
“ในเมื่อมาเยี่ยมคนป่วยก็ไม่ต้องเอายากลับไป ยารักษาแผลของอาจารย์ซุนที่บ้านมีเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าพึ่งจะรอดไปได้หนึ่งครั้ง ครั้งนี้ยังไม่ได้ใช้ แต่ครั้งหน้าข้ายังจะโชคดีเช่นนี้อีกหรือ หลี่จิ้งอยากจะใช้งานสหายอย่างพวกเรา เล่นละครให้ฝ่าบาทดู เห็นว่าเขาน่าสงสารจึงช่วยเล่นให้เขา ที่บ้านนี้ยังจะมีใครกล้าตีข้าเช่นนั้นหรือ”
“ข้าทำให้ฉิวหรันเค่อนอนหลับไปสิบวัน ดังนั้นเราจึงมีวันที่สุขสบายอีกสิบวัน หลังจากสิบวันผ่านไปก็คงจะอยู่ไม่สุขแล้ว หลี่จิ้งพลิกคดีให้ฉิวหรันเค่อ หากศาสนาพุทธไม่ถือโอกาสนี้มาหาเรื่องพวกเราก็คงแปลกน่าดู พวกเขาอยากจะให้ฉางอันวุ่นวาย รีบคิดหาวิธีว่าเราจะเอาตัวรอดเช่นไรเถิด เราจะต้องไม่เข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเด็ดขาด นั่นมันคือบ่อโคลน ใครเข้าไปคนนั้นย่อมซวย”
“อีกสามวันเป็นวันเกิดของลุงข้า ข้าจะต้องรีบไปงานวันเกิดที่ลั่วหยาง เจ้าจะไปด้วยหรือไม่” จั่งซุนชงเปิดหนังสือ พลิกดูสองสามหน้าและถามอวิ๋นเยี่ยช้าๆ
“ไม่ไป อาจารย์ซุนยังอยู่ที่ภูเขาฉินหลิ่ง ข้ายังไม่วางใจ ข้าตัดสินใจพาองครักษ์ประจำตระกูลไปตามหาตัวเขาบนภูเขา คาดว่าน่าจะใช้เวลาสักสิบกว่าวันถึงครึ่งเดือน ฉู่มั่วก็ไป หวยเหรินก็ไป ได้ยินมาว่าหลี่เค่อก็จะไปด้วย เฉิงเฉียนก็อยากไป แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นรัชทายาทจึงไปด้วยไม่ได้ ไม่ได้เจอชิงเชวี่ยเลย ใครก็หาเขาไม่เจอ ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่เสียที่ไหน ในเมื่อเจ้าจะไปลั่วหยาง เช่นนั้นข้าก็ไม่สนใจแล้ว พวกข้าจะไปภูเขาฉินหลิ่ง”
“เหลวไหล ใครบอกว่าข้าจะไปลั่วหยาง ข้าก็จะไปภูเขาฉินหลิ่ง พานายพรานที่มีฝีมือไปด้วยสักสองสามคน สุนัขล่าสัตว์ของข้าเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว”
ส่วนตระกูลของหลิวเจิ้งฮุ่ยก็ช่างมันเถอะ เขาถูกพ่อของเขาส่งให้ไปจัดการที่ดินแล้ว ไม่ต้องกังวล หลังจากนัดวันกับจั่งซุนชงแล้วเขาก็รีบไปที่บ้านของเฉิงเหย่าจินทันที
จากนั้นก็ไปกินข้าวกับที่บ้านของเหล่าเฉิงตามปกติ บอกเรื่องที่ตัวเองจะไปภูเขาฉินหลิ่งให้เขาฟัง ทันใดนั้นเฉิงฉู่มั่วก็บอกว่าเขาจะไปด้วย เหล่าเฉิงยิ้มขณะมองดูสองสหายพูดคุยกันเรื่องการเดินทาง จากนั้นก็ยกหล้าขึ้นดื่มด้วยความชอบใจ
อวี้ฉือจอมโง่ไม่อยากไปด้วยสักเท่าไร ทว่าถูกพ่อของเขาตบที่ท้ายทอยเข้าให้สองที เขาจึงยอมรับปากอย่างไม่เต็มใจ ปากก็เอาแต่บ่นพึมพำว่าเสียเวลา