เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 41 สู้สุดชีวิต (สอง)
ติงเหยี่ยนผิงมองดูอวิ๋นเยี่ยที่กำลังจะไปถึงสำนักศึกษา แล้วหันหน้ากลับมาพูดกับเฮ่อเทียนซังว่า “วันนี้ข้ามีภารกิจสำคัญ ไม่มีเวลามาเอาชีวิตเจ้า วันอื่นค่อยมาเอาชีวิตของเจ้าไปสักการะคนรับใช้ของข้า” พูดจบเขาก็ไล่ตามอวิ๋นเยี่ยไปทันที
เฮ่อเทียนซังเกาไหล่ เขาแอบตกใจ ฝีมือของตัวเองก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอกับคนแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะสู้เขาไม่ได้ ชายเฒ่าคนนี้คือใครกัน
พึ่งจะลากศพไปไว้ข้างทางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาข้างหูอีกครั้ง ชายร่างใหญ่คนหนึ่งแบกดาบที่หนักกว่าห้าสิบกิโลวิ่งออกมาจากตีนเขา ชายร่างใหญ่คนนั้นเห็นว่าเฮ่อเทียนซังกำลังย้ายศพ เขาก็ยกนิ้วโป้งออกมาและพูดชื่นชมว่า “ลูกผู้ชายที่ดี โจรควรเป็นเช่นนี้ หนึ่งต่อแปดยังสู้ได้ หากเป็นการค้าขายถือว่าเป็นการค้าขายที่ดี” พูดจบก็ก้าวขาไล่ตามติงเหยี่ยนผิงไป
เฮ่อเทียนซังรู้สึกโมโหขึ้นมาอีก คนพวกนี้เป็นใครกันแน่ คนแรกที่ขี่ม้าอยู่ใช้หน้าไม้โจมตีเขาอย่างไร้เหตุผล หากไม่ใช่เพราะฝีมือของตัวเองถือว่าไม่เลวนัก เขาคงถูกยิงตายไปแล้ว ชายเฒ่าคนที่สองก็บอกว่าคนพวกนี้คือคนรับใช้ของเขา นั้นหมายความว่าเขาคือโจร ส่วนพระภิกษุร่างใหญ่คนนี้แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี ค้าขายอะไรกัน ยังจะมาชื่นชมข้า เขาจะต้องเป็นโจรที่มีคดีอย่างมากมายแน่นอน ฝีมือของคนพวกนี้ไม่ธรรมดากันทั้งนั้น บางทีคดีฆาตกรรมของเขาอวี้ซันอาจจะเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ก็ได้ เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ทิ้งศพไว้ริมทางไม่คิดจะสนใจอีก และวิ่งตามพระภิกษุที่นำไปทางสำนักศึกษาก่อนแล้ว
เพราะในระหว่างพิธีศักดิ์สิทธิ สำนักศึกษาปิดทำการตลอด แต่บางครั้งก็มีขุนนางบางคนที่ไม่มีอะไรทำมาขอยืมหนังสือของห้องสมุดสำนักศึกษาไปอ่านฆ่าเวลา ตอนนี้ประตูใหญ่ของสำนักศึกษาว่างเปล่า มีเพียงแค่องครักษ์เฝ้าประตูที่พิงประตูงีบหลับอย่างไร้ชีวิตชีวา
ได้ยินเสียงเท้าม้าที่วิ่งมาอย่างรวดเร็วจึงลืมตาขึ้นมา เห็นวั่งไฉยืนอยู่ข้างหน้าอย่างเหนื่อยล้า ท่านโหวสวมชุดเกราะทั้งตัว แล้วยังมีหน้าไม้อยู่บนหลัง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด
“ไม่ต้องถาม รีบเปิดกลไกทั้งหมดในเขาวงกต เกิดเรื่องแล้ว เร็ว หลังจากเปิดกลไกแล้ว พาวั่งไฉหนีไปไกลๆ หน่อย อย่าโผล่หัวออกมา” อวิ๋นเยี่ยไม่รอให้องครักษ์ได้ตั้งตัว เขาก็ออกคำสั่งทันที เขาหันหลังเข้าไปในประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ก่อนที่จะเข้าไปเขาก็หันมองดูข้างหลัง ติงเหยี่ยนผิงอยู่ห่างจากเขาแค่หนึ่งเมตร จากบ้านของตระกูลอวิ๋นมาถึงสำนักศึกษาระยะทางกว่าสิบเมตร คิดไม่ถึงวาชายเฒ่าจะวิ่งเร็วพอๆ กับม้า
ทันทีที่เดินเข้าไปก็จะได้ยินเสียงสั่นของกลไก เขาวงกตถูกเปิดใช้งานแล้ว จะเหยียบแรงๆ ไม่ได้ เพราะยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ กลไกก็จะเปิดกับดักที่สอดคล้องกันทันที นี่คือความภาคภูมิใจที่สุดของกงซูมู่ ไม่จำเป็นต้องใช้แรงภายนอกก็สามารถทำให้เขาวงกตทำงานเองได้
