เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 49 คลี่คลาย
ต้ายากำลังดีดฉินที่เรียนรู้จากนางรำตัวน้อยที่อยู่ตรงข้ามถนนหน้าบ้าน เล่นได้เฉพาะบทเพลงที่ง่ายที่สุดอย่างเช่นบทเพลงหัวอินเพื่อเป็นการฝึกใช้นิ้วดีด แต่ว่าซ่านอิงที่นอนอยู่บนเบาะนุ่มๆ ฟังด้วยความเมามาย ในมือถือเหล้าอยู่หนึ่งเหยือก ส่ายหัวไปตามทำนองพร้อมกับดื่มเหล้าไปด้วย หากลบเสียงฉินที่ไม่น่าฟังออกไป นี่จะต้องเป็นภาพที่สวยงามอย่างแน่นอน
ต้ายาดีดฉินอย่างตั้งใจ ซ่านอิงก็ฟังอย่างเมามาย ทำเอาอวิ๋นเยี่ยไม่อยากเข้าไปรบกวนเท่าไร แต่ว่าเมื่อคิดถึงผลที่ตามมา ชายร่างใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในห้องส่วนตัวของน้องสาวมาสามวันแล้ว มีพี่ชายคนไหนจะอดทนได้ กัดฟันเปิดผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้าไป
เห็นพี่ชายเดินเข้ามาด้วยความโมโห ต้ายาตกใจไปหลบอยู่ข้างหลังซ่านอิง เอาหัวมุดอยู่ข้างหลังซ่านอิงไม่กล้าออกมา ซ่านอิงลูบเหยือกเหล้าในมือแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาว่างมาถึงที่นี่”
“ปกติข้าเป็นคนง่ายๆ เวลาอยู่กับอาจารย์ก็ไม่ได้เรียนรู้พิธีรีตอง ดังนั้นกฎระเบียบในตระกูลอวิ๋นจึงไม่เยอะ แต่ถ้าหากเจ้ายังอยู่ในห้องของต้ายาต่อไป ตระกูลอวิ๋นก็คงไม่เหลือกฎระเบียบอะไรแล้ว”
“พี่ใหญ่เป็นนักปราชญ์ที่หาได้ยากที่สุดในโลก เหตุใดจึงยังจมปักอยู่กับกฎข้อห้ามของโลก ข้ากับต้ายาใจตรงกัน ใครจะไปสนใจเรื่องซุบซิบนินทาทางโลกเหล่านั้น”
หลังจากได้ฟังคำพูดโง่ๆ ของซ่านอิง อวิ๋นเยี่ยก็ตบไปที่ท้ายทอยของเขาหนึ่งที พูดอย่างรุนแรงว่า “คนเราใช้ชีวิตอยู่บนโลก ไม่ได้อาศัยอยู่ในดินแดนนางฟ้านางสวรรค์ เราควรยึดถือหลักการและกฎเกณฑ์ของโลก คนเจ้าเล่ห์และดื้อรั้นคือคนโง่ อยากจะสู่ขอต้ายาก็ไม่มีใครห้าม รีบไปเตรียมค่าสินสอด เกี้ยว แม่สื่อ ดูดวงสมพงษ์ ดูฤกษ์ยาม หลังจากนี้ต่อให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันทุกวัน ข้าก็จะมีความสุข จะไม่บ่นเลยสักคำ”
ซ่านอิงลูบท้ายทอยแล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านคงจะเหนื่อยแล้ว ตอนนี้ข้ามีตัวคนเดียว ตระกูลอวิ๋นก็คือบ้านของข้า เรื่องพวกนี้ให้ท่านจัดการเถิด ให้เป็นลูกเขยแต่งเข้ามาก็ไม่มีปัญหาอะไร”
คำพูดของซ่านอิงทำให้อวิ๋นเยี่ยตาแดงเล็กน้อย นี่ใช่คำพูดของวีรบุรุษหนุ่มเสียที่ไหนกัน ติงเหยี่ยนผิงทรยศเขาทำให้เขาหมดความหวังในชีวิตไปโดยสิ้นเชิง หากไม่คิดถึงความรู้สึกที่ต้ายามีต่อเขา คาดว่าเจ้านี่คงมีความคิดที่จะบวชเป็นพระ คนที่ทำร้ายเขาหนึ่งในนั้นก็มีตัวเองด้วย บางทีอาจจะต้องรับผิดชอบในแผนการที่ตัวเองวางไว้ ที่ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของซ่านอิง หลังจากได้รู้จักกันมาหลายปี เขาชื่นชอบชายหนุ่มที่ตรงไปตรงมาผู้นี้เป็นอย่างมาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ไปที่โต๊ะหนังสือ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนหนังสือสมรสแล้วส่งให้ซ่านอิง ซ่านอิงรับมาดู กำลังจะขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอเห็นอวิ๋นเยี่ยใบหน้าบึ้งตึงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร
