เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 14
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 14 เรื่องการตั้งครรภ์
นกกระจอกป่าส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อยู่นอกหน้าต่างไม่ยอมหยุดจนปลุกให้หลี่ซื่อหมินตื่นขึ้นจากการหลับลึก เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็เห็นหลังคาที่เป็นหิมะขาวโพลนซึ่งมันแปลกตามาก นั่งนึกอยู่เป็นเวลานานกว่าจะจำได้ว่า เมื่อคืนนี้ตนเองนอนอยู่บนตั่งในเรือนเล็กของหยางเฟยที่งดงามชวนให้หลงใหลคลั่งไคล้
ฟ้าเริ่มสางส่องแสงผ่านม่านสีขาวดุจหิมะ ต้นไม้เขียวนอกหน้าต่างเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ สายลมที่ขี้เล่นก็พัดม่านพลิ้วไหวไม่ยอมหยุด หลี่ซื่อหมินนวดๆ เอวที่เมื่อยล้าและมองหยางเฟยที่ยังคงหลับสนิทอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแหะๆ ความบ้าคลั่งเมื่อคืนทำให้เขาพึงพอใจมาก นานเพียงไหนแล้วที่เขาไม่ได้ทำอะไรมุทะลุดั่งวัยรุ่นเช่นนี้
หยางเฟยถึงกับดูดนิ้วมือแล้วหลับไป ตนเองที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางมาเป็นเวลาหลายปี นี่กลับเป็นครั้งแรกที่พบว่านางนอนหลับเหมือนเด็กทารก ผ้าห่มถูกเตะไปด้านข้างเผยให้เห็นถึงรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้นที่ชวนให้เขาบ้าคลั่งตั้งหลายครั้ง อยากจะกอดหยางเฟยไว้ในอ้อมแขนแล้วโอบกอดตามอำเภอใจอีกครั้งจริงๆ แต่ด้านนอกมีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น จึงห่มผ้าให้หยางเฟย เพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น แม้ว่าอู๋เสอที่เป็นขันทีก็ตามที
เพียงแค่กระแอมเล็กน้อยก็มีนางกำนัลวิ่งเข้ามาเป็นพรวนคุกเข่าบนพื้นพร้อมที่จะรับใช้ แต่ไม่มีน้ำซุปหอมกรุ่นเหมือนปกติ ขณะที่กำลังจะถามด้านหลังก็มีร่างที่อบอุ่นและนุ่มนวลโอบกอดเขาไว้จากด้านหลัง
“เจ้าตื่นแล้วหรือ เราเห็นเจ้าหลับสนิทจึงไม่อยากปลุกเจ้า ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องฝึกยุทธ์ทุกวัน หากเจ้ายังง่วงนอนอยู่นอนพักอีกสักครู่ก็ได้ ที่นี่ไม่ใช่วังประเพณีเหล่านั้นละทิ้งมันออกไปก็ได้”
“พวกนางไม่รู้ว่าจะรับใช้ท่านอย่างไร ให้ข้าเป็นคนทำเถอะ ที่นี่มีแต่ของแปลกๆ ใหม่ๆ พวกนางใช้ไม่เป็น” หยางเฟยนั้นได้สวมเสื้อบางๆ แล้วตัวหนึ่ง ลุกขึ้นอย่างอ้อนแอ้น ดึงตัวฮ่องเต้ที่ทั้งร่างสวมเพียงกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวไปยังห้องน้ำ
ช่วงเวลาในการอาบน้ำนั้นค่อนข้างนานไปเสียหน่อย หลี่ซื่อหมินซึ่งออกมาจากห้องน้ำอุ้มหยางเฟยที่ร่างเปลือยเปล่าไปไว้ที่เตียง หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วเปิดประตูออกมาด้วยสติที่สดชื่นแจ่มใส
