เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 7 ความสุขที่มาพร้อมกับความทุกข์
คำขอในการแต่งบทกวีของหวังกุยได้สิ้นสุดลงอย่างไม่มีเหตุผล เหล่าแม่ทัพพากันดื่มเหล้าอย่างสนุกสนานมากขึ้น อวิ๋นเยี่ยและหลี่เฉิงเฉียนต้องถือไหเหล้าวิ่งไปทั่ว ทั้งๆ ที่ร้านอาหารก็มีคนรับใช้ แต่หลี่ซื่อหมินกลับต้องการให้เด็กหนุ่มสองสามคนทำสิ่งนี้ด้วยตัวเองเท่านั้น
เซวียว่านเหรินหาโอกาสดึงตัวอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “สหาย เจ้าช่วยแต่งกวีให้ข้าสักบทสิ ฝ่าบาทยกน้องสาวของเขาให้ข้า ได้ยินมาว่านางชื่นชอบบทกวี แต่งให้ไพเราะสักหน่อย และหากบอกว่าข้าเป็นผู้แต่งเองก็จะขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก”
จั่งซุนอู๋จี้ได้ยินคำขอของเซวียว่านเหรินจึงนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เพื่อดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะแต่งบทกวีที่ไพเราะออกมาได้อย่างไร เขายังไม่เชื่อว่าวิธีนี้จะแต่งบทกวีที่เป็นที่นิยมออกมาได้ หลายพันปีมาแล้วที่ไม่ได้เห็นผลงานชิ้นเอกที่เป็นดั่งตำนานสักสองสามชิ้น ถ้าหากการนำคำมาปะติดปะต่อกันแล้วได้ผลจริงๆ เช่นนั้นยังจะต้องเรียนการแต่งบทกวีอะไรอีกเล่า แท้จริงแล้วกวีผู้ยิ่งใหญ่ก็คือช่างตีพิมพ์ตัวอักษรในสำนักศึกษา
มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าหลี่ซื่อหมินกำลังกระซิบกระซาบกับหลี่จิ้ง เหล่าเฉิงกำลังสั่งสอนลูกชาย หลี่หวยเหรินเอนหลังพิงเสาแคะขี้มูกท่าทางเบื่อหน่าย เห็นว่าเขาดีดขี้มูกไปทั่วกับตาของตัวเอง ไม่รู้ว่ากระเด็นไปทางไหน งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ให้ตายอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่กินอาหารในงานแม้แต่คำเดียว
“เหล่าเซวีย พวกเราเป็นสหายกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าไปประจำการที่เมืองใดมา พวกเราลองมาเขียนบทกวีเกี่ยวกับชายแดนด้วยกัน ไม่แน่หากเป็นเช่นนี้องค์หญิงตันหยางอาจจะชอบเจ้ามากขึ้น เพียงแต่ว่าถึงแม้กวีจะเขียนเสร็จแล้วแต่จะขาดงานเลี้ยงบนเรือที่แม่น้ำชวีเจียงไม่ได้เด็ดขาด”
“แน่นอนอยู่แล้ว หากเจ้ามาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ข้า งานเลี้ยงฉลองในหนึ่งปีนี้ข้าจะเป็นคนเลี้ยงเอง” เจ้าบ้านี่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้ผู้หญิงในฉางอันต่างก็โหดร้ายทารุณต่อผู้ชายจะตายไป มีเพื่อนเจ้าบ่าวคนไหนที่ไม่ถูกตีจนตัวเขียวช้ำบ้าง คิดว่าหลอกคนโง่อยู่หรืออย่างไร ขนาดหลี่เฉิงเฉียนเขายังไม่ยอมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ เพราะรู้ดีว่าตัวเองไปก่อเรื่องกับองค์หญิงไว้หลายพระองค์ ถ้าหากเสนอหน้าไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวก็คงไม่รอดแน่ๆ
“ฝันไปเถอะ เจ้าไปหาคนหนังหนาที่ทนต่อการโดนทุบตีจะดีกว่า ข้าไม่ไป ช่วยแต่งกวีให้เจ้าก็ถือว่าดีสุดๆ แล้ว”
เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ติดกับ เซวียว่านเช่อจึงพูดอย่างไม่มีทางเลือกว่า “ก็ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ เมื่อก่อนเวลาเอาใจภรรยาก็ไม่เห็นใครต้องมารับกรรมเช่นนี้ เรามาเขียนประโยคเกี่ยวกับเหลียงโจวกันเถอะ”
“เจ้าเคยไปที่เหลียงโจวแต่ข้าไม่เคยไปที่นั่น รีบบอกข้ามาว่ามันมีอะไรบ้าง ข้าจะได้แต่งบทกวีให้เจ้าเสร็จเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้ไปพักสักหน่อย”
“ที่เหลียงโจวจะมีอะไรอีกนอกจากทราย แค่ถูกลมพัดก็โบยบินไปสู่ก้อนเมฆเสียแล้ว เป็นเมืองที่ช่างอ้างว้าง มีภูเขาสีดำทะมึนอยู่รอบด้าน แม้แต่ม้าก็ปีนขึ้นไปไม่ได้ เจ้าลองเอาไปเรียบเรียงดูเถิด”
“เช่นนั้นก็เขียนว่า ‘ทรายสีเหลืองลอยอยู่เหนือก้อนเมฆขาว เมืองอ้างว้างล้อมรอบด้วยภูเขา’ เจ้าว่าดีหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าจั่งซุนอู๋จี้กำลังแอบมอง หวังกุยก็เงี่ยหูแอบฟังอยู่ จึงตั้งใจเขียนผิดไปเป็นบางคำ
“ดีเลย แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นกวีที่ดี” ฟังคนแข็งกระด้างอย่างเซวียว่านเช่อที่กำลังชื่นชมบทกวีบ้านๆ จั่งซุนอู๋จี้ทนไม่ไหวจึงพูดแทรกขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่าเปลี่ยนจากเมืองเป็นพื้นที่จะดีกว่า ภูเขาล้อมรอบเปลี่ยนเป็นภูเขาสูงจะฟังดูสง่างามกว่า”
เซวียว่านเช่อหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “ภูเขาสูงฟังดูดีกว่าภูเขาล้อมรอบจริงๆ ด้วย ทำไมพวกเราไม่เขียนว่าภูเขาสูงเสียดฟ้าไปเสียเลย คำว่าสูงเสียดฟ้าดูยิ่งใหญ่กว่าแค่คำว่าสูงอย่างเดียวเป็นหลายสิบเท่า”
อวิ๋นเยี่ยยกนิ้วโป้งให้แสดงถึงการชื่นชม จากนั้นก็รีบแก้เป็นพื้นที่อ้างว้างมีแต่ภูเขาสูงเสียดฟ้า จั่งซุนอู๋จี้ยังต้องยอมรับในคำพูดไร้สาระของเซวียว่านเช่อ ดูสง่างามมากจริงๆ แต่ว่าถ้อยคำจะสง่างามหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่านักประพันธ์ผู้แพ้ทั้งสองจะกู้หน้าตัวเองกลับมาได้อย่างไร
“เหล่าเซวีย ความสง่างามมีมากพอแล้ว แต่ว่าพวกเราไม่รู้ว่าจะเขียนต่อว่าอย่างไร หากยังเขียนคำว่าสูงเสียดฟ้าไปเรื่อยๆ บทกวีนี้ก็จะไม่น่าฟังแล้ว ดังนั้นเขียนอย่างอื่นจะดีกว่า พวกเจ้าทำอะไรเมื่ออยู่ในกองทัพ”
“ข้ามักจะฝึกการต่อสู้ ดื่มเหล้า บางทีเหล่าทหารก็พากันเป่าขลุ่ย ทำให้ข้าโกรธจึงไปหยิบก้านหลิวมาเฆี่ยนสักสองสามที เจ้ารู้หรือไม่ว่าก้านหลิวที่เหลียงโจวนั้นทั้งแข็งแรงและยืดหยุ่นในขณะเดียวกัน ราษฎรมักจะเอามันมาสานตะกร้า เวลาใช้เฆี่ยนคนก็ถนัดมือมากทีเดียว ใบอ่อนของต้นหลิวนั้นงอกช้า ใช้เวลาถึงครึ่งปี แต่เมื่องอกใบอ่อนแล้วก็จะเปราะบางลง ใช้การไม่ได้”
“ทหารที่ถูกเจ้าเฆี่ยนไม่โกรธเจ้าหรือ”