อวิ๋นเยี่ยไม่มีความสามารถทำให้เท้าทั้งสองข้างของตัวเองมีน้ำหนักเท่ากัน เขาจึงนอนลงไป คลานไปข้างหน้าราวกับหนอน เมื่อพื้นที่ของแรงใหญ่ขึ้นมันก็จะมั่นคงมากขึ้น ไม่ว่าเช่นไรเขาก็จะต้องคลานผ่านทางเรียบนี้ไปให้ได้ก่อนที่ติงเหยี่ยนผิงจะปรากฏตัว
เห็นว่ากำลังจะถึงทางโค้ง อวิ๋นเยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ เขารีบคลานไปข้างหน้า แต่กลับได้ยินเสียงประตูที่อยู่ข้างหลังถูกผลักออก ติงเหยี่ยนผิงเห็นอวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนพื้น เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและวิ่งเข้ามา
พึ่งจะก้าวออกมาได้หนึ่งก้าว เขาก็รู้สึกว่าก้อนอิฐที่อยู่ใต้เท้าค่อยๆ จมลง เขามีท่าทางตกใจและรีบยกเท้าขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว หนามเหล็กที่แหลมคมโผล่ออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขาอย่างเงียบๆ หากช้ากว่านี้ เท้าของเขาคงจะถูกหนามเหล็กแทงแน่นอน
ถึงตอนนี้เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยต้องมาที่สำนักศึกษา และเหตุใดเขาต้องคลานบนพื้น เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเลี้ยวหายเข้าไปในทางโค้ง ข้อมือของเขาก็สั่น เขวี้ยงก้อนหินตั๊กแตนกระแทกผนังฝั่งตรงข้าม หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปังบวกกับเสียงร้องของอวิ๋นเยี่ย มันคงกระแทกไปโดนชุดเกราะ ติงเหยี่ยนผิงกำลังจะหันหลังกลับไปด้วยความโมโห แต่เขากลับเห็นว่าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาปิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และไม่ว่าจะเปิดเช่นไรก็เปิดไม่ออก
เขาไม่รู้เรื่องที่ว่าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาหากไม่ได้เปิดกลไกอย่างมากมันก็แค่จะทำให้หลงทาง เข้าไปทางซ้ายแล้วออกมาทางขวา แต่เมื่อเปิดกลไกขึ้นมาแล้ว ที่นี่คือเครื่องจักรที่เอาไว้ฆ่าคน นอกจากจะผลักประตูใหญ่จากข้างนอกเท่านั้น คนที่อยู่ข้างในไม่มีทางเปิดประตูออกไปได้ หลี่ไท่คิดว่าหากเข้าไปในเขาวงกตแล้วก็ควรจะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญจนกว่าจะเจอกับเส้นทางสุดท้าย ไม่เช่นนั้น ก็ตายอยู่ข้างในซะเถอะ คนที่ออกมาไม่ได้ล้วนแต่เป็นคนไร้ประโยชน์ ตายไปแล้วยังประหยัดเสบียงอาหารของประเทศชาติได้อีก
ติงเหยี่ยนผิงหยิบหอกสั้นออกมาจากด้านหลังอีกครั้ง ใช้หอกสั้นสองอันทำเป็นไม้ค้ำ ตัวของเขาล่องลอย ปลายหอกเคลื่อนตัวเข้าหาก้อนอิฐอย่างรวดเร็ว เขาอยากจะผ่านเส้นทางนี้ไปให้เร็วที่สุด เขาเชื่อว่าศิลปะแห่งกลไกก็แค่เอามาใช้เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้คน มันไม่ใช่วิธีที่ชาญฉลาดอะไร ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เขาไม่ใช่ไม่เคยเจอเช่นนี้มาก่อน เขาก็รอดมาแล้วทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
พึ่งจะเดินไปได้สามก้าว เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ เพราะรูเล็กๆ ทั้งสองข้างของกำแพงอิ่งปี้ยิงลูกธนูออกมาไม่หยุด ไม่ว่าฝีมือของเขาจะดีแค่ไหน แต่ก็พลาด ที่ขาของเขาถูกลูกธนูแทง ด้ามมันเล็กและสั้นมาก แต่ด้านบนกลับเต็มไปด้วยหนามแหลม หากอยากจะดึงลูกธนูออกก็ต้องดึงออกพร้อมเนื้อ ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่เจออะไรมาเยอะ เขาตบไปที่หางของลูกธนู ลูกธนูสั้นก็ทะลุขาออกมา ดึงลูกธนูออกมาจากอีกด้าน อดทนต่อความเจ็บปวดและตะโกนว่า “อวิ๋นเยี่ย ข้าจะต้องหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ”
