เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 2
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 2 บุคคลสำคัญมาเยือน
เมืองฉางอันในปีนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น เวลาในการทำการค้าในตัวเมืองถูกจำกัดช่วงเวลาซึ่งสามารถทำการค้าได้เพียงสามยามเท่านั้น ร้านแผงลอยบนถนนจูเชวี่ยจะถูกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของเมืองจับคนและยึดสินค้าส่งเข้าห้องขัง จะซื้อน้ำส้มสายชูสักขวดต้องเดินทางกว่าครึ่งเมืองฉางอัน ทำให้เด็กๆ ที่รอกินเกี๊ยวอยู่ที่บ้านรู้สึกเลวร้ายเพียงใด
คนในแดนกวนจงไม่ชอบทำการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งมักดูหมิ่นพ่อค้า ร่ำรวยในผลกำไรแต่กลับถูกเหยียดหยามว่าไม่มีบรรพบุรุษ แต่เหอเซ่าไม่สนใจเพราะบรรพบุรุษของเขาเป็นขอทาน แน่นอนว่าเขาจึงไม่สนใจว่าจะถูกเหยียดหยามหรือไม่ ในห้องโถงบ้านเขาแขวนอักษรคำสอนบรรพชนเอาไว้ว่า “แผ่นฟ้ายิ่งใหญ่ ผืนดินกว้างใหญ่ กินข้าวเรื่องใหญ่ที่สุด” เพื่อเรื่องปากท้องแล้วแม้อยู่ในฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเว่ยกลับไม่สนใจคำครหาใดๆ พยายามจะทำการให้เจริญรุ่งเรืองให้จงได้
ในตรอกของแต่ละเมืองเขาได้ซื้อที่ดินผืนเล็กๆ เอาไว้ เตรียมที่จะเปิดร้านขายของชำตั้งแต่เข็มเย็บผ้าจนถึงผักสดไม่มีอะไรที่ไม่มี แม้ว่าที่บ้านเจ้าต้องการม้าที่ใหม่ที่สุดที่สามารถลากรถม้าไปทั่วทุกพื้นที่ได้ ร้านขายของชำแห่งนี้ก็จัดหาให้ได้
ตรอกทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดแห่งเขาสร้างร้านค้ารวมทั้งสิ้นแปดสิบร้าน นี่ถือเป็นการค้าขายอันดับหนึ่งในเมืองฉางอันเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่ามีผู้ถือหุ้นมากเกินไปเสียหน่อย หลี่เฉิงเฉียนก็ทุ่มลงมาสองร้อยก้วน ต้องการส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าการตัดสินใจของเขาเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเสมอมา เงินสองร้อยก้วนก็กลับคืนสู่มือเขาในเดือนที่สาม ร้านขายของชำแห่งนี้ที่เรียกว่าเผียนอี๋ฟาง ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินสองร้อยก้วน แต่เป็นเพราะร้านขายของชำมีเงินจำนวนมากไหลเข้ามาทั้งยังเข้ามาอย่างต่อเนื่องอยู่เสมออีกด้วย
ณ ที่แห่งนี้ไม่มีใครเสียเปรียบ หลี่เฉิงเฉียนได้ส่งขันทีมาตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดของร้านขายของชำตั้งแต่ต้นจนจบโดยเฉพาะอีกด้วย ชาวเกษตรกรมอบผักสดแล้วยังมีไก่ เป็ด ห่าน ไข่และหมู รวมถึงปลาดุกปากกว้างที่ไม่ค่อยมีก้างอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีหนังสือสัญญาทั้งสิ้น เกษตรกรจะมาสรุปบัญชีกับร้านค้าเดือนละครั้ง ราคายุติธรรมและไม่มีเรื่องการดูหมิ่นเกษตรกรเกิดขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับกฎของพ่อค้าและเกษตรกรก็ยอมรับด้วย
