เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 50 การเฉลิมฉลองก่อนวันแรกของปี
อีกสามวันก็จะเป็นวันแรกของปี ตระกูลอวิ๋นยังคงครึกครื้นเหมือนปีก่อนๆ หลังจากที่ชาวบ้านฆ่าหมูและแกะแล้วพวกเขาก็มักจะส่งไปให้ตระกูลอวิ๋น จากนั้นก็หยิบตะกร้าขนมไป ขนมเหล่านี้เป็นขนมที่ชาวบ้านไม่สามารถทำเองได้ ความจริงแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ไม่อยากจะทำขนมเหล่านี้นัก แม่ครัวในบ้านสี่ห้าคนยุ่งมาสี่ห้าวันแล้ว สุดท้ายสิ่งที่แลกมาได้ก็คือขาหมูและขาแกะกองสูงเท่าภูเขา จึงต้องทำการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน
ท่านย่าชอบเป็นอย่างมาก เฝ้าอยู่ในห้องครัวด้วยตัวเอง ดื่มชากับผู้อาวุโสในหมู่บ้านสองสามคน พูดคุยเรื่องการเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีนี้และเรื่องทั่วไปในหมู่บ้าน อย่างเช่นเรื่องที่ลูกสะใภ้บ้านไหนคลอดลูกชายทีเดียวสองคน เรื่องที่ภรรยาบ้านไหนถูกหย่าเพราะเท้าใหญ่ บ้านไหนที่ปีนี้ขายผลไม้จนกลายเป็นเศรษฐี เหล่าผู้อาวุโสชอบฟังเรื่องแบบนี้เป็นที่สุด
เด็กน้อยตัวอ้วนในหมู่บ้านได้แบกขาหมูมา ท่านย่าชอบลูบหัวเด็กน้อย เอ่ยปากชื่นชมแล้วเอามือไปจับดูขาหมู บอกว่าเป็นขาหมูชั้นดี รีบไปหยิบตะกร้ามาใส่ขนม เลือกไปเยอะๆ หน่อย อาหารในถาดมีแต่สวยๆ ดีๆ ทั้งนั้น ไม่อนุญาตให้หยิบเฉพาะของที่ชอบกิน
จากนั้นเด็กน้อยขี้มูกโป่งก็ยิ้มด้วยความดีใจแล้วเดินไปหยิบขนม แต่กลับถูกแม่ครัวที่รักความสะอาดตีเข้าที่ท้ายทอย บอกให้ไปเช็ดน้ำมูกและล้างมือก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่อนุญาตให้มาหยิบขนม
การมีปฏิสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านนั้นเป็นเรื่องจำเป็น ซินเย่วให้สาวใช้ในบ้านร้อยลูกปัดเยอะแยะมากมาย ทุกเส้นจะต้องมีไข่มุกที่ขนาดเล็กกว่าถั่วเหลืองสามเม็ด บ้านไหนมีผู้หญิงก็จะส่งให้หนึ่งเส้น มีผู้คนมากมายอุ้มลูกสาวที่ยังแบเบาะมาด้วย เปิดผ้าอ้อมออกให้ซินเย่วตรวจดูว่าเป็นเด็กผู้หญิง ก็จะมีสิทธิ์ได้รับลูกปัด
กลิ่นหอมที่กระจายออกไปไกลมากที่สุดคือกลิ่นเหล้าดอกกุ้ยฮวาที่หมักด้วยข้าวเหนียวของตระกูลหลัว แบกไหสุราสีดำเงามาเต็มคันรถส่งถึงที่จวน ไม่ได้ไปหาเสมียนบัญชีเพื่อเก็บเงิน เพียงแค่ขอร้องท่านย่าว่าในงานเลี้ยงให้บอกกับแขกทุกคนว่าเหล้าดอกกุ้ยฮวาหอมหวานนี้มาจากตระกูลหลัวก็พอ หลังจากนี้จะนำมาส่งทุกวันตรุษจีนและวันเทศกาลต่างๆ โดยไม่รอช้า ท่านย่ายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วผงกหัวรับปากว่าต่อให้เป็นฮองเฮามานางก็จะแนะนำให้