“โกรธอะไรกัน หากยังโกรธข้าก็จะเฆี่ยนพวกเขาอีก” เซวียว่านเช่อดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ด้วยท่าทีที่ดูเย่อหยิ่ง ดึงอวิ๋นเยี่ยมาเพื่อเล่าเรื่องการนำทหารออกทัพ การเป็นแม่ทัพดูเหมือนจะง่าย คำว่าศักดิ์ศรีเพียงแค่คำเดียวก็สามารถบ่งบอกถึงเรื่องราวได้ทุกอย่าง ในกองทัพเต็มไปด้วยนักฆ่า หากเจ้าอ่อนแอเขาก็จะเข้มแข็ง สรุปก็คือการนำทัพต้องอาศัยวิธีการที่โหดร้ายอย่างการเฆี่ยนตี เฆี่ยนไปจนกว่าพวกเขาจะเชื่อฟัง เช่นนี้พวกเขาก็จะนำความโกรธมาลงที่ศัตรู เมื่อออกรบก็จะมุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะคิดว่าการทำเช่นนี้ออกจะเป็นการฝังความเจ็บแค้นมากกว่าการเป็นประโยชน์ในการให้กำลังใจทหาร แต่เพื่อที่จะนำมาแต่งกวีแล้วก็เลยเลือกที่จะยกนิ้วโป้งชื่นชมเขาสักหน่อย แล้วยังยกสองมือขึ้นมาคำนับพร้อมกับเรียนว่าท่านอาจารย์ จากนั้นก็เขียนลงบนกระดาษ ‘เหตุใดขลุ่ยเชียงต้องโกรธต้นหลิว สายลมในฤดูใบไม้ผลิไม่อาจพัดไปถึงประตูเหล็ก’
พึ่งจะเขียนเสร็จก็ถูกตีเข้าไปที่ท้ายทอยหนึ่งที เหล่าเฉิงพูดว่าความโกรธว่า “เหลวไหล ประตูเหล็กอยู่ที่เยียนฉี ต้องเป็นประตูหยกจึงจะถูก ไม่สมกับเป็นผู้นำเอาเสียเลย ขายขี้หน้าเสียจริง”
อวิ๋นเยี่ยต้องรีบเปลี่ยนจากประตูเหล็กเป็นประตูหยก เฉิงเหยาจินจึงจะพอใจ จั่งซุนอู๋จี้หน้าซีด นั่งลงบนเก้าอี้แล้วไม่พูดอะไร ดูท่าทางแล้วคงจะตกใจอยู่ไม่น้อย
“อวิ๋นเยี่ย พวกเจ้านำคำมาปะติดปะต่อกันเป็นกวีอะไรอีก เอามาให้เราดูเสียหน่อย” เมื่อได้ยินเสียงคนกำลังถกเถียงกัน หลี่ซื่อหมินจึงหยุดคุยกับหลี่จิ้ง เห็นว่าอวิ๋นเยี่ย เซวียว่านเช่อ เฉิงเหย่าจินและคนอื่นๆ กำลังปะติดปะต่อคำอีกครั้ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเดินเข้ามาดู
บนกระดาษเต็มไปด้วยจุดสีดำดูเละเทะไปหมด ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วอ่านออกมาเสียงดังว่า “ทรายเหลืองลอยอยู่เหนือเมฆขาว พื้นที่อ้างว้างมีแต่ภูเขาสูงเสียดฟ้า ไพเราะมาก ดูยิ่งใหญ่มาก”
เซวียว่านเช่อรีบพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท คำว่า ‘ภูเขาสูงเสียดฟ้า’ กระหม่อมเป็นคนคิดเอง ส่วนคำว่า ‘พื้นที่’ เป็นของจั่งซุน ฮ่าๆๆ”
เฉิงเหย่าจินยกถ้วยเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “คำว่า ‘ประตูหยก’ กระหม่อมเป็นคนคิดให้” เมื่อพูดจบก็หันไปชนถ้วยเหล้ากับอวี้ฉือกงแล้วดื่มจนหมด
หลี่ซื่อหมินกัดฟันแล้วอ่านต่อ “เหตุใดขลุ่ยเชียงต้องโกรธต้นหลิว สายลมในฤดูใบไม้ผลิไม่อาจพัดไปถึงประตูหยก? เซวียว่านเช่อ เจ้ารู้จักเรื่องหักต้นหลิวด้วยหรือ”
“กระหม่อมรู้ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนหักต้นหลิวมาเฆี่ยนทหารที่เป่าขลุ่ยพวกนั้น เฆี่ยนจนพวกเขาไม่กล้าโกรธ”
“เหตุใด ‘ขลุ่ยเชียงต้องโกรธต้นหลิว’ ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร” หลี่ซื่อหมินถามด้วยน้ำเสียงสูง
