เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 37 โดนหลอกอีกแล้ว
ประตูหลักวังหลวงช่างน่ารำคาญ ข้าล่ะเกลียดเป็นที่สุด คราวที่แล้วมีรัชทายาทอยู่ด้วยนับว่ายังโชคดี แต่คราวนี้ต้องมากับขันทีก็ดูไม่ต่างอะไรกับคนชั้นล่าง หลี่ซื่อหมินเอาจริงเอาจังกับชีวิตของข้าเกินไปแล้ว
พึ่งจะมาถึงตำหนักเหลี่ยงอี๋ได้ไม่นาน เถ้าแก่ผู้น่าสงสารก็แยกเขี้ยวใส่อวิ๋นเยี่ยเหมือนกับจะบอกว่าหากเจ้าเก่งจริงก็อัดข้าอีกสักรอบสิ ดูเขาเดินขากะเผลกออกไป สงสัยว่ากำลังจะออกจากวัง พอฟ้องเสร็จก็คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่เถ้าแก่เดินผ่านอวิ๋นเยี่ยก็ยกขาขึ้นมาเตะเข้าไปที่หว่างขาทั้งสองข้างของเถ้าแก่ มองดูเขาขดตัวเหมือนกุ้ง ล้มลงกับพื้น จากนั้นจึงเดินทางไปที่ตำหนักหลวงอย่างพอใจ
“ท่านโหว เดิมทีซุนหยวนไข่เป็นขันที เหตุใดท่านโหวถึงต้องเตะช่วงล่างของเขา จะทำให้เขากลั้นฉี่ไม่ได้หรือ” ขันทีที่มาด้วยถามอวิ๋นเยี่ยเสียงเบา
“เขาคือขันทีอย่างนั้นรึ” อวิ๋นเยี่ยตาโต เป็นขันทีจะเลี้ยงผู้หญิงมากมายขนาดนั้นทำไมกัน
“ท่านโหว ท่านไม่รู้อย่างนั้นหรือ” ขันทีสังเกตการแสดงของอวิ๋นเยี่ย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จริงๆ จึงถามกลับด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเห็นว่าเขาซ่อนผู้หญิงไว้เยอะจึงได้อัดเขา ผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดดูเหมือนว่าจะอายุเพียงสิบปีเท่านั้น คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี หรือว่าข้าจัดการคนผิดไป” ถึงปากอวิ๋นเยี่ยจะพูดเช่นนี้แต่ว่าเท้าของเขายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด เขาไม่ได้คิดที่จะกลับไปขอโทษ
“จริงๆ เลยท่านโหวของข้า ผู้หญิงที่นั่นล้วนเป็นทาสของทางการ เป็นคนในครอบครัวขุนนางที่มีความผิด บางครั้งฮองเฮาก็ใจอ่อนไม่ยอมให้พวกเขาต้องถูกลงโทษจึงให้ไปทำงานที่เจินเป่าเก๋อ ถือว่าเป็นพระคุณ” ปกติแล้วขันทีผู้นี้ได้รับประโยชน์มากมายจากอวิ๋นเยี่ย ในเวลานี้เห็นว่าเขาอยู่ในความมืดบอด จึงรีบอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน
“ทำอย่างไรดี อัดก็อัดไปแล้ว หรือว่าต้องให้ข้าแบกหน้าไปขอโทษ” อวิ๋นเยี่ยหันกลับไปถามขันที
“ท่านโหว คำขอโทษของท่านเขาคงรับไว้ไม่ได้ ท่านควรคิดว่าจะอธิบายอย่างไรกับฮองเฮาดีกว่า มันไม่คุ้มเลยหากท่านจะโดนเฆี่ยนเพราะเรื่องนี้” ความหมายของขันทีคืออยากให้อวิ๋นเยี่ยรีบรับผิดกับฮองเฮา การรับผิดกับฮองเฮาไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร
หากเป็นความหวังดี อวิ๋นเยี่ยก็มักจะรู้สึกขอบคุณ เอ่ยบอกกับขันทีว่าตัวเองจะจัดสรรที่ดินสิบหมู่สำหรับคฤหาสน์ที่หนานซันให้ ถือว่าเป็นกิจการของเขาในอนาคต ความจริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดกับขันทีที่เป็นหนึ่งในผู้มีฐานะต่ำต้อย ขันทีไม่ได้พูดอะไรอีก เขาโค้งคำนับให้อวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็เดินตามอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในตำหนักเหลี่ยงอี๋