รถม้าตระกูลอวิ๋นวิ่งไปตามถนนและตรอกซอกซอยของฉางอัน พ่อบ้านเหล่าเฉียน เสมียนบัญชีเหล่าซุน เหล่าท่านอาและท่านป้าในตระกูลอวิ๋น ซินเย่วไปกับน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยไปกับอวิ๋นน้อย ทุกคนต่างพากันให้ของกำนัลไปในทุกๆ ที่อย่างเหน็ดเหนื่อย จะทำอย่างไรได้ ในบรรดาองค์ชายและขุนนางเขาถือว่าอาวุโสน้อย อายุน้อยสุด ไม่มีธรรมเนียมที่จะให้ผู้อาวุโสมอบของกำนัลตัวเองก่อน
เฉิงเหย่าจินให้อวิ๋นน้อยขี่คอแล้วดื่มเหล้า เขาถอนหายใจไม่หยุด ปีนี้องค์หญิงชิงเหอพึ่งจะอายุได้สิบห้าปี ต้องรอปีหน้าจึงจะแต่งกับเฉิงฉู่มั่วได้ ดังนั้นครอบครัวของเขาจึงมีหลานสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากจิ่วอี เขาเองนึกอยากได้หลานชาย ยังต้องรอถึงสองปี อิจฉาอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมากที่มีทั้งลูกสาวและลูกชาย
“น่าเสียดายลูกสาวในตระกูลไม่ได้เกิดจากภรรยาหลวงจึงไม่สามารถแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ตระกูลอวิ๋นได้ หากเจ้าขยันมีลูกชายอีกสักสองสามคน สาวน้อยคนนี้ก็จะมีโอกาส” กระดกเหล้าลงคอไปหนึ่งจอก วางจอกเหล้าลงบนโต๊ะแล้วพูดอย่างเสียใจกับอวิ๋นเยี่ย
“บ้านข้าไม่ได้พิธีรีตองในเรื่องนี้ ในภายภาคหน้าขอแค่เด็กทั้งสองคนถูกชะตากัน ข้าก็จะไม่ขัดขวาง” อวิ๋นเยี่ยเทเหล้าให้เหล่าเฉิงจนเต็ม พูดให้เขาสบายใจ
“เหลวไหล เด็กๆ ไม่รู้ประสา เจ้าก็ไม่รู้ประสาอย่างนั้นหรือ อวิ๋นน้อยเป็นลูกชายคนโตสถานะสูงส่ง เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเทพเซียน จะแต่งกับใครก็ได้ ภรรยาเจ้าสถานะต่ำต้อยอยู่บ้าง ตอนที่เจ้าแต่งงานข้าไม่ได้อยู่ด้วย มิเช่นนั้นข้าจะไม่อนุญาตให้เจ้าแต่งงานกับผู้หญิงจากตระกูลเล็กๆ อย่างแน่นอน เช่นนั้นความสำเร็จของเจ้าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ ในภายภาคหน้าชีวิตของลูกเจ้าก็จะดีขึ้นมากกว่านี้ ชาติตระกูลเป็นอะไรที่ซับซ้อน การแตกแขนงอำนาจออกไปจึงจะเป็นเรื่องดี”
“ท่านลุงกำลังดูถูกหลาน หลานยอมเดินถอดกางเกงไปทั่วหล้าแต่จะไม่ยอมเป็นที่รองรับอารมณ์ของตระกูลใหญ่เหล่านั้น ท่านดูลูกสาวของตระกูลใหญ่เหล่านั้นสิ มีใครดูได้บ้าง วันๆ เอาแต่ทำหน้านิ่งอย่างกับพระโพธิสัตว์ หลานไม่ใช่พวกเคารพผีบูชาเทพ ไม่เข้าไปยุ่งจะดีกว่า ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ในตอนนี้ก็ไม่เห็นว่าจะไม่ดีตรงไหน”
“คนเมื่อแก่แล้วก็มักจะมีเรื่องให้กังวล เจ้าอย่าถือสาเลย” เหล่าเฉิงยิ้มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยใบหน้าชื่นชม
“ท่านลุงเป็นห่วงตระกูลหลานมีหรือที่หลานจะไม่รู้ การที่ได้เข้ามาในฉางอันก็ได้ท่านเป็นผู้นำทาง พระคุณนี้ตระกูลอวิ๋นไม่มีวันลืมเด็ดขาด”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ดังนั้นข้ากับเหล่าหนิวจึงได้ช่วยเจ้าอย่างเต็มกำลัง ตอนนี้นับว่าเจ้ามีชื่อเสียงแล้ว บอกท่านลุงหน่อยว่าเจ้าวางแผนอย่างไรในอนาคต เจ้าเป็นคนมองการณ์ไกล ตระกูลเฉิงพร้อมที่จะก้าวตามรอยเท้าเจ้า”