บนร่างของอู๋เสอนั้นเปียกแฉะไปหมด น้ำค้างยามเช้าบนภูเขาก็เย็นและชื้น เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่าเขาอยู่เฝ้ายามข้างล่างตลอดทั้งคืน หลี่ซื่อหมินนั้นชอบคนรักษากฎโดยเฉพาะคนที่อยู่รอบตัวเขาต่างก็รู้ว่าจะให้ดีนั้นอย่าได้ท้าทายกฎของฮ่องเต้ จนถึงตอนนี้ผู้ที่ท้าทายกฎของฮ่องเต้แล้วยังมีชีวิตที่ดีอยู่บนโลกนี้อีกทั้งยังมีชีวิตได้อย่างสมใจหมายก็มีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียว
ถ้าเป็นข้าราชบริพารคนอื่นๆ เมื่อถึงเวลานี้จะต้องรอคอยอยู่ชั้นล่างแล้วรอคำสั่งของฮ่องเต้แล้ว แต่ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยแม้แต่เงา ดูเหมือนว่างานของเขาจะสำคัญกว่างานของฮ่องเต้เสียอีก
รับกระบี่ยาวที่อู๋เสอส่งมาให้ ดึงกระบี่ออกมากำลังเตรียมจะเริ่มฝึกกระบี่ยามเช้า เสียงฝีเท้าก็ดังก้องเข้ามา อู๋เสอเงยหน้าขึ้นมองยามบนภูเขาแต่ไม่พบสัญญาณเตือน แต่เขาก็ยังออกมายังริมถนนเพื่อจะดูให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
เสียงนกหวีดที่แหลมดังขึ้นทั้งยังมีการท่องเลขอะไรแปลกๆ “หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองสามสี่!” จากนั้นก็มีกลุ่มคนจำนวนมากตอบขึ้นพร้อมกัน “หนึ่งสองสามสี่” นี่มันเป็นรหัสประหลาดอะไร อู๋เสอยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
แถวฝึกซ้อมที่ยาวเหยียดได้วนอ้อมมาจากเชิงเขา ที่แท้เป็นนักเรียนของสำนักศึกษา พวกเขากำลังฝึกซ้อมในตอนเช้า หลิวเซี่ยนเปลือยท่อนบนและวิ่งนำหน้าแถว ผิวสีแทนของเขาดูราวกับว่ากำลังเปล่งประกายแวววับ
หลี่ไท่และหลี่เค่อเองก็เปลือยท่อนบนเช่นเดียวกัน สองพี่น้องลากน้องชายที่เปลือยท่อนบนวิ่งไปด้วยกันกับเขา กลุ่มคนที่ตามมาข้างหลังก็เปลือยท่อนบนเช่นกันต่างก็วิ่งกันจนเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง
หลี่ซื่อหมินถือกระบี่ยืนอยู่ในรั้วมองดูแถวฝึกนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและพึงพอใจกับการกระทำของลูกชายพอควร โดยเฉพาะพี่ชายสองคนรู้จักพาน้องเล็กวิ่ง ทำหน้าที่พี่ชายได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลี่ซื่อหมินโหดร้ายกับพี่น้องของเขามาก แต่เขาไม่ต้องการให้ลูกชายของเขาเลียนแบบตัวเองอย่างแน่นอน พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวเป็นภาพในฝันของเขา ตอนนี้เขาได้เห็นมันด้วยตาตนเองย่อมต้องดีใจมากกว่าปกติ
เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงยืนอยู่ริมถนน หลิวเซี่ยนมีหรือที่ยังจะกล้าวิ่งต่อไปอีก จึงออกคำสั่งทั้งแถวฝึกก็หยุดลง ตนเองรีบวิ่งไปที่เบื้องหน้าหลี่ซื่อหมินคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงการคำนับฮ่องเต้ แต่เขาไม่พูดอะไรเพราะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการเปิดเผยฐานะตนเอง แต่เขาไม่กล้าเสียมารยาท
