เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 26
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 26 ความฟุ่มเฟือยและความมั่งคั่ง
ไหสุราของเฉิงเหย่าจินไม่เคยคำนึงถึงความประณีตสวยงาม เขาคลุกคลีตีโมงอยู่กับอารมณ์หยาบกร้านฮึกเหิมของท้องถิ่นตะวันตกวางไหสุราไม้โอ๊กดำเมื่อมลงบนโต๊ะ ดึงดูดสายตาของเหล่าแขกเหรื่อที่กำลังพยายามหาวิธีกำจัดขนมชิ้นยักษ์มาได้ทั้งหมด เสี่ยวยาคลานขึ้นไปบนโต๊ะตบไหสุราที่สูงกว่าตัวนางแล้วพูดกับหลี่กังว่า “ปู่หลี่ นี่เป็นของที่พี่ชายข้าปล้นมาจากบ้านลุงเฉิงเมื่อวานนี้ เขาหาสุราที่ฝังไว้ใต้ต้นไม้ไม่พบ ป่านนี้ยังกำลังโมโหโทโสอยู่ในบ้าน”
หลี่กังอุ้มเสี่ยวยาโถวลงมาจากบนโต๊ะด้วยความรักใคร่เอ็นดู ใช้นิ้วกดลงไปที่จมูกนางแล้วพูดว่า “ลุงเฉิงของเจ้าบำเพ็ญตนเป็นโจรมาค่อนชีวิตแย่งชิงแต่ของชาวบ้าน วันนี้มีคนแย่งชิงของเขาบ้าง นับว่ายากที่จะหาโอกาสเช่นนี้ได้ จะต้องดื่มสุรานี้ให้มากๆกันหน่อย”
แขกเหรื่อต่างหัวเราะกันครื้นเครง ฉินฉยงแตะหนวดเคราหัวเราะจนหอบตัวโยนพูดว่า “พี่น้องข้าคนนี้นิยมดื่มสุรามาทั้งชาติสุราที่ซุกซ่อนไว้จะต้องไม่ธรรมดา ไม่ดื่มไม่ได้แน่นอน”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มปรบมือแก้เก้อ คนรับใช้บ้านอวิ๋นรูปร่างกำยำสี่คนยกน้ำแข็งก้อนใหญ่ออกมาวางไว้ใต้เพิงไม้ ความรู้สึกร้อนอบอ้าวหายไปในทันที คนหนึ่งหยิบสว่านเจาะไม้ออกมา เพียงครู่เดียวก็เจาะรูเล็กๆที่ไหสุราไม้โอ๊กได้รูหนึ่งแล้วเอาท่อนไม้ไผ่ที่มีกลไกยัดใส่ในรูที่เจาะ กระบวนการทั้งหมดดำเนินการอย่างสะดวกง่ายดาย
คนรับใช้ที่เหลืออีกสามคนหยิบค้อนเงินเล็กๆออกมาจากตะกร้า ค่อยๆเคาะน้ำแข็งก้อนเล็กๆออกจากก้อนใหญ่แล้วเคาะออกเป็นก้อนขนาดข้อนิ้วมือ สาวใช้บ้านอวิ๋นยกถาดไม้ใหญ่เดินออกมาบนถาดไม้ใหญ่วางถ้วยกระเบื้องขาวจนเต็มถาด พวกนางใส่น้ำแข็งหนึ่งก้อนลงไปในถ้วยกระเบื้องทุกใบ แล้วเรียงถ้วยกระเบื้องซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันอย่างคล่องแคล่ว ถาดถ้วยสุราวางอยู่ชิดไหสุรา
เหล่าแขกเหรื่อต่างไม่เข้าใจความหมาย กำลังจะสอบถามก็เห็นคนรับใช้ร่างกำยำบิดกลไก สุราแดงเรื่อไหลรินออกจากปลายท่อไม้ไผ่โค้งงอจนเต็มถ้วยกระเบื้องบนสุด น้ำสุราไหลล้นถ้วยออกมาไหลลงไปตามขอบถ้วยลงไปในถ้วยสุราชั้นที่สอง กลิ่นหอมตลบอบอวลของสุราแดงเรื่อกลบกลิ่นหอมของขนมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในลานเล็กนั้น
ข้างไหสุรากับก้อนน้ำแข็งใหญ่ปรากฏเจดีย์ประกอบจากถ้วยสุราสี่ชุด กลิ่นหอมที่มีส่วนผสมของผลไม้กระตุ้นต่อมรับรสของแขกเหรื่อ เหล่าสาวใช้และคนรับใช้ต่างค้อมตัวกลับไป