อวิ๋นเยี่ย เซวียว่านเช่อ และเฉิงเหย่าจินพยักหน้าพร้อมกัน แม้แต่จั่งซุนอู๋จี้ก็ยิ้มแห้ง พยักหน้ายอมรับแล้วพูดกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท ความหมายของบทกวีนี้คือเม็ดทรายโบยบินสู่ท้องฟ้า เมืองที่อ้างว้างถูกล้อมรอบด้วยภูเขา ทหารที่เป่าขลุ่ยรบกวนคนกำลังนอนฝัน ดังนั้นจึงถูกก้านหลิวเฆี่ยนจนไม่กล้าโกรธ ลมในฤดูใบไม้ผลิไม่สามารถพัดไปถึงประตูหยกได้ ก้านหลิวที่ทั้งแข็งแรงและยืดหยุ่นสามารถใช้เป็นแส้ได้เสมอ ฝ่าบาท อย่าได้คิดมากไป ความหมายเดิมของมันมีเพียงเท่านี้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแนวความคิดทางศิลปะของบทเพลงเลย”
เหล่าหวังกุยดื่มเหล้าไปหนึ่งถ้วยใหญ่เพื่อบดบังความอับอาย ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยถึงกับตกตะลึง หลี่ซื่อหมินฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นๆ แล้วใช้เท้าเหยียบซ้ำ จากนั้นยกเท้าถีบโต๊ะจนคว่ำแล้วพูดกับต้วนหงว่า “กลับวัง”
เหล่าแม่ทัพส่งฮ่องเต้และขุนนางนักปราชญ์กลับวังแล้ว จากนั้นจึงกลับมาที่ร้านอาหาร เตรียมพู่กันและหมึก เริ่มเขียนบทกวีของตัวเอง…
หลี่ซื่อหมินกลับมาที่วังด้วยความหงุดหงิด บทกวีที่ตัวเองภาคภูมิใจกลับเทียบไม่ได้กับกวีของชายที่แข็งกระด้างเหล่านั้น สิ่งนี้ทำให้คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองถึงพี่สุดอย่างหลี่ซื่อหมินยอมรับไม่ได้
เป็นกวีที่ไพเราะมาก นิราศเหลียงโจว ทรายเหลืองลอยอยู่เหนือเมฆขาว พื้นที่อ้างว้างเต็มไปด้วยภูเขาสูงเสียดฟ้า เหตุใดขลุ่ยเชียงต้องโกรธต้นหลิว สายลมในฤดูใบไม้ผลิไม่อาจพัดไปถึงประตูหยก
สองประโยคแรกเขียนถึงเมืองที่โอบล้อมด้วยภูเขาและทะเลทรายนั้นยิ่งใหญ่และสง่างามมาก ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ สองประโยคหลังหมายถึงการซ้อนความแค้นไว้ในใจ เล่าถึงเรื่องราวที่ทหารคลายความคิดถึงบ้านเกิดของตัวเองด้วยการเป่าบทเพลงหักต้นหลิว อ้างว้างแต่สง่างาม ความโศกเศร้าและความคิดถึงถักทอเป็นความผูกพัน ผสมผสานเรื่องราวได้อย่างลงตัว ต้องเป็นผลงานชิ้นเอกที่หาได้ยากอย่างแน่นอน หากในอนาคตเขาจะกลายเป็นผู้แต่งบทกวีอันไพเราะที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่จั่งซุนอู๋จี้อธิบายกับตัวเอง ทำให้เขารู้สึกอยากอ้วก
ใช้ที่ทับกระดาษรีดกระดาษให้เรียบ จากนั้นฝนหมึกจนเต็มจาน แล้วคัดลอกลงบนกระดาษอีกครั้ง งานเขียนของเขาดูขาวสะอาดมาก บทกวีไพเราะ ลายมือสวย ทั้งสองเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่มองในใจก็มักจะรู้สึกสิ้นหวัง
“กวีบทนี้ฝ่าบาทเป็นคนเขียนอย่างนั้นหรือ ยิ่งใหญ่และสง่างาม คำพูดมีความสละสลวย ไพเราะ ไพเราะมากจริงๆ เรียกได้ว่าฝ่าบาทเป็นปรมาจารย์ด้านกวี หม่อมฉันจะนำกระดาษแผ่นนี้ไปใส่กรอบไว้แล้วเก็บไว้ในคลังสมบัติ”
จั่งซุนสวมผ้าชีฟอง คาดด้วยผ้าสีเขียวเข้มที่หน้าอก หากจั่งซุนแต่งตัวแบบนี้ในวันธรรมดา ทั้งสองก็จะรีบไปนอนที่วังหลัง