“ตาเฒ่า เก่งนักเจ้าก็มา ดูสิว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือไม่” เสียงของอวิ๋นเยี่ยดังมาจากระยะไกล
ทันใดนั้นติงเหยี่ยนผิงที่โมโหก็นอนลงไปบนพื้น คลานไปข้างหน้าเลียนแบบอวิ๋นเยี่ย เมื่อใกล้จะถึงทางโค้ง จู่ๆ มันก็มีเสียงเกิดขึ้น ตัวของเขาถูกเสาไม้ตกลงมาทับทั้งตัว ติงเหยี่ยนผิงถูกโจมตีจนเลือดไหลออกมาจากมุมปาก เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้แตะต้องกลไกตรงไหน เหตุใดเขาถึงถูกโจมตีได้ เมื่อเขาหันกลับไปมองดูก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ที่จริงแล้วพระภิกษุคนนั้นเป็นคนเปิดประตูทำให้ไปโดนกลไก
พระภิกษุร่างใหญ่คนนั้นยิ้มแล้วเปิดประตูของสำนักศึกษา หัวล้านเป็นมันสะท้อนแสงอาทิตย์ เขาก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ทันที เมื่อเห็นว่าเสาไม้ทับอยู่บนตัวของติงเหยี่ยนผิง เขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ช่างน่าสนใจ ยอดฝีมือคนหนึ่งกำลังเรียนวิธีคลานเหมือนสุนัข แล้วยังถูกเสาไม้ทับราวกับกุ้ง นี่คือปรากฏการณ์ที่หาได้ยาก ติงเหยี่ยนผิงยิ้มแต่ก็ไม่สนใจพระภิกษุคนนั้นอีก เขาออกจากเสาไม้แล้วคลานไปข้างหน้าต่อ
ฉิวหรันเค่อหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ แต่เท้าของเขาเหมือนกับกำลังถูกตะปูทิ่มแทงอยู่กับพื้น ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ หากเวลานี้เขายังมองไม่เห็นความผิดปกติของทางเดิน หลายปีที่ผ่านมานี้เขาคงใช้ชีวิตไปเสียเปล่า
หยิบแผ่นเงินออกจากแขนเสื้อแล้วโยนลงไปที่พื้นอย่างแรง โชคดีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ทันใดนั้นเขาก็รีบหยิบแผ่นเงินที่เด้งขึ้นมา จากนั้นก็เหยียบไปบนจุดสีขาวที่ถูกแผ่นเงินทุบออกมา ติงเหยี่ยนผิงเห็นว่าพระภิกษุทำแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง เขายืนขึ้นมาและใช้หินตั๊กแตนสำรวจเส้นทาง
ขณะที่เขามาถึงทางโค้ง หินตั๊กแตนโผล่ออกมาจากข้างใต้และบินผ่านหัวล้านของฉิวหรันเค่อไปทันที ฉิวหรันเค่อกำลังจะก้าวขาก็ได้ยินเสียงของอากาศ เขาดึงดาบที่อยู่ข้างหลังของตัวเองออกมา มีเสียงดังขึ้นเพราะหินตั๊กแตนกระแทกกับดาบจนแตกกระจาย
ทันใดนั้นที่เท้าก็รู้สึกเบาหวิว เขารู้ทันทีว่าไม่ดีแน่ ฟันดาบออกไปพร้อมกับเสียงลม หลังจากเสียงเหล็กผ่านไป ฉิวหรันเค่อก็รู้สึกว่าเหงื่อตัวเองกำลังไหล อิฐใต้เท้าของเขาพลิกกลับด้าน ดาบแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปลายดาบตกลงตรงเท้า หากไม่ใช่เพราะเขามีปฏิกิริยารวดเร็ว ตอนนี้เขาคงถูกดาบเสียบเป็นเนื้อย่างไปแล้ว
ได้ยินเสียงเปิดประตูออกทางข้างหลังอีกครั้ง ฉิวหรันเค่อรีบลุกขึ้นยืนพิงกำแพงอิ่งปี้ กลัวว่าตัวเองจะผิดพลาดเหมือนชายเฒ่าคนนั้น เขามองคนที่กำลังจะเดินเข้ามาด้วยความโมโห
เฮ่อเทียนซังไล่ตามอยู่นานกว่าจะมาถึงนอกประตูใหญ่ของสำนักศึกษา เขารู้ว่าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาไม่ปกติ มีข่าวลือตั้งนานแล้วว่ามันเป็นเหมือนถ้ำเสือ เขาคิดอยู่นานถึงได้ผลักประตูเปิดออก พอเข้าไปเขาก็เห็นว่าก้อนหินก้อนใหญ่กำลังจะตกลงมา และมีพระภิกษุคนหนึ่งยืนอยู่ข้างล่าง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปว่า “ท่านภิกษุ ระวังบนหัว”