หลี่กังลุกขึ้นเป็นคนนำหยิบสุราถ้วยแรกจากเจดีย์ถ้วยสุรา ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย ฉินฉยง อวี้ฉือกงหลี่จิ้ง ต่างก็หยิบคนละถ้วยด้วยความกระตือรือร้น คงมีเพียงเว่ยเจิงที่ถอนใจยาวแต่สุดท้ายแล้วก็หยิบขึ้นมาถ้วยหนึ่ง หลีสือ หยวนจาง อวี้ซัน กงซู ต่างก็ร่วมหยิบไปด้วย
เห็นเหล่าผู้อาวุโสต่างหยิบสุรากันแล้วทุกคนที่เหลือต่างก็หยิบถ้วยสุราด้วยความระมัดระวัง ถือไว้ที่มือโดยไม่มีใครดื่มรอให้ผู้แทนแขกเหรื่อกล่าวคำอวยพร
ฝางเสวียนหลิงถือวิสาสะชูถ้วยสุราขึ้นสูงกล่าวกับแขกเหรื่อทั่วลานว่า “ท่านผู้เฒ่าหลี่อายุมั่นขวัญยืนมีบุญวาสนายิ่งนัก สุราถ้วยนี้แทนคำอวยพรจากทุกคนขอเชิญให้ทุกคนดื่ม!”
ทันใดนั้นเสียงอวยชัยให้พรดังขึ้นไม่ขาดสาย ใบหน้าหลี่กังแดงก่ำสีหน้าสดใสยิ่งนัก
หลังจากเจดีย์ถ้วยสุราหายไปจนประกอบขึ้นมาใหม่อีกรอบ เหล่าผู้รับใช้ก็ยกโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าลินินสะอาดสะอ้าน บนโต๊ะล้วนเป็นอาหารเลิศรสที่จัดทำขึ้นมาอย่างประณีตอีกทั้งผักผลไม้สดและเนยหลากชนิด
เสี่ยวยาซุกอยู่ในอกอวิ๋นเยี่ยตลอดเวลาแต่พอเห็นของกินก็ลืมพี่ชายทันที สรรหาของที่ตัวเองชอบกินบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว ใช้ตะเกียบไม้ไผ่คีบจากในจานส่งให้หลี่กัง รอยยิ้มของหลี่กังมีมากยิ่งขึ้นอีก แต่ก็แอบห่วงตัวเองขณะที่มองดูทั้งไก่ทอดและซี่โครงหมูในจาน เพราะไม่รู้ว่าฟันฟางตัวเองยังแข็งแรงพอที่จะขบเคี้ยวของเหล่านี้ไหวหรือไม่
ขณะที่ทุกคนยังไม่รู้จะกินของเหล่านี้ได้อย่างไร รุ่นเหนียงก็ฉวยโอกาสใช้สองจานใหญ่ใส่อาหาร จานหนึ่งล้วนเป็นผักกับเต้าหู้ต่างๆอีกจานหนึ่งล้วนเป็นเนื้อสัตว์ ก่อนไปยังเพิ่มซี่โครงหมูชิ้นใหญ่อีกชิ้นหนึ่งแล้วจึงยกไปให้ฉินฉยง ส่งจานผักเต้าหู้ให้ฉินผู้อาวุโสจานเนื้อซี่โครงหมูให้ฉินน้อย อวิ๋นเยี่ยได้แต่ยิ้มแห้งๆ คิดว่าคงต้องกลับไปอบรมกันใหม่อีกสักรอบ
อวิ๋นเยี่ย ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย เว่ยเจิงทั้งสี่คนยืนเรียงกันถือจานหยิบอาหารที่ตัวเองชอบ ต่างคนต่างหยิบพลางคุยพลาง
“ฝางเซี่ยง กระเพาะเจ้าอ่อนแอ ย่อยอาหารจำพวกเนื้อไม่สู้ดีนัก คงต้องกินอาหารจำพวกเต้าหู้ผักจะดีกว่า
ตู้เซี่ยง ได้ข่าวว่าโรคปอดของเจ้ามักกำเริบในฤดูหนาวกับใบไม้ผลิ สู้ลางานสักระยะหนึ่งแล้วพักอยู่ที่เขาอวี้ซันให้หมอซุนรักษาให้ดีๆ โรคของฤดูหนาวเหมาะที่จะรักษาได้ดีที่สุดในฤดูร้อนไม่ควรปล่อยให้สูญเปล่า