วันนี้หลี่ซื่อหมินไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง มองจั่งซุนแล้วพูดว่า “หากเราบอกเจ้าว่ากวีบทนี้เป็นบทกวีไร้สาระ เป็นแค่ผลจากการนำคำมาปะติดปะต่อกัน ฮองเฮา เจ้าเชื่อหรือไม่”
จั่งซุนที่กำลังจะจัดเก็บกระดาษแผ่นนั้นชะงักไปพักหนึ่ง หัวเราะ เอามือป้องปากแล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาทหลอกหม่อมฉันอีกแล้ว ใครกันที่มีความสามารถนำคำมาปะติดปะต่อกันได้เช่นนี้ หากเก่งจริงก็ลองแต่งกวีซักหนึ่งบทให้หม่อมฉันดูเสียหน่อย”
หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนว่าเหล้าหลานหลิงหอมกลิ่นดอกกระเจียว ถ้วยหยกแต่งเติมด้วยแสงสว่างอำพัน นักประพันธ์พากันเมามาย ไม่รู้บ้านเกิดอยู่หนใด’ หลังจากเขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษให้จั่งซุน ส่วนตัวเองก็นั่งอารมณ์หงุดหงิดอยู่บนเก้าอี้
“ใครเป็นคนแต่ง” จั่งซุนถามด้วยน้ำเสียงแหลมขึ้นมาทันที ถามหลี่ซื่อหมินด้วยความโกรธ
“อวิ๋นเยี่ยเป็นคนแต่ง เฉิงเหย่าจิน เซวียว่านเช่อ และอู๋จี้ก็ช่วยแต่งด้วยสองสามคำจนได้เป็นกวีบทนี้ นับจากนี้หากใครกล้าอวดบทกวีต่อหน้าเรา เราจะใช้ไม้ตีไล่ออกไปให้หมด ตอนนี้เราสงสัยว่าบทประพันธ์โบราณที่สวยงามเหล่านั้นถูกแต่งขึ้นมาด้วยวิธีนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง บทประพันธ์พันปีก็คงเป็นเพียงแค่เรื่องตลก”
หลังจากฟังเรื่องราวจากหลี่ซื่อหมินแล้ว จั่งซุนก็ค้นพบว่ามักจะมีเงาของอวิ๋นเยี่ยแฝงอยู่ในเรื่องราวเสมอ พยักหน้าด้วยความครุ่นคิด ยกชามโจ๊กมาวางไว้ตรงหน้าหลี่ซื่อหมินแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล บทกวีเหล่านั้นต้องเป็นบทกวีที่ดีอย่างแน่นอน ไม่ใช่ผลจากการนำคำมาปะติดปะต่อกัน มันเป็นผลงานชิ้นเอกที่แท้จริง หม่อมฉันกล้ารับประกันว่านี่เป็นแผนของอวิ๋นเยี่ย
ท่านลืมไปหรือว่าเขาได้เรียนรู้วิชาที่เชี่ยวชาญในการพูดคุยกับผู้คน เฉิงเหย่าจินและเซวียว่านเช่อก็ถือได้ว่าได้เรียนหนังสือมาสามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังแต่งกวีเช่นนี้ไม่ได้ คนเดียวในโลกที่สามารถทำได้นั่นก็คือปรมาจารย์เซียนของอวิ๋นเยี่ย ฝ่าบาทลืมไปได้อย่างไรว่าท่านยังมีบทความที่ยอดเยี่ยมอยู่ในมืออย่างบทประพันธ์ ‘การเกิดดับของวังอาฝาง’ หม่อมฉันเชื่อว่าบทกวีเหล่านี้เป็นผลงานของปรมาจารย์เซียนของเขา
ฮึๆ ใช้วิธีชี้นำให้เฉิงเหย่าจินและเซวียว่านเช่อพูดตามในสิ่งที่ตัวเองจัดเตรียมไว้ แล้วตัวเองก็แกล้งทำเหมือนพวกเขา ทำให้ฝ่าบาทรู้สึกหงุดหงิด ต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ วันนี้ท่านต้องสั่งลงโทษเขาอีกครั้งแล้ว?”
หลี่ซื่อหมินรีบหยิบม้วนหนังสือออกมาจากแจกันหนึ่งม้วน เปิดออกมาดูแล้ววางหนังสือม้วนลง หันไปพูดกับจั่งซุนว่า “อย่างไรเสียเราก็จะเฆี่ยนคนเจ้าเล่ห์นี่สักหนึ่งพันครั้ง”