“เกรงว่าจะไม่ได้ ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปตระกูลอวิ๋นจะตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ลดโอกาสในการแสดงตัวต่อหน้าผู้คน แต่ตระกูลท่านทำเช่นนั้นไม่ได้ ฉู่มั่วยังพอมีหวัง แต่ฉู่เลี่ยงกับฉู่ปี้ยังมองไม่เห็นอนาคต ท่านยังต้องทำแต้มอีกมาก”
เฉิงเหย่าจินหัวเราะดังลั่น อุ้มอวิ๋นน้อยลงมาจากคอแล้วป้อนขาไก่หนึ่งขา มองอวิ๋นน้อยที่กำลังเคี้ยวแล้วพูดกับตัวเองว่า “การเป็นข้าอย่างไรก็หนีไม่พ้นชีวิตที่ต้องทำงานหนัก ข้ามักจะคิดถึงสนามรบ ไม่ใช่เพราะว่าข้าชอบฆ่าคน เพียงแต่ว่าคนอย่างตระกูลข้า หากอยากให้ตระกูลเจริญรุ่งเรือง นอกจากจับดาบสู้รบก็ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ”
“เช่นนั้นท่านก็คิดผิดแล้ว ฉู่ปี้อาจจะเดินตามรอยท่าน แต่ฉู่เลี่ยงนั้นไม่แน่ อาจารย์หยวนจางถูกใจเขา เตรียมจะรับเขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย แล้วยังขอให้ข้ามาถามความเห็นกับท่าน หากฉู่เลี่ยงอยู่กับอาจารย์หยวนจาง เกรงว่าในภายภาคหน้าจะจับดาบไม่ได้แล้ว”
เฉิงเหย่าจินรีบยืนขึ้นแล้วถามว่า “ไอ้หนุ่ม เจ้าพูดจริงหรือ อย่าได้หลอกข้า ตระกูลเฉิงของข้าจะมีนักวิชาการแล้วอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง หลานจะหลอกท่านได้อย่างไรเล่า อาจารย์หยวนจางย้ำกับข้าเป็นพิเศษ ท่านแค่พาฉู่เลี่ยงไปถามก็จะรู้เอง”
เฉิงเหย่าจินเอามือถูพื้นเป็นวงกลมด้วยความดีใจ พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าจะไปบ้านเหล่าหนิวไม่ใช่หรือ รีบไปสิ ไม่ต้องกินข้าวแล้ว หยิบน่องไก่สองชิ้นเพื่อประทังความหิวของลูกก็พอ ฮ่าๆ ตระกูลเฉิงของข้าจะมีนักวิชาการแล้ว”
มองดูเหล่าเฉิงดีใจจนลืมสำรวม อวิ๋นเยี่ยก็ดีใจกับเขาด้วย หลี่กังฝึกชายร่างยักษ์สูงเก้าฟุตที่ผิดปกติให้กลายเป็นผู้ที่เขียนตัวอักษรได้ดี ทักษะนี้อวี้ฉือจอมโง่ถือเป็นอันดับหนึ่งในสำนักศึกษา ตอนนี้กำลังเปลี่ยนทิศทางไปเป็นวิศวกรทางน้ำ วันๆ เอาแต่ไปฝั่งเขตวิศวกรรมเพื่อควบคุมงาน ไม่รู้ว่าหยิบแผนที่ไปแล้วเท่าไหร่ พาลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งที่มีความสนใจการคำนวณระยะเวลาการก่อสร้างและปริมาณดินไปทั้งวัน รวมถึงการดูภูมิประเทศเนื่องจากต้องหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีดินร่วนซุย
