เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 22
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 22 แววตาแห่งแรงกดดันที่รายล้อม
ลานบ้านเล็กๆ เงียบลงในทันใด พ่อบ้านเฉียนทงเคาะประตูของลานบ้านที่เปิดอยู่เบาๆ หลังจากซ่านอิงอนุญาตแล้วเขาจึงเดินเข้ามาและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหว คนของสถานศึกษามารายงานว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว”
หลังจากพูดจบก็ยืนค้อมตัวอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยและไม่ขยับเขยื้อนอีก
ก่อนมาได้ตกลงกันไว้แล้ว่า ถ้าทางสถานศึกษาเตรียมพร้อมแล้ว เหล่าเฉียนจะมารายงานว่ายังไม่พร้อม ถ้ายังไม่พร้อมจะรายงานว่าเตรียมพร้อมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะคิดทำการอะไร เขาก็ยังสามารถเหลือทางหนีทีไล่ได้อย่างดี เมื่อได้ยินเหล่าเฉียนรายงานดังนี้แล้วอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าจะต้องมีสิ่งผิดปกติกับสถานศึกษาเป็นแน่ บอกได้เลยว่าตาเฒ่ากงซูมู่จะต้องมีกลไกที่มีพิษสงมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน และเตรียมที่จะจับซ่านอิงมาเป็นหนูทดลอง
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าทำอะไรล้วนแล้วแต่ตัดรากถอนโคน เจ้าวางใจเถอะ ไม่มีใครคิดว่าข้าทำอะไรที่ไม่ควรทำ คนที่เห็นหน้าข้าล้วนตายไปหมดแล้ว” นอกจากจะเป็นพวกที่อายุน้อยเสียหน่อย ซ่านอิงเป็นคนที่จับจุดจิตใจคนได้อย่างแม่นยำ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยลังเลก็รู้ว่าเขากังวลเกี่ยวกับเรื่องของตนจะถูกเปิดเผยและทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ดังนั้นจึงเอ่ยปากอธิบาย
“ข้าเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงข้องเกี่ยวกับบุคคลคนนั้นได้ พวกเจ้าน่าจะเป็นคนที่อยู่กันคนละโลก” ไม่ว่าจะคิดอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็นึกไม่ออกถึงความเป็นมาเป็นไปได้เลย
“มีอยู่วันหนึ่งข้าไปจับหมูที่นอกหมู่บ้าน มีหญิงคนหนึ่งที่แบกเด็กคนหนึ่งวิ่งหนีมา ชายร่างใหญ่สองคนไล่ตามหลังนางมา หลังจากตามนางทันก็ฉีกเสื้อผ้าของหญิงคนนั้น เดิมไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า การฆ่าข่มขืนและการปล้นเป็นพฤติกรรมทั่วไปของพวกโจร เป็นโจรถ้าไม่ทำเรื่องไม่ดีหรือจะให้ทำเรื่องดี พวกเขาก็ข่มขืนคนของพวกเขาไป ข้าก็ไล่ต้อนหมูของข้าไป พวกเราน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง…
ใครจะรู้ว่าเมื่อพวกเขาเห็นข้าเข้ามากลับไม่ข่มขืนแล้ว ยกดาบขึ้นคิดจะจัดการข้าทิ้ง ซึ่งนี่เป็นความผิดของพวกเขา ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะจับพวกเขาขายให้สถานที่คุมขังของทางการเสีย ที่นั่นรับคนทุกประเภท ขอเพียงแค่แข็งแรงและแข็งแกร่ง เจ้าหน้าที่มักจะรู้สึกว่าแรงงานขุดถ่านหินไม่เพียงพอ ทั้งยังเสียชีวิตเร็วอีก เหล่านักโทษส่งมาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ข้าบอกว่าผู้ชายสองคนนี้เป็นโจรที่แข็งแกร่ง เจ้าหน้าที่ไม่แม้แต่จะถามก็ให้รางวัลข้าเป็นจำนวนสองก้วน ซึ่งคุ้มค่ากว่าการขายหมูเสียอีกและยังบอกกับข้าว่า ต่อลงไปหากมีโจรที่แข็งแกร่งเช่นพวกเขาให้ส่งมาที่นี่ ไม่แบ่งแยกประเภทและชนชั้น ค้าขายอย่างเป็นธรรม”
