เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 30
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 30 อวิ๋นเยี่ยฟ้องคดี
ทางเดินสู่ตำหนักกันลู่ที่คนสามกำลังมุ่งหน้าไป รัชทายาทหลี่เฉินเฉียนใส่กุญแจมือเล็กที่ประณีตนำทางข้างหน้าด้วยท่าทางลิงโลดเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยใส่อีกกุญแจมือชุดหนึ่งเดินกลางในมือหอบเอกสารราชการม้วนหนึ่ง เหอผั้นจื่อใส่กุญแจมือจริงเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หลังสุด
ยังเป็นช่วงเช้าเพิ่งเสร็จสิ้นราชสำนักเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านมากที่สุดในพระราชวัง ทางเดินมีคนเดินไปมามากมายทั้งขุนนางและนางกำนัลต่างๆ พอเห็นคนทั้งสามเดินมาต่างค้อมตัวทำความเคารพด้วยความรู้สึกตกใจระคนประหลาดใจในสายตาที่ต่างปิดบังกันไม่มิด
กลุ่มรัชทายาททั้งสามคนไม่ได้สนใจใคร คงเดินอย่างปกติธรรมดาจนใกล้จะถึงตำหนักกันลู่แล้ว เหอเส้าเกาะร่องอิฐไม่ยอมเดินขึ้นหน้าไปอีกทั้งพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “เจ้านายทั้งสองท่านทำเช่นนี้เหมือนเอาชีวิตข้าไป พวกท่านคนหนึ่งเป็นรัชทายาทอีกคนเป็นโหวเหยีย มีข้าคนเดียวที่เป็นเพียงขุนเล็กๆทั้งยังเป็นพ่อค้า หากฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาตัดศีรษะข้าชนิดไม่ต้องรอปรึกษาใคร เจ้านายท่านโปรดมีเมตตาปล่อยให้ข้าไปเถอะ”
รัชทายาทหยุดเดินแล้วหันกลับมาถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคิดว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลหรือ พวกเราทั้งสามคนไม่โดนเสด็จพ่อลงโทษหรือ ต่อให้เสด็จพ่อไม่เอาเรื่อง นิสัยเสด็จแม่เจ้าก็คงรู้ ไม่ว่าผลเป็นอย่างไรคงหนีไม่พ้นต้องโดนตีแน่ คิดให้ดีๆนะ”
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันพูด คำพูดของรัชทายาทกลับให้กำลังใจเจ้าเหออย่างมาก “องค์รัชทายาทท่านว่าพวกเราทั้งสามอย่างมากก็แค่โดนตีหรือ ไม่โดนตัดศีรษะแน่หรือ”
“ตัดศีรษะอะไร เรื่องนี้ต้องรีบจัดการเร่งด่วนหากไม่เช่นนั้นเรื่องจะบานปลายจนควบคุมไม่ได้อีก นี่เพิ่งจะได้ลิ้มรสหอมหวาน อาศัยที่เพิ่งจะเริ่มต้องรีบใช้ไม้แข็งขยี้ทิ้ง ตอนนี้เป็นแค่ขั้นได้เลียเลือดหากรอจนขั้นได้ดื่มเลือด ต่อให้ฮ่องเต้ตัดศีรษะอีกเท่าไรก็ไม่สามารถดึงกลับมาได้ นี่เป็นสันดานของนายทุนต้องการกินคนเป็นอาหาร”
อวิ๋นเยี่ยพูดกับทั้งคู่ด้วยความรำคาญใจ ตอนก่อนมาหลี่เฉินเฉียนได้พูดแล้วว่าแค่เหมืองถ่านหินกับเหมืองปูนไม่กี่แห่ง เขาเดินเพียงรอบเดียวก็จัดการให้เรื่องทั้งหมดสลายหายไปได้ ไม่น่าต้องหนักหนาขนาดฟ้องคดีถึงฮ่องเต้
แต่ถูกอวิ๋นเยี่ยหัวเราะเยาะว่าพวกนั้นล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ราชสำนักกระทำเนื่องจากรักษาผลประโยชน์ให้เจ้านาย ต้องการลดต้นทุนให้เจ้านายมากๆเพื่อจะได้กำไรอย่างงดงาม หากยืนอยู่ข้างนายทุนย่อมมีแต่ได้รับรางวัลไม่ใช่ถูกลงโทษ ท่านซึ่งเป็นบุตรชายของนายทุนจะใช้เหตุผลหรือข้ออ้างอะไรในการลงโทษพวกเขาได้ ไม่กลัวว่าจะทำให้คนขาดศรัทธาหรือ
“หากผู้ถูกขูดรีดเป็นเชลยต่างเผ่า องค์รัชทายาท เรื่องเช่นนี้ข้ามีแต่จะตบรางวัลให้เหล่าคนดูแล จะไม่ก้าวก่าย แต่เวลานี้พวกเขากำลังทำทารุณราษฎรของเราเองจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ราษฎรเป็นรากฐาน หากพวกเราต้องการเสวยสุขอย่างมั่นคงยาวนานก็ต้องทำดีต่อพวกเขา ให้พวกเขามีเนื้อกินมีเสื้อผ้าใส่ เช่นนี้แล้วพวกเขาก็จะค้ำจุนให้พวกเรามั่งคั่งอย่างหน้าไม่อายต่อไปได้ยาวนานตลอดไป ต่อให้ท่านมีภรรยาแปดร้อยคน อย่างมากก็ว่าท่านบ้าตัณหาไม่ถึงขนาดถือดาบถือทวนมากำจัดท่าน ไม่แน่ว่าเวลาท่านเตรียมการไปรังแกเผ่าพันธุ์อื่นพวกเขายังยอมพลีช่วยเหลือท่าน ราษฎรต้าถังเป็นราษฎรที่ดีที่สุดในโลก หากไม่ทำดีต่อพวกเขานับได้ว่าสมองไม่สมประกอบ”
“นี่เป็นเรื่องจริง เสด็จพ่อเคยบอกข้าว่าราษฎรเป็นน้ำราชวงศ์เป็นเรือ น้ำทำให้เรือลอยได้แต่ก็ทำให้เรือล่มได้ ทั้งยังไม่ให้ข้ามองข้ามความเจ็บป่วยของราษฎร จะต้องวางผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นอันดับแรก เช่นนี้แล้วแผ่นดินของตระกูลหลี่ก็จะมั่นคง เยี่ยจื่อ การโดนตีครั้งนี้ข้าขอร่วมโดนกับพวกเจ้าด้วย”
มาตรฐานการพูดของหลี่เฉินเฉียนยกระดับสูงขึ้นมามาก เอะอะก็จะยกตำราโบราณอ้างอิงใช้คำพูดพระบิดามาเพิ่มความน่าเชื่อถือ เรื่องนี้ทำได้อย่างช่ำชองจนขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักต่างชื่นชมฉลาดความปราดเปรื่องของรัชทายาทว่ามีความสง่าผ่าเผยของยุวกษัตริย์ปกครองประเทศในอนาคต ล้วนมาจากการอบรมบ่มเพาะของฮ่องเต้
สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้วคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นแค่ลมปากไม่มีเนื้อหาที่แท้จริงอยู่เลย แต่ในสายตาของเหล่าขุนนาง นี่คือผู้สืบทอดฮ่องเต้ที่ดีที่สุด หลายปีนี้ไม่มีข้อเสียอะไรเลยแม้แต่นิด จริงใจต่อผู้คน กล้าหาญสู้ศัตรู ตัดสินปัญหาเฉียบขาด ใจกว้างต่อขุนนาง เป็นโคลนนิ่งของฮ่องเต้แท้ๆไม่ใช่จอมหลอกลวงเช่นสุยหยางตี้ฮ่องเต้ราชวงค์ก่อนจะสามารถเทียบเคียงได้
“ท่านก็เลือกใช้คำพูดที่น่าฟังแล้วกัน ท่านอย่าได้นึกว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพิ่งประสูติน้องหญิงคนใหม่ให้ท่าน ยังไม่เคยเห็นแต่ได้ยินว่าน่ารักมากเพียงแต่ร่างกายอ่อนแอไปหน่อย รอให้โตกว่านี้อีกนิดข้าจะนำองค์หญิงไปเข้าสถานศึกษาให้นักพรตซุนปรับสภาพร่างกายตั้งแต่เล็ก จะได้เติบใหญ่ด้วยร่างกายที่แข็งแรง
ฮ่องเต้ตั้งชื่อนางว่าซื่อจื่อไม่ใช่เพราะต้องการให้นางเติบใหญ่แข็งแรงหรือ บรรยากาศในพระราชวังไม่ดีนักหากต้องการเติบใหญ่แข็งแรงต้องให้สถานศึกษาจัดการ เหนียงเหนียงเป็นห่วงองค์หญิงเล็กจนไม่มีเวลาดูแลเรื่องจิปาถะอื่นอีก หากท่านซึ่งเป็นโอรสไม่รับขึ้นมาแล้วใครจะรับ”
“เยี่ยจื่อไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องมากมายที่ไม่ควรพูดเจ้ากล้าพูดแต่ข้าไม่กล้าฟัง ขอแค่ไม่โดนตัดศีรษะหากแค่โดนตีนั้นเรื่องเล็กข้าขอร่วมด้วยกับเจ้า” เหอเส้าเข้าใจแล้วในที่สุดว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ต้องการให้เรื่องนี้ขึ้นถึงราชสำนัก แต่ย่องมาหาฮ่องเต้เพื่อขอนโยบาย ในเมื่อผู้ต้องหาใหญ่คือฮ่องเต้ผู้ต้องหารองคือฮองเฮาต่อด้วยรัชทายาท ตัวเองเป็นผู้ต้องหาปลายสุดกลายเป็นยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันทีสามารถโดนคดีพร้อมกับฮ่องเต้ได้ ถือว่าฮวงซุ้ยบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ฮ่องเต้กำลังดื่มน้ำโจ๊กในตำหนักกันลู่ ตำรับโจ๊กใบบัวของซุนซือเหมี่ยวเขายังใช้อยู่ไม่เคยขาด ดูเหมือนได้ผลยิ่งนัก โรคปวดศีรษะหายไปเป็นเวลานานแล้วพุงที่ใหญ่โตก็ลดลงไปมากมายทำให้เขามีความสุขมาก พอได้ยินขันทีว่ารัชทายาท หนันเถียนโหวกับเจิ้งเซี่ยนจื่อมาเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ยังคงดื่มโจ๊กอยู่เพียงแต่ยกมือโบกให้พวกเขาเข้ามาได้ รู้ว่าหากอวิ๋นเยี่ยไม่มีเรื่องราวต่อให้ตีตายก็ยังไม่ยอมมาพบคนในวัง วันนี้ประหลาดมากที่พาตัวเองมาเข้าปากเสือด้วยเหตุผลอะไรหรือ เขายังไม่เคยเห็นอาการแปลกประหลาดเช่นนี้ของเหล่าขันที
การพันธนาการของทั้งสามคนทำให้ฮ่องเต้ตกใจ ตั้งแต่เข้ามาทั้งสามคนก็หมอบอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา แสดงท่าทางรับผิดอย่างเดียว รัชทายาทกับอวิ๋นเยี่ยยังพอได้ แต่ใบหน้าเหอเส้าแนบติดพื้นตัวสั่นงันงกทั้งร่าง ท่าทางต้องทำผิดอะไรอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าทั้งสามคนทำอะไรผิดถึงได้ใส่กุญแจมือตัวเอง พูดออกมาข้าจะได้ส่งให้กองอาญาสอบสวน”
“ลูกมีฐานะรัชทายาทแต่เห็นเรื่องร้ายไม่รายงานถือเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ ขอเสด็จพ่อทรงลงโทษ”
การกระทำของหลี่เฉิงเฉียนนั้นตัวเองรู้เห็นทุกฝีก้าว ระหว่างนี้ยิ่งขยันขันแข็ง เรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติก็จัดการถูกต้องไม่เคยได้ยินว่ามีข้อบกพร่อง การเห็นเรื่องร้ายไม่รายงาน ฮึ่มๆ จะต้องเป็นเรื่องร้ายที่พ่อค้าอ้วนชั่วคนนี้ทำแน่นอน อวิ๋นเยี่ยไม่ถึงขนาดทำชั่วร้ายด้วย รัชทายาทคงเห็นแก่หน้าอวิ๋นเยี่ยเลยไม่สะดวกใจที่จะจัดการ อวิ๋นเยี่ยมักชอบแกล้งทำตรงกันข้าม ตัวเองเปิดฝาครอบอยากขออภัยโทษเป็นเช่นนี้แน่ แต่ว่าเจ้าคนนี้ข้าหาเรื่องเอาผิดเจ้าไม่ได้สักที วันนี้มาเสนอตัวเองจะได้ถือโอกาสจัดการด้วยเลย
คิดดังนี้แล้วฮ่องเต้ก็ดีใจจนยิ้มเห็นฟัน เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำผิดหลักการอะไร อย่างมากก็แค่ละเลยไปบ้างเท่านั้น เวลานี้ขอรับผิดเองคงได้คิดทางแก้ไว้แล้ว เจ้าคนนี้มักมีทางแก้ที่ดีเสมอมาแต่ครั้งนี้ขอให้ได้ตีไว้ก่อน
คิดแล้วก็รีบสั่งการอย่างชื่นอกชื่นใจ “คนมา ลากตัวอวิ๋นเยี่ยกับเหอเส้าออกไปตีสามสิบที รัชทายาทกลับวังสำนึกผิดห้ามไปไหนสามวันแล้วติดตามดูผลต่อไป”
รัชทายาทงงงวย อวิ๋นเยี่ยงงด้วย เหอเส้าก็ไม่เข้าใจ ฮ่องเต้ไม่ถามต้นสายปลายเหตุมาถึงก็สั่งตีเลยเห็นได้ว่าฮ่องเต้คิดแค่อยากตีเท่านั้น
“การลงโทษของฝ่าบาทกระหม่อมย่อมต้องรับ หากแต่กระหม่อมเป็นเพียงผู้ร่วมกระทำผิด การปล่อยให้ผู้กระทำผิดต้นเหตุลอยนวลไม่เป็นการลงโทษแค่ปลายเหตุหรือ”
“ยังมีผู้กระทำผิดต้นเหตุอีกหรือ รีบๆบอกมาเราจะได้จัดการทีเดียวพร้อมกันให้เจ้าโดนไม้ได้อย่างพออกพอใจ”
อวิ๋นเยี่ยรีบถวายหนังสือ ขันทีรับแล้วกางออกที่โต๊ะฮ่องเต้ เพียงแค่เห็นหัวข้อหนังสือฮ่องเต้ก็ตกตะลึงคิดในใจว่าแย่แล้ว พออ่านใจความอธิบายรายละเอียดแต่ละข้อก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที
ฮองเฮาที่อยู่หลังม่านเพิ่งให้นมเสี่ยวซื่อจื่อเสร็จ ได้ยินขันทีรายงานแล้วรู้สึกว่าต้องมีอะไรสนุกแน่จึงอุ้มธิดามาด้านหน้า เห็นสามคนคุกเข่าที่พื้นส่วนฮ่องเต้หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พูดไม่จา จึงถามว่า “ฝ่าบาทขมวดคิ้วด้วยเหตุใด พวกเขาสามคนมีเรื่องใหญ่โตอะไรที่ทำให้ท่านกังวล แค่ลงโทษเล็กน้อยก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเปลืองความคิดมากนัก”
ฮองเฮากับฮ่องเต้มีความคิดเดียวกัน ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องอะไรใหญ่โตเกิดขึ้น
“ฮองเฮา เจ้ามาก็ดีแล้ว สามผู้ต้องหาที่คุกเข่าอยู่กับอีกสองผู้ต้องหาที่ยังไม่มา เรากำลังหนักใจเรื่องนี้อยู่” ฮองเฮาฟังดูคล้ายเป็นเรื่องงานราชสำนักจึงไม่ได้เปิดปากแต่เตรียมถอยกลับเข้าด้านหลัง นางไม่เคยออกความเห็นเกี่ยวกับงานราชสำนัก
“ฮองเฮาหยุดก่อน เจ้าไม่อยากฟังดูว่าใครร่วมทำผิดกับวายร้ายสามคนนี้หรือ” ฮ่องเต้หันไปถามฮองเฮา
“หม่อมฉันเป็นหัวหน้าฝ่ายใน เรื่องราชสำนักไม่สมควรรู้มากยิ่งไม่สมควรก้าวก่าย” แม้พูดได้น่าฟัง แต่ก็ชะลอฝีเท้าลง เงี่ยหูเตรียมฟังดูว่าใครกันแน่ที่กล้าดีทำให้รัชทายาทต้องเป็นผู้กระทำผิดร่วม
“ฮึ่มๆ ตามหนังสือที่อวิ๋นเยี่ยทูนขึ้นมา ผู้กระทำผิดต้นเหตุคือเรา ฮองเฮาเจ้าเป็นผู้กระทำผิดรอง เจ้าลองฟังดู กระหม่อมเคยรับรู้ว่า หากเบื้องบนขาดจริยธรรม เบื้องล่างย่อมทำตาม ปัจจุบันบนเขาเหมยซัน เสียงปิศาจร้องระงม ใต้พื้นดินเก้าชั้น วิญญาณร้ายไม่สลาย ห่างนรกเพียงไม่กี่เชียะ ปูนนั้นมีพิษ กระจายคละคลุ้ง ไม่เกินสองปี หนุ่มฉกรรจ์กลายอ่อนแรง พิษร้ายโลกมนุษย์ มียิ่งกว่านี้อีกหรือ
หนังสือทูนนั้นมีประมาณนี้ยังต้องรอสอบถามข้อเท็จจริง แต่การที่เบื้องล่างฟ้องเบื้องบนย่อมต้องรับโทษทัณฑ์ก่อน คนมา ลากทั้งสามคนไปตีสามสิบทีแล้วค่อยว่ากันต่อ”
แม้แต่คิ้วของฮองเฮายังลุกชันมองหน้าคนทั้งสามอย่างแค้นเคือง บอกขันทีว่า “ลากลงไปตีให้หนัก”
หลี่เฉิงเฉียนอยากพูดจริงๆว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง แต่คำพูดถึงแค่ริมฝีปากแล้วก็คืนกลับไป เข้าใจดีว่าโดนตีครั้งนี้เป็นการโดนแทนพระมารดา อวิ๋นเยี่ยทำหน้าขมจนเหมือนอมบอระเพ็ด ฮ่องเต้อยากเล่นงานตัวเองมาก ครั้งก่อนก็เคยข่มขู่แล้วแต่ไม่นึกว่าจะกลายเป็นจริงครั้งนี้ ตัวเองส่งหนังสือทูนให้ฮ่องเต้โดยตรงไม่ได้ผ่านทั้งสามขั้นตอน เท่ากับได้คำนึงถึงหน้าตาของราชวงศ์แล้ว การที่ตัวเองกับเหอเส้ารับผิดหมายความว่าได้เตรียมรับผลที่จะเกิดขึ้นแล้ว คือต้องการราชโองการให้ตัวเองออกหน้าจัดการปรับปรุงเหมืองถ่านหินให้มันดำเนินการต่อได้อย่างมีแบบแผน แม้แต่แพะรับบาปก็ยังเตรียมไว้แล้ว เรียกว่าวางแผนไว้อย่างรอบคอบมากแล้ว ใครจะรู้ว่าก็ยังหนีไม่พ้นต้องโดนตีจนได้
เหอเส้ากลับแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นี่เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ของตระกูลเหอทีเดียว กลับบ้านจะได้คุยโม้คุยโตให้ลูกเมียทั้งเมียหลวงเมียน้อยทั้งหลายว่าตัวเองกับรัชทายาทและโหวเหยียต่างโดนฮ่องเต้สั่งตีด้วยกัน เหตุเพราะทำหนังสือทูนกล่าวหาฮ่องเต้กับฮองเฮา ใครกันที่ใจกล้าอาจหาญได้ขนาดนี้นอกจากตระกูลเหอก็ไม่มีอีกแล้ว แน่นอนว่า ตระกูลอวิ๋นย่อมจะโดนเขาลบทิ้งไปอย่างหน้าด้านๆ เฝ้ารอการโดนตีด้วยความยินดีปรีดา
ฮองเฮาเห็นทั้งสามคนถูกขันทีลากออกไปแล้วก็เตรียมขออภัยโทษ นางรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยหากไม่มีหลักฐานย่อมไม่พูดแน่ เมื่อเขาว่ามีเรื่องนี้ก็ต้องมีแน่นอน
“เจ้าอุ้มท้องมาสิบเดือนเพิ่งคลอดลูกเสร็จ จะเอาความคิดที่ไหนไปดูแลเรื่องราวมากมาย หากมีโทษก็อยู่ที่เราเองไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเลย อวิ๋นเยี่ยจัดการเรื่องนี้ได้ดีมากส่งหนังสือทูนให้เราโดยตรง ให้พวกเรามีโอกาสหายใจหายคอบ้าง ทั้งตัวเองยังยอมตกเป็นแพะรับบาปถือว่าหายาก ฮองเฮา นับได้ว่าการสอนสั่งของเจ้านั้นได้ผลดียิ่งนัก”