รถม้าส่งสินค้าไปยังร้านค้าทุกแห่งในเมืองฉางอันอย่างไม่ขาดสาย จากนั้นร้านค้าก็จะขายสินค้าให้กับชาวบ้านในตรอกอีกทอดหนึ่งด้วยราคาสินค้าตลาดมือสองเพียงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเขาไม่ต้องเดินทางไกลไปซื้อ ชาวบ้านในตรอกเองก็ได้ผลพลอยได้ไปด้วย
ขันทียืนดูร้านขายของชำที่ว่างเปล่าแต่ถูกเติมเต็มไปด้วยสินค้าในช่วงครึ่งวันเช้าตาปริบๆ กระบวนการร้านในขั้นตอนนี้ร้านขายของชำไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่เหวินเดียว ช่างฝีมือเหล่านั้นแย่งกันส่งมอบสินค้าให้กับร้านและบางคนยังมอบของขวัญให้อีกด้วย
ในวันสุดท้ายของสิ้นเดือน ในห้องโถงใหญ่ของร้านขายของชำที่สร้างขึ้นใหม่บนตลาดน้ำในตรอกซิ่งฮว่าฟางมีฝูงชนจำนวนมาก เจ้าหน้าที่บัญชีสิบสองคนนั่งเรียงแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งโดยแบ่งกันตามประเภทของสินค้า จ่ายเงินให้กับผู้ที่นำสินค้ามาส่ง รถบรรทุกเงินถูกขนส่งเข้ามาทีละคันๆ สีเหลืองทองเงาวิบวับก็ถูกกองอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ถุงผ้าป่านใบใหม่เมื่อใส่เงินจนเต็มแล้วจะจ่ายตามตั๋วเงิน ทำงานวุ่นวายกันอย่างคึกคัก
ผู้จัดเก็บภาษีของเขตนั่งอยู่ข้างๆ “ภาษีสิบห้าจ่ายหนึ่ง” ทุกคนที่ได้รับค่าสินค้าแล้วต้องมาบริเวณจัดเก็บภาษีเพื่อชำระค่าภาษี ผู้จัดเก็บภาษีไม่กล้าเก็บมากเกินไป องครักษ์ที่รัชทายาทส่งมาในมือกำดาบไว้และยืนอยู่ด้านข้าง
พวกพ่อค้าไม่เคยชอบที่จะจ่ายภาษีเหมือนเช่นในตอนนี้เลย ค่าภาษีสิบห้าจ่ายหนึ่งนั้นง่ายมาก ข้าขายม้านั่งไม้ได้เงินสามก้วน ต้องจ่ายภาษีสองร้อยเหวิน ซึ่งพร้อมจ่ายแล้ว แต่ที่บ้านขายพรมได้อีกสองก้วนต้องจ่ายภาษีพร้อมกันเลยไหม
สีหน้าของผู้เก็บภาษีเริ่มยิ่งดำมากขึ้นเพราะเงินในตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผู้เก็บภาษีก็แทบจะร้องไห้ออกมา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะให้ผู้จัดเก็บภาษีทั้งต้าถังอยู่ต่อได้อย่างไร
มีชายชราสองคนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน คนหนึ่งใบหน้าดำเหมือนชาวนาและอีกคนใบหน้าผอมบางลูบเคราใต้คางของเขาเป็นครั้งคราวราวกับเป็นอาจารย์สอนหนังสือท่านหนึ่ง
“พี่เสวียนเฉิง หากให้จ่ายภาษีด้วยเงินเหรียญทองแดงเช่นนี้ต่อไป ไม่มีคนจำพวกที่ต้องเช่า คนธรรมดา พวกพื้นๆ หรือพวกที่ต้องคอยอบรมสั่งสอน การจะเกิดสภาพความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ในต้าถังเราเหมือนเมื่อสมัยฮั่นเหวินจิ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร น่าเสียดายที่เกิดขึ้นที่เผียนอี๋ฟางเพียงแห่งเดียว หากมีหลายๆ ที่คงจะดีไม่น้อย”
“พี่เสวียนหลิง เรื่องที่ข้าให้ความสำคัญไม่ใช่จำนวนภาษีที่จ่าย แต่เป็นสีหน้าของผู้จัดเก็บภาษี ชาวบ้านจ่ายภาษีอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาเพียงแค่ฃออกใบรับรองการชำระภาษีก็เสร็จสิ้นแล้ว การเก็บภาษีราบรื่นถึงเพียงนี้พวกเขาควรจะดีใจจึงจะถูก เหตุใดจึงมีสีหน้าราวกับบิดามารดาตายจากเช่นนี้ ข้าอยากจะค้นหาสาเหตุให้ชัดแจ้งและจะได้ข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดภาษีการค้าของต้าถังจึงได้ไม่เพียงพออย่างรุนแรง”