“ดีมาก มีใจคิดตอบแทนประเทศเพื่อสานต่อเจตนาบรรพบุรุษ สำนักศึกษาปฏิบัติได้คงเส้นคงวา ดีมาก พวกเจ้าทำต่อไปเถอะ” หลี่ซื่อหมินเพียงแค่สะบัดมือหลิวเซี่ยนก็เตรียมพร้อมที่จะกลับเข้าแถวเพื่อวิ่งต่อ ใครจะรู้ว่าหลี่อั้นและหลี่โย่วที่วิ่งหอบเหนื่อยหายใจแทบไม่ทันจะวิ่งออกจากแถวคุกเข่าบนพื้นแล้วตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
ความอารมณ์ดีของหลี่ซื่อหมินนั้นถูกทำลายมลายสิ้นในทันที ฟังหลี่โย่วที่หายใจกระหืดกระหอบร้องเรียนเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยไร้มารยาทต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง หลี่อั้นก็สบถสาบานเล่าเรื่องร้องเรียนว่าอวิ๋นเยี่ยได้ผ่าหน้าอกเปลี่ยนหัวใจของหลี่โย่วอย่างไรบ้าง บอกว่าเปลี่ยนหัวใจแกะให้เขา ช่างสมกับคำกล่าวที่ว่าผู้เล่านั้นเจ็บปวด ผู้ฟังน้ำตารินจริงๆ สีหน้าของหลี่ซื่อหมินยิ่งหมองคล้ำลงทุกที อวิ๋นเยี่ยทำอะไรลงไป แน่นอนว่าเขารู้ เพราะเป็นสิ่งที่เขาเห็นด้วย ตอนนี้เขาเพียงแค่เกลียดตัวเองว่าเป็นคนฉลาดมาชั่วชีวิต เหตุใดจึงมีลูกขยะไม่เอาไหนเช่นสองคนนี้
หลี่เค่อ หลี่ไท่ ขออนุญาตจากหลิวเซี่ยนแล้วจึงก้าวออกมา หลี่เค่อก็ตบหน้าหลี่อั้นหนึ่งฉาดและสั่งสอนเบาๆ ว่า “หุบปาก หากกล้าพูดอีกคำ ข้าจะต่อยเจ้าให้ตาย” หลี่อั้นนั้นกลัวพี่ชายผู้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จึงเงียบปากอย่างเชื่อฟัง หลี่โย่วยังเตรียมที่จะพูดต่อจึงถูกหลี่ไท่เตะเข้าที่ก้น หลี่โย่วเห็นสีหน้าหลี่ไท่น่ากลัวจึงยอมเงียบปากอย่างเชื่อฟังเช่นกัน
“เสด็จพ่อ เป็นเพราะลูกละเลยการสั่งสอนน้องปล่อยให้เขาพูดคำพูดที่ไร้สาระเช่นนี้ ขอเสด็จพ่อทรงลงพระอาญาด้วย” หลี่เค่อคุกเข่าบนพื้นเพื่อรับผิดแทนน้องชายของเขา หลี่ไท่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบหลี่โย่วแต่เมื่อเห็นหลี่เค่อเป็นเช่นนี้ตนเองจึงจำต้องรับผิดด้วยเช่นกัน
“อวิ๋นเยี่ยทำได้ดีมาก ทำไมเขาเปลี่ยนหัวใจของพวกเจ้าสองคนด้วยก้อนหิน ถ้าหากเขาทำได้ เราจะประทานรางวัลให้เขาหนักๆ เลย หลี่โย่ว หลี่อั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อวิ๋นเยี่ยทำเราล้วนแล้วแต่อนุญาตแล้วทั้งสิ้น ขอเพียงแค่สมเหตุสมผลในอบรมสั่งสอนพวกเจ้า เราอนุญาตให้เขาทำได้ทุกอย่าง อย่าว่าแต่จะเปลี่ยนหัวใจเลย แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนศีรษะเราก็อนุญาต”
ฮ่องเต้กำลังพิโรธ แต่กลับมีชายคนหนึ่งในแถวล้มลงกับพื้นดังตึง หลี่เผิงเฉิง! หลิวเซี่ยนประหลาดใจมาก แม้ว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะบอบบางแต่ร่างกายของเขาแข็งแรงประดุจวัวตัวหนึ่ง วันนี้วิ่งเพียงแค่สี่ลี้ไม่ควรจะเป็นเหตุให้เป็นลมล้มลง
หลี่ซื่อหมินมองดูนักเรียนด้วยความกังวลคิดว่าเขาวิ่งมากเกินไปจนหมดแรงแล้วสลบไป คนเหล่านี้ตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์ของเขา ต้องใช้งานในภายหน้าหากปล่อยให้เป็นอะไรไปย่อมไม่ดี