ซ่านอิงพูดอย่างราบเรียบ อวิ๋นเยี่ยและพ่อบ้านเฉียนฟังจนเสียวสันหลัง เหมืองถ่านหินเป็นธุรกิจของอวิ๋นเยี่ยและจั่งซุน ตระกูลอวิ๋นถือครองส่วนแบ่งสองส่วนจากสิบ จั่งซุนเพียงคนยึดครองถึงแปดส่วนของทั้งหมด โดยปกติแล้วในแต่ละเดือนตระกูลอวิ๋นจะทำเพียงรอรับเงิน แต่ไม่เคยสนใจว่าเงินจะมาจากไหนและได้มาอย่างไร ได้ฟังเรื่องน่าหวาดกลัวที่ซ่านอิงเล่าแล้วก็ดูเหมือนว่าขอเพียงแค่มีคนส่งเข้าไป เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจว่าจะมีที่มาที่ไปอย่างไร จะเป็นคนดีหรือคนเลว
อวิ๋นเยี่ยจ้องหน้าเฉียนทง ตระกูลอวิ๋นกลายเป็นผีดูดเลือดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพื่อเงินเพียงไม่เท่าไหร่ แต่ต้องเอาชื่อเสียงเข้าไปเสี่ยงด้วยมันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย คาดว่าเจ้าซ่านอิงคนนี้อาจจะพอรู้ว่าเป็นธุรกิจของตระกูลอวิ๋น จึงจงใจพูดให้ฟังดูน่ารังเกียจ
“เจ้าหน้าที่พวกนั้นทำอะไรเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้ายังไม่ได้พูดเรื่องของเจ้าเลย” หากตระกูลอวิ๋นทำอะไรผิดพลาดยังแก้ไขได้และต้องแก้ไขด้วย แต่จะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมาหาเรื่องจับผิดได้เด็ดขาด นี่คือกฎ
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าชายทั้งสองคนถูกข้าขายให้กับสถานที่คุมขังก่อนจะขายข้าก็จำเป้นต้องถามทุกอย่างให้ชัดเจนได้ยินว่าพวกเขาเผาเมืองฉางอัน แน่นอนว่าข้าย่อมต้องดีใจดังนั้นจึงถามพวกเขาว่าแท้จริงแล้วใครทำกันแน่ สุดท้ายก็ถูกข้าถามออกมาจนได้ ผู้นำก็คือเจ้าของร้านขายปลาที่ตลาดสดร้านนั้น คิดไม่ถึงว่าโจวต้าฝูอ้วนๆ คนนั้นจะเป็นคนดีเพียงนี้ ดังนั้นข้าจึงเผลอบอกเขาเกี่ยวกับครอบครัวของตนเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาลองใจข้าตั้งหลายครั้งและท้ายที่สุดก็เห็นว่าข้ามีฝีมือพอตัวจึงชวนให้ข้าเข้าร่วมทำการใหญ่ เรื่องก็เป็นเช่นนี้”
ซ่านอิงบอกว่าไม่ต้องให้ใครตามเก็บกวาด เช่นนั้นก็แปลว่าไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้อย่างแน่นนอน สำหรับเจ้าหน้าที่พิเศษของหน่วยข่าวกรองที่เสียชีวิตไปหลายคนนั้น ในเมื่อตายแล้วก็ปล่อยไป พวกที่ทำภารกิจพิเศษจะมีคนดีสักกี่คนกัน แม้หากเป็นหงเฉิงเสียชีวิตอย่างมากที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็ไปที่บ้านของเขาเพื่อไว้ทุกข์ให้ ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กกำพร้าและหญิงหม้ายมากเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง
ประเด็นสำคัญเลยอยู่ที่ซ่านอิงคนนี้ อวิ๋นเยี่ยอยากดึงเขากลับไปยังตระกูลอวิ๋นเป็นอย่างมาก ยังเด็กและไร้เดียงสา เป็นวรยุทธ์แข็งแกร่ง ทั้งยังเติบโตมาในหมู่โจร พวกปีศาจมารร้ายในยุทธภพคาดว่าคงหนีสายตาเขาไม่พ้น เป็นยอดอัจฉริยะบุคคลที่ควรค่าแก่การได้มาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เจ้าหนุ่มคนนี้มักจะเพ่งเล็งต้ายาอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเศร้าไปหน่อย อวิ๋นเยี่ยไม่ได้วางแผนที่จะยกน้องสาวให้แต่งงานกับพวกที่เอาชีวิตไปเสี่ยง หากให้มาเป็นผู้ช่วยนั้นยังพอพิจารณาได้ แต่ให้เป็นน้องเขยคงไม่ไหว
“เขาวงกตของสถานศึกษาเปลี่ยนแปลงร้อยแปด ข้าเกรงว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ข้าว่าพรุ่งนี้กลางวันเราค่อยพิสูจน์กัน เจ้าชอบฆ่าหมูเช่นนั้นก็อยู่ในร้านฆ่าหมูของเจ้า ไม่มีใครมาหาเจ้าแน่ หลังจากที่ล้มเหลวในการฝ่าเขาวงกตในวันพรุ่งนี้ เจ้าจงไปเข้าเรียนในสถานศึกษา ภายหน้าหาตำแหน่งขุนนางเสีย แล้วหาภรรยาเพื่อสืบทอดวงตระกูลจะดีกว่า อย่าเอาแต่ระเหเร่ร่อนอีกเลย”
“เจ้ามั่นใจว่าข้าจะต้องล้มเหลวในการฝ่าเขาวงกตอย่างแน่นอนถึงเพียงนี้เชียว” ซ่านอิงรับไม่ได้และถามอย่างเสียงแข็ง
“เจ้าลองถามพ่อบ้านของข้าว่าเขามีความมั่นใจในการฝ่าเขาวงกตของเจ้าหรือไม่” เฉียนทงส่ายศีรษะทันทีราวกับลูกคลื่นเพื่อแสดงว่าเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าหากข้าจะแต่งงานก็จะแต่งกับต้ายา ท่านพี่เมีย ขอให้ท่านเตรียมสินสอดทองหมั้นเอาไว้เถอะ มีจดหมายอยู่หลายฉบับที่อาจารย์ข้าได้มอบให้กับฉินซูเป่า เฉิงจือเจี๋ย และหลี่ซื่อจี เจ้าค่อนข้างคุ้นเคย เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปแล้ว เจ้าช่วยข้านำไปส่งให้พวกเขาก็พอ”
ซ่านอิงหยิบจดหมายสามฉบับออกมาจากอกเสื้อของเขาแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยรับจดหมายมาแล้วดูตราประทับ ด้านบนกลับเขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘เจ้ารู้ว่าข้าคือใคร’ ตอนนี้ในบรรดาสามคนมีเพียงฉินฉยงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในฉางอัน อีกสองท่านที่เหลือนั้นนำทัพอยู่ในกองทัพ หากต้องการให้กลับมาอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ทว่ามีความสัมพันธ์กันก็ดี ปัญหาเกี่ยวกับฐานะของชายคนนี้เป็นปัญหายุ่งยาก ปล่อยให้พวกเขาสามคนไปปวดเศียรกันบ้าง ตนเองรั้งตัวคนคนนี้ไว้ก็พอแล้ว
“ทั้งสามท่านนั้นล้วนแล้แต่เป็นผู้อาวุโสของเจ้า จะเรียกท่านลุงท่านอาสักคำจะตายหรืออย่างไร” ฟังออกว่าเด็กคนนี้ยังคงมีความแค้นอยู่ในใจ
คราวนี้ซ่านอิงไม่โต้แย้งอวิ๋นเยี่ย ก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ข้าไปขอลองทดสอบที่สถานศึกษาดูสักหน่อย” เมื่อพูดจบก็ย่อตัวเหยียบระเบียงไม้กระโดดขึ้นไปบนหลังคา หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
…
เมื่อกลับถึงบ้านสิ่งแรกที่อวิ๋นเยี่ยทำก็คือเรียกต้ายามาพบและสั่งให้นางคืนนี้นอนกับซินเยวี่ย ตนเองจะนอนห้องด้านนอกซึ่งต้องเฝ้าให้ดี หากถูกเจ้าหมาป่าอย่างซ่านอิงฉกตัวไป ตนเองไม่ต้องนั่งร้องไห้จนตายหรือ