“ตอนนี้ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าโดยแท้จริงแล้ว มีคุณสมบัติพอที่จะสอนเจ้าแทนพ่อแม่ของเจ้า เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้” คำพูดเหล่านี้อวิ๋นเยี่ยพูดออกมาอย่างเน้นย้ำ
เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ซ่านอิงก็คุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล ต้ายาทั้งเขินอาย ทั้งหวาดกลัวจึงคุกเข่าตาม มองสองคนทุกเข่าอยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ หยิบไม้บรรทัดไม้ไผ่ที่อยู่บนโต๊ะแล้วตีลงบนหลังซ่านอิงอย่างแรง ต้ายาอยากจะเอ่ยปากห้ามแต่ถูกสายตาเย็นชาของพี่ชายหยุดไว้ จึงได้แต่มองดูพี่ชายตีซ่านอิงทั้งน้ำตา
เมื่อไม้ไผ่หัก อวิ๋นเยี่ยก็โยนไม้ไผ่ทิ้งแล้วถามซ่านอิงว่า “เจ้าสำนึกผิดหรือยัง”
หลังจากที่โดนตีซ่านอิงก็พูดอย่างเอาเปรียบด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว ข้าไม่ควรเอาของในบ้านไปให้คนนอก และไม่ควรทำให้ท่านโกรธ”
“หยกนั่นข้าอยากจะโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว มันก็ไม่ใช่ของดีอะไร ของสิ่งนั้นข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง จะสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้ มันคุ้มที่เจ้าจะขโมยไปอย่างนั้นหรือ หากเจ้าขอข้า ข้าจะไม่ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ เดิมทีติงเหยี่ยนผิงก็เป็นหนึ่งในแผนของข้า ต่อให้เจ้าไม่เอาไปข้าก็จะให้เขา เจ้าไม่เข้าใจกลยุทธ์หลี่ไต้เถียวหรือ ตอนนี้การที่เจ้าถูกตีคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือไม่”
ตาของซ่านอิงแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา “เดิมทีท่านวางแผนที่จะให้ติงเหยี่ยนผิงนำหยกไปเพื่อปกป้องตระกูลจากภัยพิบัติหรือ ข้าเป็นคนโง่ที่บุกเข้ามาเองเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าคิดเช่นไรล่ะ ที่บ้านต้องเจอกับภัยพิบัติเช่นนี้ ใครจะไปรับได้ ครั้งนี้เป็นติงเหยี่ยนผิง ครั้งหน้าไม่แน่อาจจะเป็นหวังเหยียนผิง หรือหลี่เยี่ยนผิงปรากฏตัวขึ้น ตระกูลเราจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะเจ้านั่นยังพอมีประโยชน์ ข้าจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสองสามวันหรือ
เจ้าคิดว่าข้าไม่มีหนทางส่งเขาไปลงนรกใช่หรือไม่ ความจริงข้าพอมีหนทางอยู่บ้าง เจ้าไม่มีทางรู้หรอก ข้าอุตส่าห์วางกับดักไว้อย่างยากลำบากแล้วเจ้าก็เหยียบเข้าไปด้วยความโง่เขลา จากนั้นยังทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ มีเรื่องอะไรเจ้าก็มาบอกข้าไม่ได้หรือ อย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวแล้ว มีอะไรที่ยังพูดไม่ได้อีก ดังนั้นที่โดนตีไม่ใช่เพราะเจ้าขโมยของไป แล้วก็ไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่อยู่ในห้องต้ายามาสามวัน แต่ตีเพราะเจ้าไม่เชื่อใจคนในครอบครัวตัวเอง
ตอนนี้จงไปที่ลั่วหยางเพื่อเตรียมห้องหอและสินสอดสำหรับการแต่งงาน ไปหาอาจารย์ในสำนักศึกษาที่มีฐานะมาเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้เจ้า ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลที่มั่งคั่งในฉางอัน จะขายหน้าไม่ได้ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อสั่งสอนเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็เดินมือไขว้หลังออกมา ทั้งบ้านไม่มีใครทำให้เบาใจได้เลยสักคน ในที่สุดฮันฮันของเสี่ยวยาก็อ้วนตาย ทำเอาเสี่ยวยาเอาแต่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงไม่พบใคร คิดแล้วก็ปวดหัว
