เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 44
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 44 ชำระบุญคุณความแค้นโดยพลัน
ทำอย่างไรจึงจะมีน้องชาย เรื่องนี้ไม่สามารถหยุดยั้งซ่านอิงที่ได้รับการอบรมแบบโจรเสี่ยงหม่าตั้งแต่เล็ก หลงซันเจ้าถิ่นลั่วหยางรังแกน้องชายตามชะตาลิขิตของตัวเองเป็นเรื่องเล็กอยู่หรือ แค้นนี้ย่อมต้องชำระ ในยุทธจักรบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระด้วยการชำระบุญคุณความแค้นโดยพลัน ส่วนคำว่าลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีไม่สายนั้นเขาไม่เคยเชื่อเลย สำหรับเขาแม้แต่ชั่วยามเดียวก็ยังนานเกินไป
เอาชามอ่างใส่ข้าวเต็มชามทั้งเนื้อตุ๋นใส่จนพูนยัดใส่มือฉีเฉิง ตัวเองขี่ม้าเร็วฝุ่นตลบตลอดทางไปถึงลั่วหยาง อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องสงสัยเลยว่าอวสานของเจ้าถิ่นหลงซันมาถึงแล้ว เมื่อเจอกับอินทรีที่บินอยู่เหนือฟากฟ้าแล้วชีวิตเขาย่อมต้องเป็นโศกนาฏกรรมแน่นอน เขาไม่ใส่ใจความเป็นความตายของหลงซันแต่เขาใส่ใจฉีเฉิงมากกว่า
ฉีเฉิงเห็นชัดว่าหิวจัดแต่ก็ยังอดทนใช้ช้อนป้อนข้าวให้หม่าชื่อ หม่าชื่อได้กินยาที่ซ่านอิงให้ไปแล้วอาการดีขึ้นมากมาย เลือดเสียที่หน้าอกก็ถูกซ่านอิงใช้เข็มซันเหลิงปล่อยออกมาแล้ว ตอนนี้กำลังเอนบนเก้าอี้กินข้าวอยู่
ฉีเฉิงใส่ใจมากโดยใช้ข้าวหุ้มเนื้อตุ๋นแช่ให้แฉะก่อนแล้วจึงป้อนให้หม่าชื่อกิน หม่าชื่อกินอย่างตะกละตะกรามชนิดยกคอขึ้นแล้วกลืนเข้าไปทั้งคำอย่างรวดเร็วราวกับเป็ดที่กำลังโดนป้อนข้าว
“ไม่ต้องรีบกิน เฮลา หน้าอกเจ้าบาดเจ็บกินเร็วนักไม่ได้ เจ้าดูยังมีอีกเยอะแยะ เนื้อดีมากค่อยๆเคี้ยว เคี้ยวละเอียดแล้วค่อยกลืนแม่เราสอนเรามาเช่นนี้ ตั้งแต่นี้ไปพวกเรารุ่งเรืองแล้วไม่ต้องกินข้าวฟ่างแล้ว ข้าเพิ่งหาคนใหญ่โตที่พึ่งได้มีวิทยายุทธสุดยอดเป็นลูกของพี่น้องพ่อเรา ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์กับโหวเหยียที่นี่อย่างดี ตอนนี้ไปจัดการหลงซันแล้ว บอกว่าเดี๋ยวจะกลับมา”
ฉีเฉิงค่อยๆเล่าเรื่องราวให้หม่าชื่อฟังแต่หม่าชื่อราวกับไม่ได้ใส่ใจ ขอให้ฉีเฉิงตัดสินใจแล้วเขาเดินตามเท่านั้น ถึงอย่างไรพี่ฉีก็ไม่ทำร้ายตัวเองแน่นอน
จนกระเพาะตัวเองเต็มแล้วเขาได้ยินเสียงท้องฉีเฉิงร้องจ๊อกๆ ทั้งยังน้ำลายมุมปากที่คอยหยดลงมา เขาพยายามดันชามอ่างข้าวไปที่ฉีเฉิงบอกว่า “พี่ชาย ท่านกิน เนื้อจะหมดแล้ว”
ฉีเฉิงยิ้มร่ากลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่บอกว่า “พูดอะไรกัน ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากินจุแค่ไหน มา กินให้หมดชามอ่างนี้ให้ร่างกายฟื้นคืนไวๆ พี่จะพาเจ้าไปอุนโหรวจวี รูปร่างชุ่ยเหนียงพวกเราเคยแอบดูมาแล้วโอยขาวจริงๆ จุ๊ๆ ไว้เจ้าหายแล้วพวกเราไปกัน ข้ากินจนอิ่มแล้วตอนเมื่อครู่ที่เจ้าหลับ ข้ากินขาหมูคนเดียวทั้งขาไม่ได้เหลือให้เจ้า”
หม่าชื่อแข็งใจกินไปอีกสองคำบอกว่าเลี่ยนเกินไปแล้วกินแต่ข้าวไม่กินเนื้อ หลังจากดื่มน้ำแล้วก็ไม่ยอมกินอีก เขารู้ดีว่าพี่ฉีโกหก ตั้งแต่เล็กขนาดแย่งขนมโก๋ขึ้นรามาได้หนึ่งชิ้นยังต้องแบ่งตัวเองครึ่งชิ้น คนแบบนี้มีหรือที่มีขาหมูแล้วไม่เหลือไว้ให้ตัวเองแต่กินคนเดียวหมด
ฉีเฉิงเห็นหม่าชื่อไม่ยอมกิน มองดูในชามอ่างยังเหลือข้าวอยู่เกือบครึ่งกับเหลือเนื้ออยู่บ้าง จึงบอกว่าอย่าเสียของ แล้วยกชามอ่างโกยใส่ปากตัวเองโดยไม่ต้องหยุดหายใจ
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ห่างๆแต่เห็นชัดเจนชนิดไม่ต้องแอบฟังเขาก็เดาออกว่าพี่น้องกำลังพูดอะไรกัน ใบหน้าด้านข้างของหนิวเจี้ยนหู่แดงก่ำในตามีแต่ความชื่นชมที่ปิดไม่มิด เฉิงฉู่มั่วก็เช่นเดียวกัน นี่คือเสน่ห์ของความสัมพันธ์ในยุทธภพ เขาสามารถเสกสรรปั้นแต่งให้คนหนึ่งยอมตายเพื่ออีกคนหนึ่งได้ ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นความสวยงามแต่ก็ทารุณมาก
ดอกไม้ในคุกและน้ำผึ้งที่หน้าผาสูงล้วนเป็นสิ่งที่สวยงามสุดยอดในโลกมนุษย์และเป็นความอร่อยสุดยอดด้วย คนที่มีความสัมพันธ์เช่นนี้มักใช้ชีวิตตัวเองเช่นเดียวกับดอกไม้ไฟที่มีแสงสีสวยงามในเวลาสั้น แต่แสงสีชนิดนี้อยู่ได้เพียงพริบตาเดียว เมื่อระเบิดออกแล้วก็หายไป
ตบหน้าหนิวเจี้ยนหู่กับเฉิงฉู่มั่วคนละฉาด เป็นเสาหลักของตระกูลใหญ่โตทำไมไปอิจฉาชื่นชมเรื่องที่พวกสิ้นไร้ไม้ตอกจึงจะทำได้ สมควรเอาศีรษะไปให้ลาเตะให้หายทึ่ม มีคนทั้งตระกูลตามหลังจะไปมีชีวิตอิสระอะไรกันนัก หากจำเป็นแล้ว ให้มีความกล้าหาญที่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยังดีกว่าถือมีดไปไล่แทงคนตามถนน
“เรื่องชนิดนี้แค่คิดได้ก็พอแล้วอย่าได้ชักนำตัวเองเข้าไปยุ่ง พวกเขาทำเช่นนี้ได้แต่พวกเจ้าทำไม่ได้ ข้างบนมีผู้ชรารอให้เจ้าส่งเวลาสิ้นลม ข้างล่างมีผู้เยาว์ที่รอเจริญเติบโต หากอยากชำระบุญคุณความแค้นโดยพลันต้องรอชาติหน้าแล้ว”
“เยี่ยจื่อ ทำไมข้าจึงอยากร้องไห้ ข้าออกจะชื่นชมอิจฉาว่าพวกเราจะมีวันที่เป็นเช่นนี้ไหม” เฉิงฉู่มั่วยังอุตส่าห์ถามอีก
“ความคิดของข้าเป็นเช่นนี้ คือรอให้พวกเราแก่ชราจนเดินไม่ไหวแล้วยังสามารถมีอาการครบสามสิบสองนั่งเล่นไพ่มาจองบนโต๊ะ ถือโอกาสด่าลูกชายสั่งสอนหลานๆวางท่าเหล่าไท่เหยียไว้ ยิ่งหากมีพลังเหลือไปซ่องนางโลมได้จะดีที่สุด ผ่านชาตินี้ได้เช่นนี้เป็นความหวังของข้า ฉู่มั่ว การค้นหาข้าสามวันสามคืนบนทุ่งหญ้าเป็นเรื่องต้องห้าม คนมีสมองจะไม่ทำเช่นนั้นหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วจะเรียกทำไมว่าพี่น้อง”
“สามารถช่วยให้ข้ามีชีวิตผ่านไปได้อย่างราบรื่นได้ในชาตินี้ก็คือพี่น้อง คำถามนี้รอไว้ให้เราแก่ชราจนไม่ไหวแล้วค่อยพูด ตอนนั้นเจ้าจะให้ข้าตามเจ้าไปปล้นพระราชวังข้าก็ไปด้วย ตอนนี้ให้คิดถึงองค์หญิงชิงเหอหลี่จิ้งภรรยาในอนาคตของเจ้าให้มากๆหน่อย เจ้าได้ไปเยี่ยมเยียนมาแล้วกี่ครั้ง”
อวิ๋นเยี่ยดูผู้ดูแลบ้านเฉียนเอาถังข้าวมาเติมข้าวเติมเนื้อให้ฉีเฉิง ถามเฉิงฉู่มั่วโดยไม่ได้หันมอง
“อพิโธ่เอ๋ย ปีนี้ชิงเหอเพิ่งอายุสิบสี่ปี ข้ากับเด็กอายุสิบสี่จะมีอะไรคุยกันได้”
“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าได้จิ่วอีมาก็อายุสิบสี่ปี ทำไมตอนนี้ไม่กลายเป็นเดรัจฉานเล่า” หนิวเจี้ยนหู่ทำเสียงเสียดสีเฉิงฉู่มั่ว
“ตอนจิ่วอีคลอดลูกสาวข้าเกือบต้องตายไป หากไม่ใช่เยี่ยจื่อกับนักพรตซุนโลกนี้ก็ไม่มีนางแล้ว เรื่องนั้นข้าไม่อยากให้เกิดขึ้นในตัวชิงเหออีก” เฉิงฉู่มั่วนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ จิ่วอีคว้ามือเขาขอร้องให้เขาช่วย เหตุการณ์ที่สยดสยองเช่นนั้นเขาไม่อยากให้มีอีกเป็นครั้งที่สองในชาตินี้
“บอกเจ้าให้ ผู้หญิงราชวงศ์แต่งงานมาแล้วต้องมีชีวิตให้ดี วังองค์หญิงเส็งเคร็งนั่นอย่าไปดีที่สุดให้รับชิงเหอกลับบ้าน ผู้หญิงหงอยเหงาอยู่คนเดียวในวังองค์หญิงช่างน่าสงสาร โชคเจ้ายังดีที่แต่งงานกับชิงเหอที่มีนิสัยนุ่มนวล หากเปลี่ยนเป็นองค์หญิงคนอื่นเจ้าจะตายอนาถยิ่งกว่าหมูตัวหนึ่ง ไม่มีคนไหนพูดง่ายเลย เหอผู่คนหนึ่งหลานหลิงคนหนึ่ง ทั้งสองคนนี้ หึๆ ได้ยินว่าเหอผู่ยกให้ฝางอี้ไอ้ หลางหลิงยกให้น้าชายเล็กของเขาเอง ฮ่าๆ ช่างเหมาะสมกันมากที่สุด”
“เยี่ยจื่อ ทำไมเจ้าหัวเราะเยาะเช่นนี้ มีอะไรพิกลหรือ” หนิวเจี้ยนหู่ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวังเนื่องจากประสบการณ์ของเขาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยหัวเราะด้วยเสียงร้องของแมวกลางคืนเช่นนี้มักจะมีคนโชคร้ายแสนสาหัส
“พี่ทั้งสองช่วยกันจำไว้ว่าตระกูลฝางกับตระกูลโต้ว เรื่องสองตระกูลนี้อย่าได้ไปยุ่ง ยิ่งไม่ต้องไปยุ่งกับสององค์หญิงนี้ ต่อให้มีปัญหากันก็ยังต้องถอยห่าง นี่เป็นสององค์หญิงที่สามารถทำให้ตายหมดทั้งตระกูลได้ ใครโดนแล้วโชคร้ายทันที”
ทั้งคู่จ้องมองอวิ๋นเยี่ยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจโดยไม่รู้ว่าความมั่นใจมาจากไหน แต่จากตัวอย่างเรื่องต่างๆที่ผ่านมาก็ยังเชื่อคำพูดเขาไว้จะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเวลาผิดพลาดขึ้นมาจะขอให้เขาช่วยเหลือก็ยากที่จะเปิดปากแล้ว
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมฆดำทะลักมาจากเขาอีกด้านหนึ่ง พริบตาเดียวก็บังท้องฟ้าจนมืดมิด ผู้ดูแลบ้านเฉียนรีบสั่งการบ่าวไพร่เสริมความแข็งแรงให้กระโจม ย้ายกระโจมที่อยู่พื้นที่ต่ำไปอยู่พื้นที่สูงและขุดร่องระบายน้ำรอบๆกระโจม บ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋นล้วนจัดการได้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนบ่าวไพร่ตระกูลเฉิงกับหนิวต่างจัดการอย่างชุลมุน
ผู้ดูแลบ้านเฉียนเตะฉีเฉิงที่ทำอะไรไม่ถูกไปทีหนึ่งแล้วโยนกระโจมเล็กให้เขาหลังหนึ่ง หากไม่มีแล้วฝนเทลงมาอาการเจ็บของหม่าชื่อต้องหนักมากขึ้นไปอีก แต่ฉีเฉิงตั้งกระโจมไม่เป็นเลยคว้าแขนผู้ดูแลบ้านเฉียนไม่ยอมปล่อย เหล่าเฉียนยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากจะว่างช่วยเขาได้อย่างไร สลัดฉีเฉิงแล้วก็รีบไปโวยบ่าวไพร่ตระกูลเฉิงว่า “ยังไม่รีบย้าย**บห่อของเจ้านายเจ้าไปกระโจมบนที่สูงอีก จะรอให้ฝนสาดหรือ”
เฉิงฉู่มั่วยืนดูบนที่สูงเห็นชัดเจนบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “ทำไมบ่าวไพร่บ้านเจ้าต่างรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ของบ้านข้าเซ่อซ่ามากไม่ผลักก็ไม่ขยับ”
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจคำพูดโง่ๆของเฉิงฉู่มั่ว เดินลงเนินมาตรงหน้าฉีเฉิง กางกระโจมออกแล้วเริ่มติดตั้งโครงเหล็ก กระโจมตระกูลอวิ๋นล้วนแต่ใช้แผ่นเหล็กหนามาม้วนเป็นท่อกลวง ที่ปลายทำลิ่มไว้เพียงแค่สวมให้ถูกด้านก็ต่อติดกันได้เลย ผ้ากระโจมใช้ผ้าลินินทาน้ำมันสนอย่างหนาสามารถกันน้ำได้อย่างดีที่สุด กระโจมพอดีครอบรถลากได้พอดี ฉีเฉิงไม่ได้พูดอะไร แต่กำมือทำความเคารพอวิ๋นเยี่ยแล้วมุดเข้ากระโจมดูแลหม่าชื่อที่อ่อนแออยู่ การรอดชีวิตจากค้อนโซ่ของเหล่าเจียงได้นับว่าเป็นโชคของหม่าชื่อที่สวนทางสวรรค์ได้
ลมพายุรุนแรงพัดมาจนเกิดฝุ่นฟุ้งทั่วไป ฟ้าร้องครืนๆ มืดฟ้ามัวดิน โรงม้าที่เพิ่งทำเสร็จโดนลมแรงพัดทีเดียวหลังคาก็หลุดหายไป เหล่าบ่าวไพร่วิ่งออกมาตะโกนให้สัญญาณสู้กับลมแรง ผ้าน้ำมันต้านลมยากที่จะอยู่นิ่ง เฉิงฉู่มั่วเห็นแล้วรำคาญจึงวิ่งออกไปใช้มือกดผ้าน้ำมันที่เกือบโดนลมพัดไปไว้บนพื้น มีบ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋นถือไม้ลิ่มออกมาทันที ตอกเพียงสองสามทีก็ยึดไว้อยู่ สองแขนเฉิงฉู่มั่วมีกำลังมากกล้ามขึ้นเป็นมัด ผ้าน้ำมันที่ต้านลมก็ถูกเขายึดไว้อยู่กับที่ พอลมไม่เข้ามาม้าศึกที่กำลังร้องกันลั่นก็เงียบเสียงลงทันที เฉิงฉู่มั่วหัวเราะฮ่าๆโชว์ร่างกายที่กำยำล่ำสันให้อวิ๋นเยี่ยดู ที่ตอบรับเขาคือนิ้วกลางที่ยื่นออกมาของอวิ๋นเยี่ยกับหนิวเจี้ยนหู่
วั่งไฉไปไหนแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยร้อนรนมากรีบหาตามที่ต่างๆ กลับพบหัวม้ายื่นออกมาจากกระโจมที่สาวใช้พักอยู่ ไม่ใช่วั่งไฉแล้วยังจะเป็นใครอีก ในปากเคี้ยวอาหารไม่หยุด เห็นอวิ๋นเยี่ยมองมันอยู่ยังอ้าปากร้องหนึ่งครั้งถือเป็นการทักทาย
เมื่อสายฟ้าย้ายสนามรบมาอยู่เหนือศีรษะ ตามติดด้วยสายฟ้าเป็นแฉกๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมา เม็ดฝนสีขาวกระทบกระโจมเสียงดังราวตีกลอง เวลาที่ยุ่งเหยิงผ่านพ้นไปแล้ว ที่ตั้งค่ายกลับคืนความสงบดังเดิม หน่วนลาดตระเวนด้านนอกก็ถอยกลับมาแล้วส่วนใหญ่ คงเหลือส่วนน้อยเฝ้าระวังอยู่บนยอดเนิน
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ซ่านอิงคืนนี้คงกลับมาไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ห่วงเขา ไอ้หนูที่เริ่มสังหารคนตั้งแต่อายุสิบขวบ หากไปเสียท่าเจ้าถิ่นคนหนึ่งก็ถือว่าสมน้ำหน้า
ฝนที่รุนแรงรวดเร็วผ่านไปแล้ว คงเหลือเพียงฝนที่ปรอยลงมาเล็กน้อยกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า ฝนบนที่ราบก็เป็นเช่นนี้เอง มาอย่างฉุนเฉียวแต่ไม่ได้อยู่นาน เสียงฟ้าร้องเบาๆผ่านศีรษะไปราวกับไปถึงขอบฟ้า สายฟ้าสุดท้ายที่ขอบฟ้าก็ค่อยๆจางหายไปแล้ว แผ่นดินมีแต่ความมืดมิด คงมีแสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงที่กำลังเปล่งแสงสีส้มในค่ายพักแรมเท่านั้น
เสียงฝีเท้าม้าที่เร่งรีบดังแว่วมา ซ่านอิงถือทวนใหญ่พุ่งออกมาจากความมืดราวกับจอมมาร เสื้อผ้าแนบร่างสนิท ฝนที่เทลงมาเมื่อครู่นี้ไม่ได้ล้างคาวเลือดที่อยู่เต็มร่างของเขาให้หมดสิ้น หยดน้ำจากมุมเสื้อภายใต้แสงตะเกียงเห็นถึงสีแดงที่น่าประหลาด ศีรษะมนุษย์ที่ผูกอยู่ใต้คอม้าแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างน่าเกลียด ใช้ทวนในมือเขี่ยทีเดียวศีรษะนั้นก็ร่วงลงมาใต้เท้าฉีเฉิง
ฉีเฉิงเก็บศีรษะคนขึ้นมาแล้วผงกศีรษะให้ซ่านอิง จากนั้นก็ใช้พิธีใหญ่กราบไหว้ ซ่านอิงที่อยู่บนหลังม้าท่าทางหยิ่งยโสราวกับนกอินทรีบนยอดเขา เหนือสิ่งทั้งมวล
“สังหารอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจในประสิทธิภาพของเขา
“เข้าประตูตะวันตก ออกประตูตะวันออก”
“สังหารไปเท่าไร”
“หกสิบสามคน”