เว่ยเซี่ยง อย่าได้ขมวดคิ้วเลยทรัพย์สินของตระกูลอวิ๋นมีที่มาชัดเจน การจัดเลี้ยงให้สมบูรณ์แบบหน่อยใช่ว่าจะทำไม่ได้ งานฉลองวันเกิดท่านผู้อาวุโสหลี่แม้จะฟุ่มเฟือยบ้างก็เป็นการตอบแทนผู้อาวุโสหลี่ที่เหนื่อยยากมาหลายปี อายุอานามสมควรที่จะพักผ่อนเลี้ยงหลานแต่กลับต้องถูกข้าผู้อ่อนอาวุโสรั้งไว้ให้เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน ว่าไปแล้วข้าเป็นฝ่ายที่ทำผิดต่อผู้อาวุโสหลี่”
“อวิ๋นโหวพูดเช่นนี้ไม่ได้ ข้าไม่ใช่พวกเคียดแค้นคนรวยเพียงแต่รู้สึกกังวล งานเลี้ยงของอวิ๋นโหววันนี้มีความแปลกพิสดารเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยพานพบมาก่อน เกรงว่าในสังคมที่มีแต่คนอยากเลียนแบบ ไม่รู้จักเลียนแบบความสามารถอันเอกอุของอวิ๋นโหวกลับเลียนแบบแต่ความฟุ้งเฟ้อของอวิ๋นโหว นี่ไม่ใช่บุญวาสนาของราษฎรทั่วหล้า เวลานี้สังคมฉางอันนิยมความฟุ้งเฟ้อมากขึ้นจำเป็นต้องระงับค่านิยมนี้ให้ลดลง ความประหยัดอดออมจึงเป็นรากฐานของการปฏิบัติตน”
เว่ยเจิงก็เป็นเช่นนี้เอง มักจะคิดในด้านที่เลวร้ายมากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงส่วนที่ดีอีกด้านหนึ่ง เข้าใจว่าความฟุ่มเฟือยนั้นเป็นความผิดเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างที่สุด
“เว่ยเซี่ยง หากเจ้าคิดเช่นนี้แล้วจะเป็นความผิดพลาด หากทุกคนประหยัดอดออมกันหมดเช่นเจ้า พวกเราต้าถังจะไม่มีวันร่ำรวยขึ้นมาได้จะเป็นเหมือนบ่อน้ำที่ไร้ชีวิต หากต้องการร่ำรวยแล้วความขยันอดออมเป็นเพียงด้านเดียว รากฐานความร่ำรวยอยู่ที่การใช้จ่าย”
“โอ๊ะ อวิ๋นโหวมีข้อคิดเช่นไรหรือ” ทั้งสามคนต่างหยุดนิ่งมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความงงงวย เพิ่งได้ยินคำพูดว่าความประหยัดอดออมนั้นผิดพลาดเป็นครั้งแรก หากเป็นคนอื่นแล้วคงต้องถูกเว่ยเจิงตบหน้าสั่งสอน แต่พอคำพูดนี้ออกจากปากอวิ๋นเยี่ยความหมายก็ย่อมแตกต่างออกไป
“มามามา อวิ๋นโหว ที่นั่นเย็นสบายหน่อย พวกเราสี่คนไปนั่งกินพร้อมคุยกันที่นั่นดีไหม” ฝางเสวียนหลิงชอบฟังคำวิจารณ์ที่แปลกพิสดารของอวิ๋นเยี่ย การคุยกันหลายครั้งของทั้งคู่ทำให้เขามีแนวคิดใหม่ วันนี้ก็ได้ฟังคำวิจารณ์แปลกใหม่อีกย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสทิ้งไป
อวิ๋นเยี่ยกวักมือเรียกสาวใช้วางจานอาหารของคนทั้งสี่ไว้ในถาดใหญ่ให้นางยกไป ทั้งสั่งให้นางยกสุรามาอีกหลายถ้วยแล้วจึงบอกเว่ยเจิงว่า “เว่ยเซี่ยงยังไม่รู้ว่าเคล็ดลับของความร่ำรวยอยู่ที่การไหล มีคำกล่าวว่าน้ำที่ไหลย่อมไม่เน่าเสีย ของที่เคลื่อนไหวจะคงทนก็คือเหตุผลนี้ การประหยัดอดออมเป็นความดีงามแต่ก็เป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญก้าวหน้าทางการค้า หากทุกคนพอใจแต่สิ่งที่ตัวมีอยู่ในวงแคบโดยไม่เหลียวแลภายนอก ทรัพย์สินย่อมจะไม่มีวันที่จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายกับน้ำในอ่าง ไม่ว่าจะประหยัดอดออมอย่างไรก็ยังคงมีเพียงน้ำในอ่างเท่านั้นไม่เพิ่มไม่ลด”