แม่น้ำสองร้อยแปดสิบลี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เพื่อเป็นการเปิดทางให้แก่ลูกชายของเขา เนื่องจากอวี้ฉือจอมโง่กังวลว่าฝ่ายวิศวกรรมจะไม่ให้ยืมข้อมูล ดังนั้นเขาจึงมาด้วยตัวเองแล้วบอกว่าตัวเองกำลังเตรียมที่จะฝึกทหารในเหอเป่ยต้องการดูแผนที่ภูมิประเทศ ก็ไม่รู้ว่าแม่ทัพในเมืองหลวงอย่างเขาจะไปฝึกทหารที่เหอเป่ยอย่างไร ฝ่ายวิศวกรรมกลั้นใจเชื่อเหตุผลของเขา ตามองดูพ่อลูกคู่นั้นที่กำลังเอาแผนที่ในส่วนเหอเป่ยไปจนหมด ตระกูลอวี้ฉือยังส่งม้าเร็วอย่างซิงเย่ไปพาตัวหัวหน้ามณฑลกับหัวหน้าเขตเหอเป่ยมาเพื่อทำการศึกษาให้แก่ลูกชายของตัวเอง เฉิงเหย่าจินอิจฉาในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ตอนนี้ได้ยินว่าลูกชายของตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของหยวนจาง มีหรือที่จะไม่รีบควบม้าไปหาอาจารย์หยวนจางในทันที
หนิวเจี้ยนหู่ไปที่เมืองไห่โจว ตระกูลหนิวดูร้างเป็นอย่างมาก มีเพียงสามีภรรยาที่วันๆ ไม่พูดจากันเฝ้าจวนตระกูลหนิว พ่อบ้านเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยพาลูกชายมาด้วยก็ดีใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดบ้านก็อบอุ่นขึ้นมาบ้าง
หลายปีมานี้สิ่งที่เหล่าหนิวชอบมากที่สุดคือการนั่งเหม่ออยู่คนเดียว ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไร อวิ๋นเยี่ยกังวลเป็นอย่างมากว่าเหล่าหนิวจะเป็นโรคซึมเศร้า จะต้องหาเรื่องให้เขาทำเสียหน่อย
ไม่จำเป็นต้องรายงานอวิ๋นเยี่ยก็เดินตรงไปที่จวนด้านหลัง เห็นเหล่าหนิวนั่งเหม่ออยู่คนเดียวในศาลา อำนาจทางทหารของแม่ทัพเหล่านี้ หากกลับมาในเมืองหลวงก็จะถูกเรียกคืนให้รองแม่ทัพเป็นคนดูแล พวกเขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความสงสัย แม้แต่จะไปค่ายทหารเดือนละครั้งก็ไม่ได้ คนที่เคยยุ่งเมื่อมีเวลาว่างก็จะเป็นสภาพเช่นนี้
อวิ๋นน้อยชอบหนวดเคราของท่านปู่หนิวเป็นที่สุด มือสองข้างถือน่องไก่สองน่องที่ได้มาจากตระกูลเฉิงแล้ววิ่งเข้าไปในศาลา ยกน่องไก่ในมือขึ้นสูงๆ เชื้อเชิญให้ท่านปู่หนิวกิน
มีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังมาจากศาลา คนแก่กับเด็กน้อยกำลังหยอกล้อเล่นกันในศาลา อวิ๋นเยี่ยเพียงแต่ยิ้มไม่ได้รบกวนพวกเขา ให้ตาเฒ่ามีความสุขเสียหน่อย ตัวเองปาดน้ำตาพร้อมกับเดินตามพ่อบ้านไปมอบของกำนัลให้แก่ท่านป้าหนิว
“นายน้อย ท่านควรมาบ่อยๆ เดี๋ยวนี้นายท่านเริ่มพูดน้อยลงขึ้นทุกวัน ตอนแรกคุณชายใหญ่ไม่ยอมพาครอบครัวไปเมืองไห่โจว ให้ภรรยากับหลานคอยอยู่เป็นเพื่อนนายท่าน แต่สุดท้ายก็ถูกนายท่านไล่ไปจนหมด ตอนนี้เมื่อท่านกับคุณชายเฉิงมาหาจึงจะได้เห็นรอยยิ้มบ้าง ส่วนเวลาอื่นก็ไม่ค่อยพูดคุยนัก”
เหล่าหนิวเป็นตุลาการฝ่ายทหารมาหลายปีแล้ว ดังนั้นเพื่อนร่วมงานในกองทัพของเขาจึงไม่ค่อยชอบเขานัก คิดว่าเขาโหดเ**้ยมเกินไป ไม่เคยมีความรู้สึกเห็นใจ แต่ดีสำหรับการต่อสู้ในสนามรบ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเหล่าแม่ทัพเฒ่าก็ไม่ค่อยได้ออกรบแล้ว พวกเขาถูกแทนที่โดยแม่ทัพที่อายุน้อยกว่า อย่างเช่นแม่ทัพวัยกลางคนอย่างโหวจวินจี๋ เซวียว่านเช่อ เซวียว่านจวิน เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมายังตระกูลหนิวเพื่อสานสัมพันธ์อีก