เหอเซ่าน้อมกายคารวะและยิ้มพลางพูดว่า “เรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ หากเป็นใครก็ย่อมต้องอยากได้สักเล็กน้อย ตอนนี้ในที่เผียนอี๋ฟาง ชาวบ้านจ่ายภาษีอย่างถูกต้องชัดเจน พวกเขาอยากจะเล่นตุกติกอะไรบ้างก็ทำไม่ได้ ไม่ร้องสิจึงเป็นเรื่องแปลก”
เว่ยเจิงเกลียดท่าทีที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของเหอเซ่าเป็นอย่างมาก สะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียง ฮึ แต่ไม่พูดอะไร ฝางเสวียนหลิงกลับยิ้มแล้วตอบว่า “เมื่อเห็นเบาะแสแล้ว คิดว่าวิธีการดั่งสายฟ้าฟาดของพี่เสวียนเฉิงคาดว่าคงต้องทำให้พวกเขาลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตแน่”
ขันทีจำคนทั้งคู่ได้แต่ไม่กล้าเปิดเผยฐานะ จึงได้แต่เข้าไปคารวะ เว่ยเจิงถามว่า “หลายวันที่ผ่านมานี้เจ้าได้ติดตามดูกระบวนการมาโดยตลอด พบสิ่งผิดปกติบ้างหรือไม่”
“เรียนเว่ยซื่อจง หลายวันนี้ข้าน้อยได้เฝ้าดูทุกขั้นตอนซึ่งล้วนแล้วแต่มีตั๋วให้ตรวจสอบ ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ เพียงแต่มันแปลกตรงที่ว่า นายอำเภอเหอเพียงแค่ซื้อร้านค้าไว้และส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการเช่าด้วย ด้านในร้านค้าก็ว่างเปล่าล้วนแล้วแต่เป็นพวกพ่อค้ารายเล็กๆ เหล่านี้ที่นำสินค้าเข้ามาเอง เจ้าของร้านของเผียนอี๋ฟางก็ยังเลือกแล้วเลือกอีก หากเป็นของเกรดรองลงมาเพียงเล็กน้อยก็ไม่รับ ข้าน้อยจึงรู้สึกแปลกใจ พวกเขาไม่มีสินค้าอะไรเลยทั้งยังไม่ได้จ่ายเงินแม้แต่เหวินเดียว กลับร่ำรวยได้ถึงเพียงนี้ทำให้ทุกคนต่างได้ผลดีกันถ้วนหน้า นี่มันเป็นเพราะเหตุใดกัน”
ฝางเสวียนหลิงหันกลับมามองที่เหอเซ่าเพื่อรอคำอธิบายของเขา เหอเซ่าหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า ”กลวิธีเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร เมื่อพูดต่อหน้าทั้งสองท่านช่างเป็นการดูถูกบรรพชนจริงๆ ทุกท่านได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยได้รักษาหน้าเอาไว้ด้วยเถอะ”
ในเมื่อคนเขาไม่อยากพูด พวกเขาก็ไม่สามารถบีบบังคับได้ เผียนอี๋ฟางของเหอเซ่าไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย แต่พ่อค้าร้านเล็กๆ และเกษตรกรเหล่านั้นสมัครใจมาเก็บเงินทุกๆ สิ้นเดือน ทางการก็ไม่สามารถบังคับให้พวกเขาทำการซื้อขายในลักษณะมอบของแล้วจ่ายเงินได้เสียด้วยกระมัง
นี่คือหลักการของซุปเปอร์มาร์เก็ต อวิ๋นเยี่ยเคยพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังว่าเขาเองก็รู้เพียงงูๆ ปลาๆ รู้จักแต่เพียงการสร้างสถานที่ขายของอยู่บ้างโดยการให้คนอื่นเข้ามาขายของ นี่เป็นส่วนเสริมอย่างหนึ่งของการค้าเชิงพาณิชย์ของฉางอันที่ขาดหายไปในตอนนี้