นี่คือที่ที่จั่งซุนอาศัยในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่ได้ถูกตกแต่งเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพียงแค่เต็มไปด้วยดอกเบญจมาศเหลืองอร่าม จั่งซุนยังส่งดอกไม้ไปให้ตระกูลอวิ๋นหนึ่งคันรถ ซินเย่วบอกว่านี่คือสีแห่งความร่ำรวย ที่บ้านคนทั่วไปไม่มี
นางในของวังจั่งซุนไม่สวยเลยสักคน ไม่ได้สวยเหมือนอย่างในหนังของยุคปัจจุบัน หากในวังมีแต่สาวงามที่แต่งกายเปลือยหน้าอกไปทุกที่ก็คงจะดี
ทุกครั้งที่พบกับจั่งซุน นางก็มักจะดูอ่อนโยนและใจดีในทีแรก แต่ว่าในไม่ช้าก็จะแปลงร่างเป็นไทแรนโนซอรัส อวิ๋นเยี่ยชินชาไปตั้งนานแล้ว มันเป็นเพียงแค่กับดัก โมโหร้ายก่อน จากนั้นค่อยพูดเหตุผลและสุดท้ายจึงค่อยให้ความช่วยเหลือหรือผลประโยชน์ ไม่มีอะไรแปลกไปจากนี้
“อวิ๋นเยี่ย เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมารังแกคนของข้า หลายปีมานี้ข้าดีกับเจ้าเกินไปอย่างนั้นหรือ ทำให้เจ้าได้ใจจนไม่มีความเกรงใจกันเสียแล้ว วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ว่ามันเป็นอย่างไร”
ครั้งนี้จั่งซุนไม่แกล้งทำเป็นอ่อนโยนและใจดีแล้ว ได้กลายเป็นไทแรนโนซอรัสเผชิญหน้ากับอวิ๋นเยี่ยโดยตรง แต่ว่าวิธีนี้ของนาง สำหรับคนอย่างอวิ๋นเยี่ยแล้วไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลย
แต่ว่าเมื่อฮองเฮาโมโห เจ้าก็ควรจะแสดงความเกรงใจสักหน่อย หากใครกล้าแสดงความไม่เกรงใจ เช่นนั้นคนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก ตีให้ตายยังน้อยไปด้วยซ้ำ
“ฮองเฮาโปรดอย่าได้โกรธเคือง กระหม่อมเคารพฮองเฮาเสมอมา ไม่เคยกล้าคิดที่จะดูหมิ่นเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายโดยเร็ว มิฉะนั้นต้าถังของเราจะพลาดเรื่องที่ดีที่สุดไป ตอนนี้เมื่อกระหม่อมคิดถึงเรื่องนั้นก็รู้สึกเย็นหลังไปหมด”
จั่งซุนชะงักไปพักหนึ่ง ที่ร้านของตัวเองมีเรื่องมงคลเหตุใดตัวเองจึงไม่รู้ อยากจะพูดว่าอวิ๋นเยี่ยเหลวไหล แต่ก็มีข้อเท็จจริงนับไม่ถ้วนได้พิสูจน์ว่าคำพูดของอวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นจริงเสมอ หากบอกว่ามีเรื่องมงคลก็ต้องมีเรื่องมงคลอย่างแน่นอน คงไม่ส่งหมูอ้วนเคลือบทองมาส่งให้ตัวเองแทนกิเลนอย่างแน่นอน
ในมือหลี่ซื่อหมินถือหนังสืออยู่หนึ่งม้วนขณะเดินออกมาจากด้านหลังผ้าม่าน อวิ๋นเยี่ยมองดูอย่างละเอียด บนหนังสือมีตราประทับของสำนักศึกษาไม่ผิดแน่ ช่างเถิด วันนี้อุตส่าห์มาแล้วก็ทำเรื่องให้จบไปในทีเดียว มาวังหลวงให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