“แต่โบราณมาทรัพย์สินย่อมมีจำนวนจำกัด หากเจ้าได้มากคนอื่นก็จะได้น้อย เงินทองที่ราชสำนักหล่อหลอมมาล้วนต้องมีจำนวนนับ ทำไมอวิ๋นโหวจึงว่าความร่ำรวยสามารถเพิ่มขึ้นได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนเล่า”
ตู้หรูฮุ่ยราวกับพบช่องโหว่ในคำพูดอวิ๋นเยี่ยจึงเอ่ยปากถาม
“ยกตัวอย่างจากงานเลี้ยงของวันนี้ อาหารทั้งเนื้อทั้งผักผลไม้ล้วนมาจากเกษตรกรเพาะปลูกเลี้ยงดูออกมา ดังนั้นจึงกลายเป็นสินค้า ผลงานของเกษตรกรย่อมต้องได้รับค่าตอบแทน ดังนั้นตระกูลอวิ๋นก็ต้องจ่ายเงินซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่พืชผักผลไม้จากพวกเขา พอเกษตรกรได้เงินแล้วพบว่าตัวเองต้องการทำเสื้อผ้าให้เด็กๆ เขาก็จะใช้เงินไปซื้อผ้าจากคนขายผ้า เขาพอใจคนขายผ้าก็พอใจ เงินจำนวนเดิมสามารถทำเรื่องสำเร็จได้สามเรื่อง”
“ถูกต้อง เอามาซื้อเป็ดไก่เอามาซื้อผ้าคนขายผ้าย่อมต้องมีความต้องการ เงินเหล่านี้ก็จะหมุนต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดเป็นเช่นนั้นจริง แต่เงินนั้นก็ยังคงเป็นเงินจำนวนนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้น”
เว่ยเจิงเพิ่มเติมแต่ก็พบปัญหาขึ้นมาอีก
“เงินไม่ได้เพิ่มแต่ของเพิ่มขึ้น เหล่านี้จึงเป็นทรัพย์สิน สภาพการณ์ทั่วไปคือความอุตสาหะสร้างทรัพย์สิน ทั้งยังมีการผลิตสิ่งใหม่ๆ เว่ยเซี่ยงลองคิดดูหากทรัพย์สินไม่ได้เพิ่มเติม พวกเรายังคงใช้เงินทองของราชวงศ์ซางราชวงศ์โจวมาจนปัจจุบัน เจ้าลองนึกดูว่าต้าถังเราจะเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงพูดได้ว่าอ่างน้ำที่เป็นทรัพย์สินนี้เติบโตตลอดเวลาไม่ใช่คงเดิมเรื่อยๆ ตระกูลอวิ๋นประดิษฐ์น้ำหอม ปูนซิเมนต์ ทั้งยังสิ่งของสัพเพเหระอื่นๆอีกทำให้สามารถเลี้ยงชีวิตคนจำนวนมากมาย ในเวลานี้เมืองฉางอันไม่ได้ยากจนลงเพราะมีของใหม่ๆเกิดขึ้นแต่กลับทำให้ร่ำรวยมากขึ้น นี่คือข้อพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ
อีกไม่กี่วันบ้านเรือนตรอกซิ่งฮว่าฟางก็จะเริ่มเปิดประมูลขาย ถึงเวลานั้นแล้วจะต้องเชิญเว่ยเซี่ยง ฝางเซี่ยงกับตู้เซี่ยงมาร่วมชมด้วย มาดูให้เห็นกับตาว่าชาวบ้านต้าถังเรามีความมั่งคั่งจนน่ากลัวแค่ไหน มีพลังแฝงมากจนน่าหวาดหวั่นเพียงไร เวลาที่ราชสำนักเก็บทรัพย์สินมหาศาลกลับคืนมา เว่ยเซี่ยงคงจะได้รับรู้ว่าจริงหรือไม่ที่ราชสำนักจะต้องสูญเสียภาษีอากรเนื่องจากสาเหตุนี้”