ด้วยความเจ้าเล่ห์ของเหอเซ่าทางด้านการค้าที่แอบแฝงอยู่ หากไม่สอบถามเรื่องหลักการตลาดซุปเปอร์มาเก็ตให้เข้าใจชัดเจนจะไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน
หมวกของโอรสสวรรค์ถูกหลี่ซื่อหมินนำมาสวมไว้บนศีรษะของเขาอย่างมั่นคง ใต้หล้าล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานของเขา หลังจากเซ่นไหว้ฟ้าดินแล้วการขัดต่อมติสวรรค์ ราชาแดนเถื่อนคนที่สิบเอ็ดแห่งหลิ่งหนานมีเจตนาร้ายจึงถูกตัดศีรษะเสียบประจาน เพื่อให้พวกต่างเผ่าที่เอาแต่วางท่าทีจะหาเงินรางวัลก้อนโตซึ่งในใจยังคิดว่าตนยังโชคดีอยู่เหล่านั้นรู้สึกหวาดเกรงอย่างที่สุด
ในช่วงต้นเดือนห้าของปีรัชศกเจินกวนที่สี่ มีบุคคลสำคัญท่านหนึ่งมาเยือนฉางอัน บนถนนทั่วเมืองฉางอันถูกล้างด้วยน้ำสะอาด ใช้ดินแดงทำถนน แม้กระทั่งสถานที่ก่อสร้างของตรอกซิ่งฮว่าฟางที่หลายวันนี้ก็เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการก่อสร้างแล้วยังหยุดงานหนึ่งวัน นี่เป็นการออกเดินทางอย่างเป็นทางการของโอรสสวรรค์ซึ่งไม่ได้ทำเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว ฮ่องเต้มักพูดเสมอว่าการพลีชีพสละทรัพย์ทำไปก็เพื่อเขาแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ที่ดีสมควรทำแต่ตอนนี้กลับดำเนินการอย่างเปิดเผย ทั้งยังมีคำสั่งให้กลางคืนสามารถจัดงานครึกครื้นรื่นเริงได้ ประกาศห้ามออกจากเคหะสถานช่วงค่ำคืนให้ยืดเวลาออกไปอีกสองชั่วยาม ทำให้ชาวบ้านเมืองฉางอันอดวิพากวิจารณ์ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
โชคดีที่ไม่ได้หลงงมงายเป็นเวลานานนัก ในวังก็มีข่าวประกาศออกมาว่าผู้บัญชาการแห่งเกาโจว ฐานันดรศักดิ์ซั่งจู้กั๋วและอู่กั๋วกงเฝิงอั้งเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝางเสวียนหลิงนำขุนนางหนึ่งร้อยคนไปรอต้อนรับเฝิงอั้งที่นอกเมืองสามสิบลี้ จากนั้นฮ่องเต้จะเดินเท้าออกจากวัง รอต้อนรับหลานชายของเสี่ยนฮูหยินแม่ทัพใหญ่ผู้สร้างคุณูปการที่โดดเด่นท่านหนึ่งที่ทำเพื่อประชาชนซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตระกูลของเฝิงอั้งได้รับการด้วยประเพณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเกินเลย ในสมัยปลายราชวงศ์สุย แม่ทัพใหญ่ผู้องอาจกล้าหาญท่านนี้ได้ควบคุมพื้นที่ไว้สองพันลี้ซึ่งมากกว่าจ้าวถัวในสมัยราชวงศ์ฮั่นเสียอีก บางคนเกลี้ยกล่อมให้เขาถือโอกาสที่ตระกูลหลี่แห่งต้าถังยังยืนหยัดไม่นิ่งเลียนแบบจ้าวถัวตั้งตนเป็นอ๋องของประชา แต่กลับถูกแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ตระกูลข้าตั้งรกรากอยู่ที่หนานเย่ว์เป็นเวลาห้าชั่วอายุคนแล้ว ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนแห่งหลิ่งหนาน มีแต่ข้าที่มีแซ่ ลูกหลานและทรัพย์สินเงินทองข้ามีหมดแล้ว ผู้ที่มีชีวิตร่ำรวยเช่นข้านั้นมีไม่มาก ข้ามักเป็นกังวลเสมอว่าจะต้องทำเช่นไรจึงจะไม่ผิดต่อบรรพชนผู้สร้างความดีความชอบไว้ จะกล้าตั้งตนเป็นอ๋องได้อย่างไร!”