หลี่ไท่มองดูหลี่เผิงเฉิงที่น้ำลายฟูมปากจึงหลุดส่งเสียงหัวเราะออกมา จึงถูกหลี่ซื่อหมินจ้องมองอย่างดุดัน หลี่ไท่รีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เสด็จพ่อ ไม่ทราบว่ายังทรงจำได้ไหมว่าเมื่อวานมีผู้ชายคนหนึ่งในสำนักศึกษาเตะลูกบอลให้ท่าน “
หลี่ซื่อหมินก็หัวเราะขึ้นและชี้ไปที่หลี่เผิงเฉิงแล้วพูดว่า “ก็คือเจ้าหนุ่มคนนี้”
หลี่ไท่อ้าปากหัวเราะพลางพยักหน้า มีความกล้าที่จะยกนิ้วกลางให้กับเสด็จพ่อ แต่ไม่มีความกล้าที่จะยอมรับความจริง ต่อไปมีประเด็นที่จะใช้เป็นเรื่องหยอกล้อหลี่เผิงเฉิงแล้ว
หลี่ซื่อหมินสะบัดมือแล้วเดินจากไปด้วยเสียงหัวเราะอันดัง ไม่มองหลี่โย่วและหลี่อั้นที่คุกเข่าบนพื้นแม้แต่หางตาอีกเลย
ตอนนี้ซินเย่ว์ต้องการให้อวิ๋นเยี่ยวิเคราะห์ว่าท้องของนางเริ่มใหญ่ขึ้นทุกวันหรือไม่ เหตุผลก็คือท่านย่า อาหญิงและป้าสะใภ้ทุกวันที่เจอนางไม่ใช่มองหน้านาง แต่เป็นท้องของนาง เมื่อวันก่อนประจำเดือนควรจะมาแล้วแต่นางก็ไม่เห็นร่องรอยใดๆ ซึ่งทำให้นางรู้สึกดีใจเกินกว่าที่คาดไว้คิดว่าในที่สุดตนเองก็ตั้งครรภ์ ยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลืองมองซ้ายเหลือบขวา อยากจะให้ท้องโตขึ้นมาทันทีเสียให้ได้ในตอนนี้
ตระกูลอวิ๋นมีทายาทเพียงคนเดียว ซึ่งในตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นนางจึงมีแรงกดดันเป็นอย่างมากโดยไม่สนใจความเป็นจริงที่ว่านางเพิ่งจะแต่งงานมาได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่คิดว่านางเป็นยอดวีรสตรีของตระกูลอวิ๋นไปแล้ว แต่ทว่ามันก็ใช่ เพราะถ้าหากนางตั้งครรภ์ สถานะของนางในตระกูลอวิ๋นก็จะมั่นคงเหนือคนอื่นๆ ทั้งหมด ไท่ซั่งหวงตัวจริงหากจะกลิ้งไปมาอยู่ในบ้านคาดว่าก็คงจะไม่มีใครกล้าซุบซิบนินทา
“ท่านพี่ ทำไมท้องจึงไม่โตขึ้นเร็วๆ ข้าจะอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้ว” เมื่อพูดจบยังเอามือลูบไปมาอีกเล็กน้อยราวกับว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ท้องใหญ่ขึ้นได้
“จะร้อนใจไปไย พวกเรายังอายุน้อยกันอยู่ ทั้งยังเพิ่งแต่งงานกันเพียงแค่เดือนเดียว คราวนี้ก็ไม่แน่ว่าจะใช่ ด้วยนิสัยลิงทโมนของเจ้าถ้ามีลูกก็คงจะตกใจจนวิ่งหนี รีบนำกางเกงชั้นในที่เปลี่ยนอาบน้ำมาให้ข้าเร็วๆ ฝ่าบาทยังทรงรออยู่บนเขานะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ซินเย่ว์ก็จะลืมเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของนางไป สามีของนางต้องมีความสามารถเพียงใดถึงทำให้ฮ่องเต้ทรงรอได้ ในบรรดาสะใภ้ที่อายุน้อยถัดลงมาอีกรุ่น นางนับได้ว่าเป็นคนที่มีเกียรติมากที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะไปงานเลี้ยงรับรองของบุตรีตระกูลไหนก็เป็นบุคคลสำคัญเสมอ คนนี้ขอให้ช่วยพูดกับคนที่บ้านด้วยว่าจะขอส่งน้องชายของนางไปเรียนที่สำนักศึกษาได้ไหม คนนั้นชื่นชมสีผิวของนางจากนั้นก็พูดอ้อมค้อมว่าต้องการน้ำหอมดอกกล้วยไม้ที่เพิ่งออกใหม่สักขวด อีกคนหนึ่งยกอาหารออกมาขอให้ฮูหยินของตระกูลอาหารซึ่งเลื่องชื่อที่สุดแห่งฉางอันอย่างนางได้ลองชิมว่าจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่