“ท่านป้าหนิว ท่านกับท่านลุงมีกันเพียงสองคนจะอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ไปเพื่ออะไร บนที่ราบแห่งนี้เหน็บหนาวจะตาย หลานได้ทำความสะอาดหอเล็กๆ ในภูเขาอวี้ซันให้ท่านแล้ว ท่านกับท่านลุงหนิวย้ายไปอาศัยบนภูเขาเถิด ห้องไม่ใหญ่เท่าไหร่แต่ดูมีชีวิตชีวา กราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จก็ไปเสียเดี๋ยวนี้เลย เหล่าท่านอาและท่านป้าของข้ากำลังรอท่าน อยากจะเล่นไพ่นกกระจอกแต่ก็ไม่มีคู่หูที่ดี หลานอยากจะศึกษาการทำสงครามกับท่านลุงหนิว ไม่มีเวลาดูแลท่าน จะเป็นการดีหากท่านไปเล่นไพ่นกกระจอกที่บ้าน ต่างคนต่างมีความสุขของตัวเอง”
ท่านป้าหนิวเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า “เฝ้าบ้านหลังใหญ่เช่นนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ มีเพียงเด็กๆ อย่างพวกเจ้ามาส่งของกำนัลวันตรุษจีนเพียงไม่กี่คน พื้นที่ว่างเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่สบาย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะเกลี้ยกล่อมท่านลุงหนิวของเจ้าได้ สำหรับตัวข้านั้นจะทำตามที่เจ้าจัดเตรียมไว้ให้”
กำลังสนทนาอยู่กับท่านป้าหนิว เหล่าหนิวก็อุ้มอวิ๋นน้อยเดินเข้ามา ในปากคาบน่องไก่ คนแก่กับเด็กน้อยกัดน่องไก่อย่างมีความสุข เมื่อเห็นเหล่าหนิวเดินเข้ามาอวิ๋นเยี่ยก็ลุกขึ้นโค้งคำนับ เหล่าหนิวยกมือห้าม อุ้มอวิ๋นน้อยชูขึ้นลง พูดอย่างมีความสุขว่า “สมแล้วที่เป็นเด็กอ้วน น้ำหนักสิบกว่ากิโลกรัม กินเยอะๆ หน่อย อย่าเป็นเหมือนพ่อเจ้าที่ปลิวไปตามลม”
พ่อบ้านเดินไปสั่งคนครัวให้เตรียมอาหารอย่างมีความสุข นายน้อยตระกูลอวิ๋นขึ้นชื่อเรื่องเลือกกิน ตัวเองจึงไปเก็บผักเขียวในเรือนกระจกด้วยตัวเองเพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงสุดหรู
“ไอ้หนุ่ม แม้ว่าภูเขาอวี้ซันของเจ้าจะดี แต่ก็ไม่ใช่บ้านของชายเฒ่าอย่างข้า ที่นี่จึงจะเป็นบ้านข้า ฉลองตรุษจีนเช่นนี้อย่างไรก็ต้องคอยเฝ้าบรรพบุรุษจึงจะเหมาะสม ข้ารับในความหวังดีของเจ้าแล้ว อย่ากังวลไปเลยข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ท่านลุงหนิว หลานไม่ได้จะเชิญท่านไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด ข้าคาดว่าเร็วๆ นี้ต้าถังจะต้องเจอปัญหาใหญ่ แม้ว่าเราสองคนจะไม่สามารถพลิกกระแสน้ำได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ”
“ได้ รอข้าไหว้บรรพบุรุษเสร็จก็จะไปยังภูเขาอวี้ซัน เมื่อกินข้าวเสร็จเจ้าก็ไปเดินเล่นที่บ้านอื่นก่อน อย่าใช้ชีวิตเป็นสามีที่รักสันโดษอย่างข้า”