ปีแรกแห่งรัชศกเจินกวน เฝิงอั้งเคยปฏิเสธที่จะมาเมืองหลวงไปแล้วครั้งหนึ่ง พูดอย่างหงุดหงิดว่าเขารู้สึกรังเกียจกับสิ่งที่หลี่ซื่อหมินทำลงไปเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินที่อับอายและโกรธมากเตรียมที่จะส่งทหารราบแห่งเจียงหลิ่งไปบุกโจมตี แต่ถูกเว่ยเจิงห้ามปรามไว้
ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเว่ยเจิงนั้นถูกต้อง เฝิงอั้งไม่ได้ก่อกบฏในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะลงมือ เหตุใดจะต้องรอให้แผ่นดินสงบสุขแล้วค่อยก่อกบฏ เพื่อให้หลี่ซื่อหมินที่เป็นคนขี้ระแวงยอมวางใจ ลูกชายคนโตของเขาเฝิงจื้อไต้จึงถูกส่งเข้ารับราชการรับใช้ฮ่องเต้ ตอนนี้อยู่ในสำนักศึกษา
เจ้าหนุ่มคนนี้หลังจากพบโกศจุฬาลัมพาซึ่งเป็นยาดีในการรักษาโรคเพื่อป้องกันโรคมาลาเรียได้ ได้รับเงินรางวัลสองก้วน ก็ป่าวประกาศคุยโม้โอ้อวดในสำนักศึกษา ทั้งยังขอให้อาจารย์หลี่กังช่วยเขียนคำสรรเสริญสี่ฮูหยินบรรพชนของเขาให้แก่เขาและขอให้ซุนซือเหมี่ยวตรวจร่างกายของบิดาเขาอีกด้วย สองท่านแรกคิดราคาเพียงครึ่งเดียวอย่างมีสติ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยผู้ที่ถูกเชิญมาเป็นพ่อครัวปรุงอาหารเก็บเขาหนึ่งก้วนอย่างไม่ปราณี
แม่เฒ่าได้ยินชื่อเสียงของเฝิงอั้งมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะผลงานทางการศึกของเขา แต่เป็นเพราะเขามีลูกชายสามสิบคน ตอนนี้นางอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงเอาแต่จ้องมองที่ท้องของซินเย่ว์ เมื่อเห็นซินเย่ว์ยังเดินได้อย่างคล่องแคล่ว กริยาคล่องแคล่วปราดเปรียวก็ทอดถอนใจ ทำไมจึงยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หากปลูกหัวไชเท้าแล้วก็ต้องรอให้ถึงเวลาจึงจะเก็บเกี่ยวได้ ท่านย่านั้นรออุ้มหลานจนร้อนใจแล้ว ซินเย่ว์ได้รับอิทธิพลจากอวิ๋นเยี่ยจนคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้แล้ว รวมทั้งนางเองก็มีสุขภาพแข็งแรง ท่านหมอซุนก็บอกว่าเรื่องการจะมีบุตรนั้นก็อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ไม่ต้องร้อนใจไป ดังนั้นจึงเริ่มปล่อยวาง รับอำนาจเด็ดขาดในการดูแลเรือนหลังของตระกูลอวิ๋นอย่างสุดกำลัง ปล่อยให้ท่านย่าโศกเศร้าอยู่คนเดียว
รายการอาหารที่เฝิงอั้งสั่งนั้นจัดเตรียมได้ยาก จื้อไต้บอกว่ารสชาติที่บิดาเขาชอบนั้นง่ายมาก เขากินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็กล้ากิน ค่อนข้างจะมีบุคลิกของชาวหลิ่งหนานรุ่นหลังอยู่บ้าง
ปูนั้นขาดไม่ได้ เพียงแต่วิธีการกินในตอนนี้นั้นทำให้ไม่กล้าแนะนำให้จริงๆ อาหารจานหนึ่งที่มีน้ำตาลเหนียวหนืดถูกยกเข้ามา จั่งซุนชงยังถามอย่างภูมิใจว่าไม่เคยกินสิ่งนี้หรือ เมื่อเห็นสายตาที่เยาะเย้ยของอวิ๋นเยี่ย จึงได้แต่เก็บอาการโอ้อวดอย่างหน้าแตก
หากได้กินสักมื้อแล้วจะไม่มีวันลืมมันเลย ไม่มีอะไร ก็เพียงแค่กินน้ำตาลเท่านั้นเอง รสชาติความสดของปูไม่ได้ลิ้มรสเลยแม้แต่น้อย เหมือนกินแต่เพียงน้ำตาลอย่างเดียว
ปูนึ่งกินพร้อมขิงและเหล้าก็ดีมากมายแล้ว ภายใต้คำร้องขออย่างดึงดันของจื้อไต้ว่าหมูสามชั้นตุ๋นซอสแดงห้ามขาด ลูกชิ้นปลาห้ามขาด ซี่โครงหมูหวานห้ามขาด ไก่ย่างยากจกอย่างน้อยก็ต้องทำสองตัว ท่านพ่อเป็นคนกินเก่ง แต่ละมื้อจะกินข้าวหกกิโลกรัม
เรื่องอื่นยังพอคุยกันได้ แต่เรื่องอาหารหนึ่งมื้อกินข้าวหกกิโลกรัมที่ฟังดูเกินจริงนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยหงุดหงิดมาก เหล่มองจื้อไต้ให้เขาพูดให้ชัดเจน กระเพาะอาหารของพ่อเจ้าใหญ่เพียงไหน จะเอาหกกิโลกรัมหรือ หนึ่งกิโลกรัมก็เพียงพอให้พ่อเจ้ากินแล้ว เกลียดคำคุณศัพท์ที่พวกเขาชอบใช้ที่สุดเลย อย่าว่าแต่ไม่ถูกต้องและบางครั้งทำให้เกิดความกำกวมอีก