ไม่รู้ว่าคนทั้งสามจะฟังเข้าใจหรือไม่ อาจจะยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก ทั้งสี่คนต่างไม่พูดไม่จากินกันอย่างเงียบเชียบแสดงถึงอากัปกริยาอันดีงามที่กินไม่คุยนอนไม่พูด
ทันใดนั้นมีเสียงอึกทึกดังขึ้นที่หน้าประตู อวิ๋นเยี่ยหันศีรษะไปมอง เห็นอวี้ฉือเป่าหลินกับต้วนเหมิ่งแบกเสือโคร่งลายพาดกลอนสีสันสดใสเดินเข้ามา ทั้งคู่วางเสือไว้บนพื้น คำนับหลี่กังด้วยความเคารพแล้วกล่าวอวยพรหลี่กังพร้อมกันให้สุขภาพแข็งแรงมีบุญวาสนาอายุยืนร้อยปี
หลี่กังเดินเข้ามาลูบขนสีสันสดใสของเสือโคร่งทั้งมองลูกศิษย์ทั้งสองที่เลือดอาบเต็มร่าง น้ำตาไหลพรากพยุงทั้งคู่ลุกขึ้นมาตรวจดูร่างกายแล้วไม่มีบาดแผลฉกรรจ์แล้วจึงเปิดปากพูดว่า “เป่าหลิน ต้วนเหมิ่ง พวกเจ้าต่างเป็นเด็กดีที่เคารพครูบาอาจารย์ มีลูกศิษย์ที่ดีเช่นพวกเจ้าถือเป็นบุญวาสนาของอาจารย์ เพียงแต่คราวหน้าอย่าได้กระทำเช่นนี้อีก อันตรายมากเกินไป แค่มีใจให้กันก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าเสี่ยงไม่คุ้มกันเลย”
ทั้งคู่ก้มตัวรับคำสั่งสอน รับปากรับคำว่าต่อไปจะไม่กระทำเรื่องนอกลู่นอกทางเช่นนี้อีก
ใบหน้าดำมืดของอวี้ฉือเฒ่าดื่มจนแยกสีหน้าไม่ออก ได้แต่หัวเราะอ้าปากกว้างพูดเสียงดังว่า “แค่เสือโคร่งตัวเดียวไม่คณามือหรอก หากอาจารย์หลี่ชื่นชอบ รอให้ข้ามีเวลาว่างจะเข้าป่าด้วยตัวเองจับเสือมาให้ทั้งหมด เพื่อตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงของอาจารย์”
ขณะที่ตาเฒ่ากำลังคุยโม้อยู่ อวี้ฉือเป่าหลินกลับดึงชายเสื้ออวิ๋นเยี่ยให้ตามเขามาที่นอกประตู เห็นเจ้าหน้าที่สองคนยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คนหนึ่งกำมือคารวะพูดว่า “ข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลเขตล่าสัตว์ป่าเขาหนานซัน วันนี้มีอวี้ฉือเป่าหลินกับต้วนเหมิ่งนำกลุ่มคนร้าย หักหาญเข้าไปในป่า นอกจากทำร้ายผู้ดูแลจนบาดเจ็บหลายคนแล้ว ยังล่าเสือโคร่งหนึ่งตัวโดยพลการ ที่ข้าตามมาด้วยนี้ ก็เพื่อสอบถามท่านอวิ๋นโหวให้ชัดเจนว่าจะให้ข้านำผู้กระทำผิดไปได้หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยออกจะปวดเศียรเวียนเกล้าแต่พอเห็นอาการฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าของสองเจ้าหน้าที่แล้ว เห็นชัดว่าคงโดนทำร้ายกันมาไม่น้อย เพียงแต่ทำไมพวกเขาจึงต้องการหาข้า? ทั้งๆที่เจ้านายพวกเขาก็อยู่ร่วมงานเลี้ยงวันนี้ด้วย