ต้ายาเห็นพี่ชายเดินเข้าไปในห้องของเสี่ยวยาแล้ว เมื่อหันมองกลับมาดูซ่านอิงก็พบว่าเขากำลังหัวเราะอย่างมีความสุขจนแทบจะหายใจไม่ทัน รีบเข้าไปลูบหลังเขา ใช้เวลานานกว่าซ่านอิงจะตั้งตัวได้ พูดอย่างจริงจังกับต้ายาว่า “หลังจากนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องโง่ๆ นี่อีกแล้ว หากบอกให้ระวังตัวหนึ่งครั้งข้าก็จะตีเจ้าหนึ่งที แล้วอีกอย่างถึงแม้ว่าข้าจะโง่ แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าดูถูกข้าเด็ดขาด”
ต้ายาแกล้งทำเป็นเข้าใจ ปิดปากหัวเราะแล้วพูดว่า “สามีของข้าเป็นผู้ชายที่ไม่ย่อท้อ ถึงแม้จะไม่เก่งเท่าท่านพี่อวิ๋น เป็นคนไม่มีไหวพริบ ข้าก็พอใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าให้ข้าดูท้ายทอยของเจ้าก่อนเถิด เมื่อครู่พี่อวิ๋นลงมือแรงมาก ถึงขั้นไม้บรรทัดหัก”
ซ่านอิงกัดฟัน หมุนหัวไหล่แล้วพูดกับต้ายาว่า “พี่ใหญ่เป็นคนอ่อนโยน จะตีให้ข้าเจ็บนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้ารอข้าอยู่ที่บ้านนะ ข้าจะไปเตรียมหาห้องหอที่ลั่วหยางและเตรียมสินสอด หลังจากนั้นค่อยกลับมารับเจ้า ข้าไม่ค่อยมีเงิน อย่าลืมเรียกสมบัติจากพี่ใหญ่เยอะๆ ด้วย หลังจากนี้มีคนรอกินข้าวอีกเป็นร้อย”
เมื่อพูดจบก็กอดต้ายาแล้วจากไปด้วยความกระตือรือร้น การไม่มีภาระทางจิตใจทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เพียงแค่รู้สึกผิดที่ทำลายแผนของพี่ใหญ่พังเท่านั้น
เสี่ยวยากอดหมอนของตัวเองนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เสี่ยวอู่กำลังกินอาหารที่ซินเย่วเตรียมไว้สำหรับเสี่ยวยา ตี๋เหรินเจี๋ยก็หยิบมากินบ้างคำสองคำ ดูเหมือนว่ายังพอมียางอายเล็กน้อย คิดว่าตัวเองควรจะมาปลอบใจเสี่ยวยาไม่ใช่มากินอาหารของเสี่ยวยา
เสี่ยวอู่คีบไข่เจียวขึ้นมาใส่ปาก กินไปพูดไปว่า “เสี่ยวยา หมูของเจ้าตายแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นไร ตอนพ่อข้าตายข้าไม่ร้องไห้เลยสักนิด เจ้าร้องไห้จนตาบวมจะทำให้อาจารย์ต้องเป็นห่วงเอาได้ ทำไมต้องทำให้อาจารย์เป็นห่วงเพียงเพราะหมูตัวเดียว หลายวันมานี้ในบ้านไม่ค่อยสนุก อาจารย์ก็ยุ่งอยู่กับการต่อสู้อยู่ด้านนอก เจ้ายังจะเอาแต่ใจอีก ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ขนมดอกสนที่ท่านหญิงทำมาให้อร่อยเป็นที่สุด ได้ยินมาว่าเป็นสูตรลับของตระกูลหัวที่อยู่แถวตลาดตะวันตก เมื่อกินเข้าไปก็จะละลายในปาก หากเจ้าไม่กินข้าจะกินหมดแล้วนะ เจ้าดูสิตี๋เหรินเจี๋ยกินไปเยอะมาก”
“เสี่ยวอู่ เจ้าใส่ร้ายข้าอีกแล้ว ข้ากิน ไปแค่ชิ้นเดียวเล็กๆ ที่เหลือเจ้าเป็นคนกินหมดเลย” สิ่งที่ตี๋เหรินเจี๋ยรับไม่ได้มากที่สุดคือการถูกใส่ร้าย จึงรีบโต้กลับไปทันควัน
เสี่ยวยาเห็นพี่อวิ๋นเดินเข้ามา จึงเข้าไปร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของพี่ชาย อวิ๋นเยี่ยลูบหลังนางแล้วพูดว่า “ฮันฮันคงเป็นหมูที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วเพราะว่ามันอ้วนตาย หมูตัวอื่นคงไม่ได้มีความโชคดีเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าดูแลมันดี ไม่ว่าเสี่ยวยาจะดูแลใครก็ถือเป็นความโชคดีของคนนั้น พวกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ เสี่ยวอู่”