หรือแม้แต่แม่เฒ่าที่ไม่ได้ออกไปข้างนอกเหล่านั้นก็มักจะเรียกนางเข้าไปนั่งในห้องโถงชั้นในและสอนวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ตั้งครรภ์ได้เร็วกับนาง เมื่อคืนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ต้องตกใจหยุดไปเพราะท่าทางแปลกๆ ของนางที่ สามารถโค้งเอวแข็งๆ ให้งอได้มากถึงเพียงนั้น อวิ๋นเยี่ยเองยังเป็นห่วงเอวของนางจึงรีบพลิกตัวนางขึ้น ซึ่งก็ถึงกับได้ยินเสียงกระดูกขัดกันเลย สุดท้ายนางก็ยังคงเหมือนเดิมทั้งยังบอกว่าการทำเช่นนี้จะมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์มากกว่าปกติมาก
ผู้หญิงคนนี้ไม่ไหวแล้ว อยากมีลูกจนบ้าไปแล้ว
นำอาหารตระกูลอวิ๋นมาเต็มตะกร้า มิฉะนั้นจะหาข้ออ้างบอกหลี่ซื่อหมินเรื่องที่มาช้าไม่ได้ รีบควบม้าห้อตะบึงมาตลอดทาง เมื่อมองดูดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะเวลาเที่ยงแล้ว
ไม่ได้ขี่ม้ามาเป็นเวลานานแค่ไหนกันแล้วนะจึงได้ปวดหลังมากมายเพียงนี้ อีกทั้งแน่นอนว่ายังมีคุณงามความชอบที่ได้มาจากท่าทางแปลกๆ เมื่อคืนที่ผ่านมาด้วย เดินนวดเอวขึ้นไปที่เรือนเล็ก หลี่ซื่อหมินยกกาน้ำชาดื่มชาตั้งแต่เช้า ทั้งยังทุบๆ เอวเป็นระยะๆ อีก ตาเฒ่ามากกาม เพียงแค่ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนต้องทำเรื่องไม่ดีแน่
ขณะที่กำลังงจะก้าวเข้าไป อู๋เสอที่เหมือนร่างวิญญาณก็ปรากฏต่อหน้า ยื่นมือมาคว้าตะกร้าอาหารไปแล้วนำอาหารวางเรียงบนโต๊ะทีละอย่าง ทั้งยังใช้เข็มเงินทดสอบทีละจาน สุดท้ายอาหารแต่ละอย่างก็ต้องฉีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาชิมด้วยตนเอง จากนั้นจึงเตรียมที่จะถวายให้ฮ่องเต้เสวย โดยบอกว่าเช้านี้ฮ่องเต้ไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยมาพบจึงพูดว่าจะต้องมีของอร่อยให้ทาน ดังนั้นตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้จึงดื่มเพียงซุปลูกบัวเพียงถ้วยเดียว
หลี่ซื่อหมินนั่งลงแล้วหยิบซาลาเปาขึ้นมากัดหนึ่งคำและพยักหน้าดูเหมือนจะพอใจมาก อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบไข่ต้มออกจากตะกร้าแล้วขอเข็มเงินจากอู๋เสอแล้วกินไข่ขาวจนหมด จากนั้นใช่เข็มเงินปักลงไปในไข่แดงแล้วดึงออกมา เข็มเงินทั้งแท่งกลายเป็นสีเทาขุ่นมัว อู๋เสอมองดูฮ่องเต้ที่เพิ่งกินไข่ไก่ไปหนึ่งฟอง แววตาเปลี่ยนไปจนน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด มือสั่นเทาชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแต่กลับเห็นเขากลืนไข่แดงที่ทำให้เข็มเงินกลายเป็นสีดำลงไปทั้งลูก ทั้งยังกะพริบตาปริบๆ ใส่เขาอีก
“เจ้าเลิกกลั่นแกล้งอู๋เสอเสียทีได้หรือไม่” หลี่ซื่อหมินที่หูฟังตามองรับรู้ทุกสิ่งพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง