เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 41
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 41 ผลได้จากการละเล่น
อวิ๋นเยี่ยตื่นตั้งแต่เช้าตรู่มานั่งยองๆอยู่ริมลำธารใช้กิ่งหลิวทำความสะอาดฟัน หมอกยามเช้าในภูเขาหนามากสัมผัสร่างกายแล้วเย็นชื่นใจ ใช้ปากแตะผิวน้ำแล้วดูดน้ำคำใหญ่เหมือนม้า บ้วนในปากถึงคอแล้วพ่นออกไปสุดแรงจนเกิดหมอกคลุ้งไปทั่ว มักจะเห็นหลีสือทำเช่นนี้หลังจากวาดภาพไปแล้วก็กรอกน้ำเต็มปากแล้วแหงนคอพ่นออกไป มองเห็นละอองน้ำจับหมึกสีเข้มทำให้สีหมึกเจือจางปลดปล่อยพลังอึมครึมออกมาแล้วรู้สึกชอบใจยิ่งนัก
ภาพเขียนสมัยถังส่วนใหญ่ใช้คนเป็นเอกทั้งยังวาดให้คนตัวเอกมีขนาดใหญ่มากทำให้เกิดพลังเหนือกว่ากลุ่มคนทั้งหมด ‘ภาพงานเลี้ยงของอ๋องข้า’ก็เป็นเช่นนี้ ครั้งที่เห็นหลี่ซื่อหมินโชว์ภาพเหยียนลี่เปิ่นนี้ให้เขาเห็น ความโกรธของอวิ๋นเยี่ยเกิดขึ้นทั่วร่าง เหล่าเหยียนจอมประจบคนนี้วาดหลี่ซื่อหมินองอาจผ่าเผยสุดกำลัง เฝิงอั้งมีพลังเหลือล้ำ ฝางเสวียนหลิงฉลาดเฉลียวหาใครเทียบ พอถึงอวิ๋นเยี่ยเป็นแค่นายกอเดินถนนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย มีขนาดเพียงครึ่งเดียวของหลี่ซื่อหมินความกว้างก็ครึ่งหนึ่งกำลังหยิบปูแทะอย่างเพลิดเพลิน ด้านหลังยังมีเด็กสาวสวยคอยทุบหลังให้ ช่างน่าทุเรศมาก น่าทุเรศจริงๆ
ขอร้องหลี่ซื่อหมินยกภาพนี้ให้กลับบ้านจะได้กราบไหว้เช้าเย็น หลี่ซื่อหมินตอบคำเดียวว่าไปเลย เขารู้จักอวิ๋นเยี่ยดีว่าใจแคบหากเอาภาพนี้ไปแล้วคงไม่มีโอกาสได้คลี่ออกมาอีกต่อไป
กลับถึงบ้านแล้วอวิ๋นเยี่ยก็เชิญหลีสือมาอยากให้เขาวาด‘ภาพงานเลี้ยงของอ๋องข้า’ไม่ต้องการให้เน้นอะไร ขอให้แสดงออกตามความเป็นจริงในสถานที่อย่างถูกต้องก็พอแล้ว หลีสือเวลานี้เป็นท่านอาชายจึงสามารถพูดได้ยกพู่กันวาดตามคำบรรยายของอวิ๋นเยี่ย พอวาดเสร็จก็โดนฉีกทิ้งโดยอวิ๋นเยี่ยที่โกรธสุดขีดเพราะไม่ได้ต่างอะไรกับของเหยียนลี่เปิ่น แต่ตัวอวิ๋นเยี่ยยิ่งทุเรศมากขึ้น
หลีสือย่อมโกรธจัดคว้าอวิ๋นเยี่ยไว้แล้วกำลังจะลงมือแต่ถูกท่านอาหญิงห้ามไว้ อวิ๋นเยี่ยไม่หายโมโหตัดสินใจวาดเอง จึงใช้น้ำหมึกวาดให้พวกกบในกะลาเหล่านี้ได้ชมภาพหมึกน้ำที่ขึ้นชื่อลือชา ให้วั่งไฉที่กำลังยื่นคอมองอวิ๋นเยี่ยจากนอกหน้าต่างเป็นแบบใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็แล้วเสร็จ ควักตราออกมาประทับไว้ข้างบนตั้งชื่อว่า’ภาพม้าวิเศษยอดอาชาวั่งไฉ’
ให้วั่งไฉดูแล้วมันพอใจมาก ใครจะรู้ได้หลีสือกระโดดออกมายกแผ่นกระดานจะตีอวิ๋นเยี่ยใครห้ามก็ไม่ฟัง เอาผลงานของอวิ๋นเยี่ยบอกท่านย่าว่า “นี่เป็นม้า? ข้าดูเป็นหมู หูม้าจะเหมือนพัดโบกหรือ” พูดจบก็จะตีอีกทั้งยังบอกว่าจะต้องทำหน้าที่ผู้อาวุโส
กำลังพูดอยู่ก็หยุดปากกะทันหัน ตัวเองหยิบพู่กันเริ่มวาดตามรูปร่างของวั่งไฉ ใช้หมึกดำล้วนเพียงแต่ความเข้มจางต่างกันเท่านั้น หลังจากวาดแล้วเกิดความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องดูเหมือนกระด้างเกินไปหน่อย จึงลากตัวอวิ๋นเยี่ยที่กำลังดื่มน้ำเข้ามาให้เขาดูว่ามีอะไรผิดพลาด อวิ๋นเยี่ยถึงแม้วาดภาพไม่ได้เรื่องแต่สายตานับว่าสุดยอด
วั่งไฉบนกระดาษขาวนับได้ว่าราวกับมีชีวิต อวิ๋นเยี่ยตกใจจนพ่นน้ำออกไปละอองน้ำบางส่วนตกอยู่บนภาพ หลีสือแค้นจนอยากขยี้อวิ๋นเยี่ยให้ตายคามือ ภาพนี้มีความสำคัญมากสำหรับเขา เพียงแค่ขจัดข้อเสียเล็กน้อยก็สามารถเปิดสำนักตั้งค่ายใหม่ได้เลยแต่โดนน้ำที่อวิ๋นเยี่ยพ่นออกมาทำลายสิ้น
เขาพยายามกลั้นความโกรธหลับตาตั้งสมาธิ แต่ได้ยินเสียงท่านอาหญิงร้องเอ๊ะแล้วลากเขามาที่หน้าภาพ พอลืมตาดูภาพวั่งไฉที่เขาคิดว่าถูกทำลายไปนั้นกลายเป็นมีชีวิตชีวา โทนสีที่เห็นดูนุ่มนวลขึ้นมาอย่างมาก
นึกถึงเรื่องนี้แล้วอวิ๋นเยี่ยก็ชื่นใจนักที่ตัวเองสามารถจับเคล็ดลับของภาพได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าหลีสือคงไม่สามารถดูน่าเกลียดได้มากกว่านี้อีก ท่านย่ากอดอวิ๋นเยี่ยหอมไปหนึ่งฟอด หลานรักของตัวเองก่อเรื่องยุ่งมากกว่าหลานบ้านอื่นมากมายนัก
ท่ามกลางความชื่นอกชื่นใจอวิ๋นเยี่ยนึกอยากพ่นน้ำอีกครั้ง กำลังดูดน้ำอยู่ก็พบหัวม้าเบียดเข้ามาร่วมดื่มน้ำด้วย กำลังจะไล่ไปพบว่าเป็นวั่งไฉ ไม่มีปัญหาพี่น้องร่วมกันดื่มน้ำ อวิ๋นเยี่ยสูดได้ไม่นานเท่าวั่งไฉปากก็ไม่ใหญ่เท่าเวลาสูดน้ำย่อมไม่นานเท่าวั่งไฉ สูดจนเต็มปากแล้วแหงนหน้าพ่นออกไป ให้ตัวเองรับความรู้สึกละอองน้ำเต็มฟ้าช่างน่าสบายจริงๆ วั่งไฉไม่สามารถทำได้คงเพียงออกเสียงฟืดฟาดในจมูก
“ข้ารู้จนได้ว่านิสัยเสียในตัววั่งไฉมาจากไหนทั้งขี้โกงขี้เกียจตะกละกะล่อน ที่แท้มีพื้นฐานมาจากท่านนี่เอง” เสียงดังฟังชัดของซ่านอิงดังแว่วมา เจ้าเบื๊อกนี่ไม่เคยรู้เลยว่าอะไรที่เรียกว่าเกรงใจ
อวิ๋นเยี่ยจึงหันกลับไปดูกลับพบว่าริมลำธารมีคนยืนอยู่มากมาย ศีรษะซินเย่ว์แทบจะซุกลงไปในอก เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ท่าทางฉงนเต็มหน้า ภรรยาพวกเขาทำหน้าเหรอหรา ส่วนพวกบ่าวไพร่สาวใช้ต่างหันไปที่อื่นทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ยังไม่สามารถชะล้างกิเลสในจิตใจปุถุชนอย่างพวกเจ้าได้หรือ เห็นเขาชื่นชมเขา เห็นน้ำลงเล่นน้ำ จึงจะไม่เสียแรงที่พวกเราอุตส่าห์ออกมานับพันลี้เพื่อท่องเที่ยว หากยังไม่สามารถปล่อยกายปล่อยใจชื่นชมทั้งเขาทั้งน้ำให้เต็มที่ สู้อยู่ที่ฉางอันก็พอแล้วจะออกมาให้ลำบากทำไมกัน”
เมื่อเจอเรื่องกระอักกระอ่วนต้องทำให้คนอื่นกระอักกระอ่วนมากกว่าจึงจะถูก ต้องทำให้ทุกคนอยู่ในเส้นสตาร์ทพร้อมกันจึงจะสามารถเข้าถึงด้วยกันได้ ตำราพิชัยสงครามว่า ข้าศึกรุกเราถอย ข้าศึกถอยเรากวน ข้าศึกเพลียเราตี เป็นถ้อยคำปานทองคำแท้จริงทีเดียว
จริงดังนั้น เหล่าบ่าวไพร่สาวใช้เป็นกลุ่มแรกที่ถูกอวิ๋นเยี่ยชักนำมาก่อน ต่างใช้แววตาที่นับถือบูชามองอวิ๋นเยี่ย นี่จึงเป็นผู้สูงส่งแท้จริงโหวเหยียบ้านเราเป็นคนสูงส่งตลอดมา มองบ่าวไพร่บ้านเฉิงบ้านหนิวทั้งสองบ้านด้วยสายตาดูแคลน ความรู้ลึกซึ้งเช่นนี้ใช่ที่ปุถุชนอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจหรือ พวกเราติดตามโหวเหยียมาแล้วหลายปีจึงซึมซับได้บ้าง
อวิ๋นซันเป็นผู้ติดตามประจำตัวโหวเหยียย่อมได้รับการซึมซับมากที่สุด ก้มตัวลงที่ผิวน้ำดูดน้ำจนเต็มปากแล้วแหงนหน้าพ่นละอองน้ำออกมาเต็มท้องฟ้าท่ามกลางสายตาคนทั้งหมด ยืนอยู่ในละอองน้ำรับความรู้สึกอ่อนนุ่มเย็นฉ่ำนั้น ช่างน่าสบายจริงๆเลย
พอละอองน้ำหายไปอวิ๋นซันร้องเสียงดังแล้วก้มตัวลงไปดูดน้ำอย่างเร่งรีบ คราวนี้คนที่ก้มตัวลงดูดน้ำบนผิวน้ำมีมากยิ่งขึ้น เพียงประเดี๋ยวเดียวทั้งลำธารมีแต่ละอองน้ำ แม้แต่เหล่าสาวใช้ที่ใจกล้าก็ยังพ่นกันจนหน้าดำหน้าแดง
จากนั้นทุกอย่างก็ยุ่งเหยิง เจ้าพ่นข้า ข้าพ่นเจ้า จนมั่วกันไปหมด เฉิงฉู่มั่วดูพวกเขาเล่นกันสนุกสนานก็อยากลองดู หลังจากเห็นอวิ๋นเยี่ยพ่นน้ำใส่พวกเขาสองคนแล้ว เฉินฉู่มั่วก็ระเบิดออกมาดูดน้ำเต็มปากแล้วหาอวิ๋นเยี่ยไม่เจอจึงหันไปพ่นใส่ศีรษะหนิวเจี้ยนหู่ การตะลุมบอนขยายตัวออกไปจนกระทั่งภรรยาเสี่ยวหนิวก้มลงดูดน้ำ ซ่านอิงก็ออกอาการงงงันหญ้าที่เพิ่งตัดให้วั่งไฉตกพื้นโดยไม่รู้ตัว รู้แค่อ้าปากค้างอยู่
ซินเย่ว์ไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่นี้สามีตัวเองกำลังทำขายหน้า แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นการละเล่นในป่าเขาได้แต่ลืมตาโตจนกลมดิก อวิ๋นเยี่ยตบไหล่นางแล้วพูดว่า “หลายวันนี้ทำให้เจ้าลำบาก ถือโอกาสเล่นกันให้สนุกสนานสักพัก ให้เจ้าคลายเครียดได้”
ซินเย่ว์ยิ้มหวานให้อวิ๋นเยี่ยแล้วเช็ดน้ำตาที่หางตา ไม่สนใจว่าน้ำจะทำให้เสื้อผ้าเปียก ก็ก้มลงดูดน้ำบนผิวน้ำราวกับเด็กคนหนึ่งแล้วพ่นออกไปให้ละอองน้ำหุ้มห่อตัวเองไว้ ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดหย่อน
อวิ๋นเยี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แห้งแล้วเดินออกมาจากกระโจม เดินไพล่มือข้างหลังค่อยๆเข้าไปในมือซ่อนขนมอิ๋งชุนก้อนหนึ่ง อาศัยจังหวะที่ซ่านอิงเกาศีรษะยัดขนมใส่ปากวั่งไฉ วั่งไฉฉลาดมากเคี้ยวสองสามทีก็กลืนลงท้อง พอเห็นซ่านอิงมองมาก็หยุดขยับปากทันที เพียงแต่ฟองขนมที่มุมปากออกจะเห็นชัดเจนไปหน่อย
“ตระกูลอวิ๋นดูแลบ่าวไพร่กันเช่นนี้หรือ” ซ่านอิงชี้สาวใช้หลายคนที่กำลังพ่นน้ำใส่ซินเย่ว์
“ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้เอง ขอให้พวกเขาทำงานประจำวันของตัวเองให้ดีก็จะไม่มีใครไปตอแยพวกเขา ขอให้สบายใจก็พอแล้ว” อวิ๋นเย่ว์โบกมือให้ซินเย่ว์ที่โบกมือมาที่ตัวเองแล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ท่านไม่กลัวว่าจะขาดระเบียบวินัยทำให้บ้านยุ่งเหยิงหรือ” ซ่านอิงไม่ยอมหยุดยังถามต่อ
“ตระกูลอวิ๋นตั้งแต่เริ่มมีมาไม่เคยมีบ่าวไพร่ที่ไม่ดี ขณะที่ตระกูลอวิ๋นเดือดร้อนที่สุดก็ยังไม่มีบ่าวไพร่คนไหนออกไป อีกทั้งไม่มีบ่าวไพร่ที่ทรยศตระกูลอวิ๋น ตอนที่ข้าติดคุกพวกเขายินดีที่จะอยู่บ้านรอฟ้าลิขิต แต่ไม่มีใครหาทางออกให้ตัวเอง บ่าวไพร่เช่นนี้บ้านผู้ดีมีสกุลในเมืองฉางอันคงมีไม่กี่คน แต่ตระกูลอวิ๋นเป็นทุกคน”
ตรรกะของซ่านอิงยุ่งเหยิงไปหมด อาจารย์ของเขามารดาของเขาไม่เคยสอนเขาว่ามีเจ้านายเช่นอวิ๋นเยี่ย ตระกูลซ่านจะต้องรุ่งเรืองไม่ช้าก็เร็วเขามีความเชื่อมั่นในตัวเองเพียงพอ หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นเยี่ยใช้สถานศึกษามัดเขาไว้ เขาเตรียมจะกลับเหอเป่ยเพื่อสร้างเอ้อร์เสียนจวงขึ้นมาใหม่ อาศัยฝีมือตัวเองเอาชนะพวกโจรหัวแข็งที่ไม่ยอมใครให้หมดสิ้น กลับคืนอำนาจปกครองเหล่าโจรของตระกูลซ่าน นี่เป็นธรรมเนียมสืบทอดของตระกูลซ่านทั้งเป็นหน้าที่ของเขาด้วย
เวลานี้เขารู้สึกว่าความคิดตัวเองผิดเพี้ยนไปจะขอศึกษาจากอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้ เป็นนิสัยของยอดฝีมือที่ชอบชักนำตัวเองไปสู่ทางตัน จะต้องออกห่างผู้คนยิ่งไกลยิ่งดี ทันใดนั้นเขารู้สึกโดดเดี่ยวหงอยเหงา เขาเป็นคนผิดแปลกจากกลุ่มคนเหล่านี้พวกเขาช่างมีความสุขเหลือเกิน มีแต่ตัวเองที่ต้องแบกรับภารกิจในการฟื้นคืนตระกูลไม่ได้มีความสุขแม้แต่น้อยนิด เวลานี้เขาช่างคิดถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขายิ่งนัก คิดถึงวันเวลาง่ายๆที่อยู่ร่วมกับอาจารย์
เหล่าเจียงเดินถือน้ำเต้าสุรามา บอกเขาว่า “ไอ้หนู ทำไมไม่ไปเล่นด้วยกับพวกเขา เจ้าดูพวกอวิ๋นซันตอนนี้เริ่มใช้อ่างสาดน้ำกันแล้ว หากข้าอายุอ่อนกว่านี้สามสิบปีจะต้องไม่ยอมพลาดแน่นอน คนแก่แล้วขาดอารมณ์ มาดื่มสุรากันเพิ่มอารมณ์ให้คนหนุ่ม หากไม่สบายใจอะไรบอกข้าได้ ข้าอายุมากแล้วเห็นเรื่องราวมามากไม่แน่ว่าอาจแก้ปมในใจเจ้าได้”
ซ่านอิงดื่มสุราคำใหญ่โดยไม่รู้ตัว พอน้ำสุราที่ร้อนผ่าวไหลลงท้องรู้สึกสบายขึ้นมาทันที ถูกเหล่าเจียงจูงไป สองคนนั่งคุยกันบนแท่นหินใหญ่ คนแก่คนหนุ่มหัวเราะกันเป็นระยะๆราวกับคุยถูกคอกันมากนัก
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้มองทั้งคู่ เพียงแต่ยื่นนิ้วหัวแม่โป้งให้เหล่าเจียงที่หันหน้ามาทางตัวเองแล้วรีบกลับเข้าไปร่วมต่อสู้ใหม่ ดูเหมือนฝั่งสาวใช้เริ่มเปียกกันจนโชก หุ่นแต่ละคนอรชรอ้อนแอ้นน่าดูน่าชมมาก
น่าผิดหวังมาก มีหญิงชราเลี้ยงทารกพุ่งออกมาจากกระโจมหลายคน ในมือถือผ้าม่านรีบกันกลุ่มผู้หญิงออกจากกลุ่มผู้ชาย ใครกล้ามองมาทางนี้อีกจะต้องโดนด่ายับ
การละเล่นต่อเนื่องไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แต่ละคนจึงรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งหิว สวมชุดเปียกปอนพยายามทำอาหารที่ไม่รู้เป็นมื้อเช้าหรือมื้อเที่ยง กินกันเสร็จแล้วก็นอนผึ่งบนแท่นหินที่เย็นสบายรอเสื้อผ้าแห้ง
เดินทางต่อไม่ไหวแล้ว เฉียนทงถลึงตาไปยังบ่าวไพร่ที่นอนกันระเนระนาดบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย วันนี้น่ากลัวจะเดินทางไม่ได้แล้ว สู้กางเต็นท์ค้างที่นี่สักคืนดีไหม”
อวิ๋นเยี่ยมองซ่านอิงที่เมาจนหาทิศทางไม่เจอจึงยิ้มแล้วพยักหน้า อดไม่ได้ที่จะนับถือพวกผู้ชราที่สามารถทำให้นักสังหารเมาได้ขนาดนี้ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