เมื่อออกคำสั่งฆ่าต่อทหารยามแล้วขอเพียงแค่มีคนกล้าที่จะเข้ามาในลานหลังบ้าน ก็สามารถใช้ปืนผาหน้าไม้ทักทายได้โดยไม่ต้องปรานี
นั่งเบิกตากว้างไม่หลับทั้งคืน ที่บ้านก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ตอนนี้ก็ใกล้ฟ้าสางแล้ว อวิ๋นเยี่ยบิดขี้เกียจและมองเข้าไปในห้องเห็นซินเยวี่ยและต้ายายังหลับอยู่จึงค่อยวางใจ นวดๆ ใบหน้าตนเองขณะที่ผลักประตูเตรียมจะออกไป ก็ได้ยินเสียงของต้ายาดังขึ้น “พี่ชาย ท่านอย่าทำร้ายคนขายหมูได้หรือไม่ เขาไม่มีเจตนาร้าย”
“เจ้าไปนอนของเจ้าต่อ เรื่องภายนอกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้าเพียงแค่เติบโตขึ้นอย่างมีความสุขก็พอแล้ว” หรือว่าแม่หนูนี่ก็เริ่มรู้สึกดีๆ ต่อซ่านอิง อวิ๋นเยี่ยบ่นงึมงำจนแปรงฟันอาบน้ำเสร็จ แล้วนำอาหารหนึ่งห่อไปวางไว้บนหลังวั่งไฉและนั่งรถม้าลากไปที่สถานศึกษา บรรดาทหารผ่านศึกก็ขี่ม้าคอยคุ้มกันอยู่โดยรอบ
เมื่อถึงประตูสถานศึกษา เหล่ากงซูก็ดวงตาแดงก่ำ ตื่นตาตื่นใจอย่างที่สุด พูดกับอวิ๋นเยี่ยจากระยะไกล “คนที่เจ้าบอกว่าจะมาฝ่าเขาวงกตล่ะอยู่ที่ไหน เมื่อคืนนี้ข้าได้ออกแบบกลไกเพิ่มมาสองอย่าง ไม่รู้ว่าคนที่เจ้าหามาจะฝ่าด่านและรอดปลอดภัยออกไปได้พ้นวันนี้หรือไม่ แม้ว่ามันจะไม่ใช่กลไกที่โหดร้ายอะไรถึงชีวิต แต่ถ้าอยากจะออกมาอย่างไร้บาดแผลเลยละก็ ข้าบอกได้เลยว่าฝันเฟื่อง”
“หลังการทดสอบแล้วจึงจะรู้กัน จะมาพูดตอนนี้มันเร็วเกินไปหน่อยนะ” ซ่านอิงกระโดดจากต้นไซเปรสที่ปลูกอยู่หน้าประตูของสถานศึกษา สวมชุดเข้ารูปและรวบผมหางม้าไว้ด้านหลัง ซึ่งก็ดูดีมีความองอาจดั่งชาวยุทธ์
อวิ๋นเยี่ยหยิบห่อผ้าลงจากไหล่เตรียมจะส่งให้ซ่านอิงเพื่อให้เขากินให้อิ่มก่อนที่จะไปฝ่าเขาวงกต หลี่ไท่ยื่นมือออกมาจากด้านข้างและหยิบห่อผ้าไปอย่างไม่เกรงใจ วางลงบนพื้นและเปิดออกแล้วนำซาลาเปาหนึ่งลูกส่งเข้าปากตนเอง ในมือก็คว้าไว้อีกสองสามลูก ส่งเสียงพูดอื้ออึงอยู่ในลำคอพร้อมทั้งส่งซาลาเปาในมือส่งให้เหล่ากงซู
ซ่านอิงจ้องมองหลี่ไท่อย่างเคียดแค้น และถามอวิ๋นเยี่ยว่า “หมอนี่พูดอะไร”
“เขาบอกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องให้ของกินอะไรแก่เจ้ามากมายนัก เพราะเจ้าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเค่อก็ต้องหนีออกมาแล้ว จะให้กินอะไรมากมายทำไม” อวิ๋นเยี่ยแปลแทนหลี่ไท่
“ข้าต่อยเขาได้หรือไม่”
“หากเจ้าเป็นนักเรียนของสถานศึกษาแล้ว และแจ้งเอาไว้ก่อนที่เจ้าจะลงมือทำร้ายเขา ขอเพียงแค่เข้าเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ มันก็สมเหตุสมผล”
ซ่านอิงกินข้าวเร็วมาก ซาลาเปาสิบกว่าลูกถูกส่งลงท้องอย่างรวดเร็ว เปิดกระบอกน้ำไม้ไผ่แล้วดื่มชาสมุนไพรหมดกระบอกแล้วจึงเช็ดคาง เดินตรงไปยังประตูเมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็หันกลับมาและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เมื่อวานนี้ตกหลุมพรางเจ้า เสียเวลาไปเปล่าๆ ตลอดทั้งคืน จนทำให้เจ้าได้แก้ไขกลไกอย่างสมบูรณ์ เพียงแต่เห็นแก่ที่ให้อาหารเช้าข้า ข้ายกโทษให้เจ้าแล้ว”
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาคาบเรียนเช้า พวกชอบสอดรู้สอดเห็นก็แห่กรูกันออกมาจนหมด บ้างก็คาบซาลาเปาบ้างก็คาบหมั่นโถว ในมือถือชามโจ๊กไว้ ตะเกียบยังเสียบซาลาเปาหรือไม่ก็หมั่นโถวไว้อีกสองลูก รอดูละครลิงด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ
เป็นจริงดังคาด ในเวลาอันสั้นก็ซ่านอิงโผล่ศีรษะออกมาจากประตูตรงข้าม มองออกมาด้านนอก รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เหล่านักเรียนของสถานศึกษาก็โห่ร้องอื้ออึง ภายใต้แววตาแห่งแรงกดดันที่รายล้อม ซ่านอิงที่สองเท้ายืนอย่างมั่นคงก็กลับไปที่หน้าประตูเตรียมที่จะเข้าประตูอีกครั้ง แต่กลับก้าวพลาดเพราะเสียงหัวเราะโห่ร้องของเหล่านักเรียนจนเกือบจะล้มลง แต่ก็ด้วยความปราดเปรียวของเขา ใช้มือเดียวยันพื้นและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำให้นักเรียนในสถานศึกษาหัวเราะจนหงายท้อง ซึ่งพวกเขามีนิสัยเสียที่ชอบดูผู้มาใหม่ทำเรื่องน่าอับอายในเขาวงกต
ครั้งนี้ค่อนข้างนาน เสียงตึงตังๆ ก็ดังออกมาจากเขาวงกต “เด็กคนนี้ไปแตะกลไกหน้าไม้เข้า เจ้าไม่ต้องกังวล มันไม่มีหัวลูกศร หากโดนเข้าอย่างมากที่สุดก็เจ็บตัว เลอะผงปูนขาวเล็กน้อย จริงสิ เสี่ยวไท่ ข้าให้เจ้าปรับแรงยิงของรถยิงหน้าไม้เป็นระดับสาม เจ้าปรับหรือยัง”
“โอ้ ศิษย์ฟังผิดไปจึงปรับเป็นระดับสี่ คราวหน้าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก ขออาจารย์อภัยให้ด้วย” หลี่ไท่ยังคงมีท่าทีที่ชวนให้ต่อยจริงๆ อวิ๋นเยี่ยได้แต่ภาวนาว่าทักษะของซ่านอิงจะดีพอ คำภาวนายังไม่ทันได้คิดเลยก็ได้ยินเสียงดังอย่างกึกก้องจากในทางเดินราวกับว่ามีบางอย่างกำลังกลิ้งอยู่ เห็นเพียงซ่านอิงออกจากประตูและวิ่งหนีไปไกลในพริบตา ตื่นตกใจเหมือนสุนัขที่ไว้ทุกข์ จากนั้นก็มีก้อนหินยักษ์ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมนับไม่ถ้วนกลิ้งออกจากประตูตามมา อวิ๋นเยี่ยยืนดูจนหน้าซีดเผือด
“ไม่เป็นไร นี่เป็นลูกบอลไม้กลวง เพียงแค่เคลือบปูนซีเมนต์หนึ่งชั้นเท่านั้นเอง ไม่ทำให้ใครตายหรอก” เหล่ากงซูเหล่มองซ่านอิงที่ลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ถ้าเป็นก้อนหินจริง เขาคงถูกบดเป็นเนื้อสับตั้งนานแล้ว”
เมื่อซ่านอิงที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินดังนี้ก็รู้สึกอับอายขายหน้าจนพูดอะไรไม่ออก พวกนักเรียนน่าด่าเหล่านั้น ปากพลางเคี้ยวหมั่นโถวพลางรายล้อมกันเข้ามาวิพากวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับซ่านอิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งยังมีคนเสนอให้ความคิดเขา แต่โดยมากแล้วยังคงรอคอยดูเรื่องตลกของเขา
ซ่านอิงอายจะแทบจะแทรกแผ่นดิน ในใจตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าพวกสารเลว รอให้ข้าได้เข้าเรียนในสถานศึกษาก่อน จะจัดการพวกเจ้าทีละคนให้ครบทุกคนเลย”