“ไอ้หนุ่ม เจ้าเอาของมงคลออกมาให้เราดูหน่อยเถิด มันเป็นของมงคลอะไรกันแน่จึงทำให้เจ้าทำเรื่องไร้มารยาท ขโมยของมาจากนางรำเช่นนี้ เอาออกมาเถิด เราไม่ประหลาดใจหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเราก็ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด”
อวิ๋นเยี่ยหยิบเมล็ดฟักทองออกมาจากถุงเล็กห้าเมล็ดแล้ววางลงบนโต๊ะ หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนมองดูอย่างละเอียด พวกเขาเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสิ่งนี้คือเมล็ดพืช คิดถึงมันฝรั่งกับข้าวโพดของอวิ๋นเยี่ย ใบหน้าของหลี่ซื่อหมินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เราก็ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเพาะปลูกเสบียงอาหาร เหตุใดจึงไม่เคยเห็นเมล็ดพันธุ์เช่นนี้ ดูจากรูปร่างแล้วมีส่วนคล้ายเมล็ดผักจำพวกแตง ไอ้หนุ่ม หากเป็นแตงโมก็ช่างเถิด สิ่งเหล่านั้นทำลายดิน เป็นได้แค่เพียงผลไม้ไม่คุ้มค่ากับการสูญเสีย”
จากคำพูดประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยได้ค้นพบความประหลาดใจเรื่องหนึ่ง คือหลี่ซื่อหมินเชี่ยวชาญเรื่องเกษตรกรรมอย่างแท้จริงจนสามารถดูจากลักษณะของเมล็ดแล้วรู้ได้ว่าเป็นเสบียงอาหารชนิดใด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฮ่องเต้แห่งเกษตรกรรม
“ที่ฝ่าบาทพูดมีเหตุผลเป็นที่สุด สิ่งนี้เป็นเมล็ดแตงชนิดหนึ่งจริงๆ กระหม่อมเรียกชื่อสิ่งนี้ว่าแตงทองหรือฟักทอง ได้ผลผลิตที่น่าทึ่งพอๆ กับมันฝรั่ง หรือกระทั่งดีกว่ามันฝรั่ง แตงชนิดนี้เป็นได้ทั้งผักและเสบียง หากไม่มีเสบียงอื่นๆ แล้ว กินฟักทองก็จะทำให้ไม่อดตาย และที่สำคัญที่สุดคือของสิ่งนี้ทนทานเป็นอย่างมาก เก็บไว้ในห้องใต้ดินสักหนึ่งปีก็ไม่เป็นไร หากฝ่าบาทต้องส่งกำลังทหารออกไปข้างนอกก็ต้องใช้ผลของสิ่งนี้”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้า เทอัญมณีทั้งหมดในกล่องของจั่งซุนลงบนโต๊ะแล้วเป่าสักหน่อย เป่าทั้งๆ ที่ตรงนั้นไม่มีฝุ่น จากนั้นค่อยเอาเมล็ดห้าเมล็ดใส่ลงไปแทน เมื่อกำลังจะปิดฝากล่องก็ชะงักไปเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปทางอวิ๋นเยี่ย พูดกับเขาว่า “ที่เหลือทั้งหมดเอามาให้เรา เอาออกมาให้หมด เจ้ามีนิสัยเป็นโจรกะล่อนมาโดยตลอด คิดว่าเราไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยจึงต้องส่งเมล็ดอีกห้าเมล็ดให้ไปพร้อมๆ กับถุงด้วยสีหน้าขมขื่น หลี่ซื่อหมินรับมา ลองเขย่าถุงแล้วถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็เอาเมล็ดทั้งหมดใส่กล่องแล้วส่งให้จั่งซุน