ฉิวหรันเค่อขยับออกไปอย่างรวดเร็ว หินก้อนใหญ่นั้นก็พังลงมา ตกลงใส่ในจุดที่ห่างจากเขาไปไม่ถึงหนึ่งฟุต เมื่อเห็นภาพนี้ ฉิวหรันเค่อก็ถอยหลังออกไปแต่กลับมองดูประตูที่กำลังปิดช้าๆ อย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงต้องเดินต่อไปข้างหน้า ก่อนจะเดินต่อไปก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนเฮ่อเทียนซัง “สหาย เดินไปตามก้อนอิฐที่มีจุดสีขาว ที่นี่แปลกประหลาดมาก หากเจ้าก้าวขาผิดหนึ่ง ก้าวเจ้าอาจจะตายได้”
เฮ่อเทียนซังทำตามความหวังดีนั้นโดยธรรมชาติ ทั้งสองคนใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะผ่านทางโค้งมาได้ เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นติงเหยี่ยนผิงมุดไปมุดมาราวกับหนู ดูเหมือนว่าเขากำลังทรมานมาแล้วพักหนึ่ง
เมื่อเจอกับศัตรู ฉิวหรันเค่อก็เหวี่ยงดาบแล้ววิ่งเข้าไปทันที เฮ่อเทียนซังเห็นติงเหยี่ยนผิงเข้าก็รู้สึกโมโห เมื่อครู่ที่เตะเขามันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ติงเหยี่ยนผิงไม่ได้เข้าไปพัวพันกับทั้งสองคน ขาของเขาได้รับบาดเจ็บ เข้าไปพัวพันกับสองคนนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย เขาจึงวิ่งไปอีกทาง ทันใดนั้นก็หายไปทันที
อวิ๋นเยี่ยมาถึงที่หน้ากำแพงอิ่งปี้ เปิดประตูที่กำแพงอิ่งปี้ มุดเข้าไปแล้วจากนั้นจึงปิดประตู เขาถึงได้นั่งลงบนพื้น ต้นไม้เล็กๆ หลังกำแพงอิ่งปี้โตขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าลมหนาวของปลายฤดูใบไม้ร่วงจะพัดใบไม้ร่วงหล่นไปหมดแล้ว แต่มันก็ยังคงยืนสูงเด่นเป็นสง่า ไม่มีมงกุฎ อยู่กับต้นไม้เตี้ยๆ หนาๆ ก่อตัวกันเป็นกำแพงต้นไม้
มดตัวใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการขนใบไม้ไปยังรังของพวกมัน มดบางตัวถึงกับลากหนูกลับไปด้วย คงเห็นว่านานๆ ทีจะมีโอกาสออกมาสักที พวกมันจึงยุ่งอยู่กับการกักตุนเสบียงอาหาร
เมื่อมดแดงตัวใหญ่เหล่านี้เดินผ่านเท้าของอวิ๋นเยี่ย พวกมันอ้อมไปตั้งไกล ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่น้อย การปรากฏตัวของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันของพวกมัน มองดูมดลากหนูผ่านตัวเองไป แล้วก็มองดูมดลากอีกาผ่านตัวเองไป อวิ๋นเยี่ยคุ้นเคยกับภาพแบบนี้เป็นอย่างมาก พละกำลังของมดตัวใหญ่นั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย มดตัวใหญ่เพียงแค่หนึ่งร้อยตัวก็สามารถลากไก่ได้หนึ่งตัวแล้ว ตอนที่หลี่ไท่ให้อาหารมดตัวใหญ่ อวิ๋นเยี่ยได้เห็นอย่างชัดเจน
มีเสียงเคาะเหล็กอยู่นอกกำแพง และดูเหมือนเสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าติงเหยี่ยนผิงจะหาที่นี่เจอ ไอ้หมอนี่ดุร้ายจริงๆ กำแพง โคลนดูด ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะต้องลงไม้ลงมือซะแล้ว
มีประแจสีแดงอยู่บนกำแพง ด้านข้างเขียนว่าไม่ควรใช้งานติดเอาไว้ แต่ไม่ใช้ในตอนนี้แล้วจะให้ใช้ตอนไหนกัน อวิ๋นเยี่ยกดประแจลงอย่างแรง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังราวกับฟ้าร้องออกมาจากกำแพง ได้ยินติงเหยี่ยนผิงร้องขึ้นด้วยความสิ้นหวัง อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่สนใจการสั่นสะเทือนของพื้นข้างนอก รีบเปลี่ยนแป้งบนเครื่องกว้านด้วยความรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นปูนขาวที่อยู่ข้างๆ รู้สึกกลัวว่าจะไม่พอ เขาจึงเอาพลั่วตักใส่เข้าไปในถุงอีกสองอัน