“แน่นอนอยู่แล้ว ดูเสียมั่งว่านี่น้องสาวใคร นี่คือเสียวยาผู้ยิ่งใหญ่!” เสี่ยวอู่เอาเค้กดอกสนเข้าปากแต่ยังไม่ได้กลืนลงไป รีบพูดประจบเสี่ยวยา
เมื่อได้ยินทุกคนชมตัวเอง เสี่ยวยาก็ก้มหน้าด้วยความเขินอาย เด็กคนนี้มีใบหูสองข้างที่ใหญ่จึงเห็นได้ชัดว่าใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“เช่นนั้นก็รีบกินขนมดอกสนเสีย มิเช่นนั้นเสี่ยวอู่จะกินหมด เจ้าก็รู้ นางกินอะไรก็ไม่เคยพอ” อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะพูดจบเสี่ยวยาก็ออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วไปที่โต๊ะ ความจริงแล้วนางอยากกินนานมากแล้ว
บอกให้ทั้งสามคนเล่นด้วยกันดีๆ ไม่ให้แย่งของกินกัน อวิ๋นเยี่ยมองดูซ่านอิงที่วิ่งไปทางสวนหลังบ้าน หัวเราะเบาๆ ความกลมเกลียวในบ้านจะเป็นสิ่งที่ยืนยาว
อวิ๋นเยี่ยเอาแต่จำศีลอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ได้ยินคร่าวๆ ว่าวัดที่ชาวหูสร้างขึ้นใหม่ถูกไฟไหม้ ถามเฮ่อเทียนซังที่มาเอาของกินที่บ้าน เขาก็ส่ายหัวด้วยความเอือมระอา บอกว่านี่คือการฆาตกรรม ฆาตกรไม่ปล่อยแม้แต่คนใช้ที่อายุน้อยที่สุดไปด้วยซ้ำ หัวหน้าผู้เผยแผ่คำสอนสองสามคนก็ถูกเผาตายทั้งเป็น ผู้นำหลายคนในลัทธิบูชาไฟ หนึ่งในนั้นมีคนเอาตัวเองเข้าไปย่างในกองไฟ ว่ากันว่าเป็นเพราะไม่ชอบฤดูหนาวของฉางอันที่หนาวยาวนานเกินไป เตรียมจะทำร่างกายให้อบอุ่น
ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกคำพูดที่ออกจากปากของเขา หากคนจัดการไม่ใช่เฮ่อเทียนซัง ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่เชื่อเป็นอันขาด ตอนนี้เจ้านี่เป็นคนของกระทรวงอาญา เขามีตราคำสั่งกองทัพอยู่ในมือ ฮ่องเต้ยังไม่ได้เอาคืนไป ก็ไม่รู้ว่าทำไม ตราคำสั่งกองทัพเป็นสิ่งที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เมื่อจัดการเสร็จไปเรื่องหนึ่งก็ต้องส่งคืนไป ดูเหมือนว่าภารกิจของเจ้านี่คงจะยังไม่เสร็จสิ้น
ในที่สุดฉิวหรันเค่อก็รอถึงวันที่หงฝูกลับมาเป็นปกติ บอกว่าจะกลับไปที่ทะเลจีนตะวันออกกับพระอาจารย์เต้าฝ่าของตัวเอง หลี่จิ้งขอยืมเรืออวิ๋นเยี่ยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เน้นย้ำว่าต้องการเรือเดินทะเลที่แข็งแรง ส่วนกะลาสีเขาจะเป็นคนจัดหาเอง แม้แต่เงินค่าเรือก็ถูกส่งไปยังค่ายทหารตั้งนานแล้ว ไม่บอกก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เตรียมไว้ให้ฉิวหรันเค่อ ฉิวหรันเค่อเอาเหล้าของตระกูลอวิ๋นไปไม่น้อย ดูแล้วเขาคงกะว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ไม่แน่อาจจะต้องการฟื้นอำนาจในทะเลจีนตะวันออก ดูว่าทรัพย์สินของครอบครัวตัวเองยังเหลืออยู่เท่าไหร่
หยกที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในทุกๆ ฝ่ายได้หายสาปสูญไปในพื้นที่เหอเป่ย ได้ยินมาว่าผู้ชนะคนสุดท้ายคือชายร่างใหญ่ เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็มักจะมีความคิดที่ไม่ดีขึ้นมา เขามักจะรู้สึกว่าหยกนี้มีขาและจะวิ่งกลับมาที่ตระกูลอวิ๋น หากเป็นเช่นนี้ แล้วตัวเองทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรกัน เพื่อให้หยกออกไปวิ่งเล่นข้างนอกอย่างนั้นหรือ