ดูเหมือนจะโมโหอยู่เล็กน้อย หันกลับไปแล้วพูดกับจั่งซุนว่า “ซุนหยวนไข่ผู้นี้มีตาหามีแววไม่ มีของดีอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับมองไม่เห็น สมควรโดนโทษประหาร ของดีเช่นนี้ถูกเอาไปกินเป็นขนมอยู่เสียตั้งนาน ทำเอาเหลือของดีๆ เช่นนี้เพียงแค่ไม่กี่เมล็ด จะละเว้นโทษไม่ได้ เจ้าจงปลดตำแหน่งเขาแล้วส่งไปเป็นคนรับใช้”
เห็นจั่งซุนท่าทางเหมือนจะทนไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทอย่าโกรธไปเลย เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของซุนหยวนไข่ ใครจะคิดว่ามีของดีอยู่ต่อหน้าตัวเอง หากไม่ใช่เพราะกระหม่อมยังพอมีความรู้อยู่บ้างไม่แน่ก็คงจะพลาดกับฟักทอง การที่ท่านให้ขันทีแยกแยะเรื่องพืชผลนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเขา แล้วอีกอย่างกระหม่อมก็อัดเขาไปแล้วสองที ท่านปล่อยเขาไปเถิด”
หลี่ซื่อหมินเหลือบไปมองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้ามักจะทำเป็นคนดี ช่างเถิด มีจิตใจเมตตาก็ดีกว่ามีจิตใจที่โหดร้าย เจ้าบอกมาสิ ตอนที่เราได้รับเมล็ดผักโขมก็ได้ประกาศบอกคนทั้งโลกว่าขอเพียงแค่มีเมล็ดพืชชนิดใหม่เราก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม แต่เหตุใดจึงมีเจ้าเพียงคนเดียวที่ส่งมาตั้งสามอย่าง ในเมื่อมีสามอย่าง เช่นนั้นก็ต้องมีสามสิบอย่าง สามร้อยอย่าง ผ่านมาแล้วสี่ห้าปี เหตุใดจึงไม่มีคราวข่าวจากคนอื่นบ้าง มีเจ้าที่เอาแต่แกล้งทำเป็นคนดี นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในโลกในการได้รับตำแหน่งขุนนาง เหตุใดจึงไม่มีใครมารับรางวัล”
ความคิดของหลี่ซื่อหมินช่างน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก หรือว่าคนที่มีอำนาจจะเป็นแบบนี้กันทุกคน มีมันฝรั่งกับข้าวโพดก็นับว่าเป็นเกียรติกับหลุมศพตระกูลหลี่ของเจ้าแล้ว ถึงกับลากข้าจากยุคปัจจุบันมาอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นหากอยากจะกินมันฝรั่งกับข้าวโพดก็คงต้องรอไปอีกหนึ่งพันปี ยังจะอยากได้เมล็ดพันธุ์สามร้อยชนิด ไม่ใช่ว่าพืชผลทุกชนิดจะเหมาะที่จะปลูกในต้าถัง ยิ่งเอาเข้ามาเยอะก็ยิ่งจะเป็นปัญหา เหมือนปลาคาร์ฟที่ทำลายล้างอเมริกาจนเป็นเรื่องใหญ่เพราะไม่มีความรู้ด้านชีววิทยา สิ่งที่ตัวเองเอามาล้วนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในทวีปนี้ ใครจะไปกล้าเอาทุกอย่างมาไว้ที่นี่กัน
“โบราณกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าเมื่อคนออกจากบ้านก็จะไร้ที่พึ่ง พืชผลพวกนี้ก็เช่นกันที่ต้องการระยะเวลาในการปรับตัว ไม่ใช่ว่าพืชผลทุกชนิดจะเหมาะสำหรับปลูกในต้าถัง ในโลกใบนี้หนอนกินหญ้า นกกำจัดหนอน จากนั้นนกก็ถูกอย่างอื่นกิน ในที่สุดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็กลับคืนสู่ดิน ต้นหญ้าเติบโตขึ้นบนกระดูกของพวกมัน นี่คือห่วงโซ่อาหาร หากห่วงโซ่ใดห่วงโซ่หนึ่งถูกทำลายก็จะเกิดภัยพิบัติใหญ่ เมื่อไม่มีนกแมลงก็จะล้นโลก พืชผลก็จะถูกกินจนหมด ตั๊กแตนระบาดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดจากการเพาะปลูกมากเกินไปในกวนจง”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้าแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ดูเหมือนว่าการรีบร้อนมากเกินไปจะทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เรามักจะชอบทำทุกอย่างในครั้งเดียวจนลืมไปว่าทุกอย่างมีกฎของมันเสมอ บรรพบุรุษตระกูลหลี่ของข้าเคยกล่าวว่าธรรมชาติย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ เราในฐานะคนรุ่นหลังกลับเร่งที่จะประสบความสำเร็จจึงได้ใจร้อนไปบ้าง ไอ้หนุ่มคำพูดของเจ้าวันนี้เราเข้าใจแล้ว ไม่ควรจะรีบร้อนเกินไป ความเร่งรีบไม่ใช่วิธีการที่เหมาะในการทำสิ่งต่างๆ เสมอไป”
ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินคิดถึงเรื่องอะไร ท่าทางดูเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก หันหลังกลับไปที่หลังผ้าม่านจากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดอีก
จั่งซุนยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งให้อวิ๋นเยี่ย แสดงความหมายว่านางพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูตำหนักซึ่งหมายความว่าเขาสามารถไสหัวไปได้แล้ว
เข้าใจว่าหลี่ซื่อหมินคงจะต้องการการปลอบใจจากฮองเฮา แต่ไม่รู้ว่าเป็นการปลอบใจแบบใด เป็นถึงฮ่องเต้แต่ทำไมจึงมีนิสัยเป็นเด็กๆ เมื่อข้าทำอะไรผิดก็ไม่เคยไปหาซินเย่วให้ช่วยปลอบใจสักหน่อย บางครั้งคนมีอำนาจก็มักจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอ คิดดูแล้วก็คงใช่ ที่เรียกกันว่าความดื้อรั้นไม่ควรนานเกินไปและความอ่อนไหวก็ไม่ควรฝังรากลึก เมื่อผู้ชายอ่อนแอก็มักจะได้รับความห่วงใยมากขึ้น
ตอนกลับไปบ้านแกล้งทำตัวน่าสงสารเพื่อดูว่าซินเย่วจะปลอบใจตัวเองอย่างไรบ้างดีกว่า จากนั้นค่อยลองคาดเดาดูว่าจั่งซุนจะปลอบหลี่ซื่อหมินอย่างไร เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน
พึ่งจะออกมาจากวังก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองถูกหลี่ซื่อหมินหลอกแล้ว เมล็ดฟักทองก็ไม่มีแล้ว หนังสือก็ไม่ได้เอากลับคืนมา เรื่องที่ตัวเองอยากจะทำกลับทำไม่สำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว หลี่ซื่อหมินจอมหลอกลวง จงใจแกล้งทำเป็นน่าสงสาร ลืมรางวัลที่ตัวเองควรจะได้รับ การค้นพบฟักทองถือเป็นผลงานชิ้นใหญ่ หากไม่มีตำแหน่งให้ ให้เงินก็ยังดี
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เถ้าแก่ร้านเจินเป่าเก๋อผู้นั้นร้องไห้กอดขาอวิ๋นเยี่ยพร้อมกล่าวคำขอบคุณพร้อมยอมเป็นทาสรับใช้ อวิ๋นเยี่ยที่โกรธจนหน้ามืดยกขาขึ้นแล้วเตะเข้าไปที่หว่างขาชายผู้นี้ เมื่อได้ยินเสียงเขาร้องอย่างเจ็บปวด ในที่สุดก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง