เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 57
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 57 พระสงฆ์สองรูป
เลือกวัตถุดิบได้แล้วอวิ๋นเยี่ยก็เริ่มทำอาหาร นำซี่โครงหมูที่หั่นแล้วต้มในหม้อล้างเลือดทิ้งก่อน สั่งคนครัวสับเนื้อทำไส้ เด็ดผักเหยี่ยไช่สดที่เพิ่งเก็บมา ลูกบัวที่แช่น้ำแล้วถูกดึงไส้ออกไปใช้มีดตบๆแล้วใส่ในหม้อดินตุ๋นรวมกับข้าวเหนียวด้วยไฟอ่อน ไก่นั้นง่ายมากต้มเสร็จแล้วแค่ใช้มือฉีกออกก็เสร็จ อวิ๋นเยี่ยทำทุกรายการไว้มากพอที่จะกินได้สามคน
สือสือปอกต้นหอมต้นใหญ่มาก ที่อยู่ข้างๆวางขิงที่ปอกแล้ว เป็นเด็กที่ชอบทำงานดีจริง เปรียบเทียบกันแล้วเสี่ยวยาชอบกินอย่างเดียวเรื่องทำอาหารเป็นเรื่องทุกข์ทรมานสำหรับนาง
ผู้หญิงพวกนี้ทำไมจึงชอบอาหารที่มันมาก เคยคิดว่าลูกชิ้นแค่จุ่มน้ำมันทอดให้มีสีนิดเดียวแล้วใส่รังถึงนึ่งสุกก็พอแล้ว ครั้งก่อนสั่งคนครัวทำเช่นนี้แต่ละคนบ่นกันว่าไม่อร่อยไม่มีน้ำมันกินแล้วแห้งไม่มีรสชาติ ครั้งนี้เลยสั่งให้ทอดสุกไปเลย
ดูลูกชิ้นในหม้อทอดน้ำมันผุดขึ้นลงเริ่มออกสีเหลืองแล้วน้ำลายสือสือหยดติ๋งๆลงมา จึงเอาตะแกรงช้อนลูกชิ้นที่สุกแล้วขึ้นมาแบ่งไว้ในชามเล็กของสือสือบางลูก ดูนางถือชามเป่าลูกชิ้นอย่างตั้งใจแบบว่าอยากให้รีบเย็นลงแล้วอวิ๋นเยี่ยรู้สึกสบายใจ นี่จึงเป็นท่าทางของเด็กๆ พวกหัวโล้นนั้นสอนเด็กจนกลายเป็นท่อนไม้ไปแล้ว
สือสือกินลูกชิ้นหมดแล้วดูอิ่มอกอิ่มใจมาก ถือช้อนเล็กค่อยๆคนซุปลูกบัว อวิ๋นเยี่ยใส่เห็ดหูหนูขาวเพิ่มลงไป สือสือที่ไม่เคยเห็นของเหล่านี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก
อาจารย์ลูกศิษย์สองคนแอบแทะกระดูกชิ้นใหญ่คนละชิ้นในห้องครัว จนซุปลูกบัวเสร็จรวมทำอาหารสามชอหนึ่งเจอีกหนึ่งซุป เป็นอาหารเย็นที่อวิ๋นเยี่ยปลอบขวัญให้หญิงมีครรภ์ที่ถูกกดขี่สองคน ถึงแม้จะช้าไปหน่อยแต่ว่าอาหารอร่อยไม่กลัวช้าไม่ใช่หรือ
ให้คนครัวไปตามเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่มาให้ถาดคนละใบ หนิวเจี้ยนหู่ออกจะเกรงใจเพราะรู้สึกว่าจะหลู่เกียรติอวิ๋นเยี่ยไปหน่อย เฉิงฉู่มั่วมือหนึ่งยกถาดอีกมือหนึ่งเอาซี่โครงใส่ปากตัวเอง
“เรื่องเกียรติเอาไว้ให้คนนอกดู พวกเราพี่น้องกันมัวห่วงเรื่องนี้ก็ตลกแล้ว รีบเลย เอาของไปให้เอาใจเมียตัวเองหน่อย ซินเย่ว์ยังรอกินอยู่เลย”
ดึงมือเฉิงฉู่มั่วที่ยื่นไปบนจานอีกครั้งลงมาแล้วไล่ทั้งสองไป อวิ๋นเยี่ยเอากระดูกหมูที่ผัดเสร็จอีกกะละมังหนึ่งให้คนครัวเอาไปให้ซ่านอิง เขาไม่พิถีพิถันเรื่องกิน ขอให้รสชาติดีปริมาณมากพอก็ได้แล้ว เจ้านี่กินจุมากจริงๆ มื้อหนึ่งกินไก่ได้สามตัวยังต่อเพิ่มหมั่นโถวอีกหนึ่งรังถึงจึงจะอิ่ม ดูแล้วคนวิทยายุทธสูงย่อมกินจุ ยอดฝีมือต้องอาศัยการกินจุด้วย หากกินไม่พอยอดฝีมือก็ยืนไม่อยู่เหมือนกัน มื้อเย็นกินข้าวแฉะไปเต็มท้องย่อมกินไม่อิ่ม ตอนนี้จะได้กินกระดูกบำรุงหน่อย
ซินเย่ว์กำลังเคาะผลไม้เปลือกเขียวที่คนดูแลบ้านนำมาจากลั่วหยาง รอจนอวิ๋นเยี่ยยกถาดอาหารเดินเข้ามาจึงนั่งหน้าโต๊ะถือตะเกียบเตรียมกินข้าว
สือสือจัดวางอาหารทีละอย่างจนเสร็จ เรียกอาจารย์แม่จนซินเย่ว์ทั้งรักทั้งเอ็นดู ลากสือสือนั่งอยู่ข้างๆแล้วเอากระดูกชิ้นใหญ่ให้นางแทะ ควรรู้ว่ากระดูกชิ้นใหญ่ปกติเป็นของซินเย่ว์คนเดียวโดยที่นางแทะกินไขกระดูกได้ทั้งชั่วยาม เวลานี้ยอมเอาของที่ชอบมากสุดให้สือสือย่อมเห็นได้ว่านางชอบสือสือมากเท่าไหน
สือสือที่เพิ่งกินของไปแล้วมากมายก็เริ่มแทะกระดูกอย่างเอร็ดอร่อย ซินเย่ว์เองก็ใช้ทั้งสองมือชนิดที่ไม่มีมาดผู้ดีเหลืออยู่แม้แต่นิดยัดของมันย่องใส่ปากจนทนดูไม่ไหวจริงๆ ถอนใจคิดว่าถ้ากินกันแบบนี้ไม่เตรียมน้ำซันจาให้นางทั้งสองคนไว้ก่อนคงไม่รอดแน่
เหล่าเจียงก็ชอบแทะกระดูกนั่งคู่กับซ่านอิงใต้แสงดาวสุราคำเนื้อคำกินอย่างสบายอารมณ์ อากาศภูเขากลางคืนค่อนข้างเย็น บ่าวไพร่ก่อไฟเป็นกองๆนั่งล้อมวงคุยกันรอบกองไฟ คนตระกูลอวิ๋นไม่ขาดสุรา บ่าวไพร่ที่นิยมดื่มจะมีสุราชามเล็กให้ทุกวันเพื่อไว้คลายเหงา ตระกูลเฉิงกับหนิวก็คล้ายกัน แต่ละคนควักน้ำเต้าสุราอันเล็กออกมาจิบสุราคุยกัน จิตใจปลอดโปร่งวันเวลาผ่านไปอย่างสุขสบาย
วัดเส้าหลินข้างหลังมืดสนิทไม่มีแสงไฟแม้แต่นิด เหล่าพระสงฆ์ต่างเคยชินกับนิสัยทำงานตอนดวงอาทิตย์ขึ้น พักผ่อนตอนดวงอาทิตย์ตกเช่นเดียวกับชาวบ้านต้าถังทั้งหมด เพียงแต่คืนนี้จะต้องมีพระสงฆ์ที่นอนไม่หลับสองคน อวิ๋นเยี่ยมองประตูใหญ่วัดที่ปิดสนิทแล้วแอบหัวเราะ
ไม่ต้องค้นหาหรอกกิ่งไม้บนต้นสนมีพระสงฆ์ที่นอนไม่หลับคนหนึ่งนั่งอยู่ เรื่องห่วงใยลูกเต้าแม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่เว้น ขณะที่อวิ๋นเยี่ยเข้ามาซ่านอิงใช้นิ้วชี้ไปที่กิ่งไม้ ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่าเจวี๋ยหย่วนจะต้องอยู่ข้างบนนั้น ไม่รู้ว่าเขานั่งมานานเท่าไรแล้วแต่คาดว่าคงไม่ได้น้อยนัก ภาพที่อวิ๋นเยี่ยกับสือสือทำอาหารด้วยกันกินข้าวด้วยกันคงทำให้เขาสะท้อนใจมาก ความสุขนี้ความจริงต้องเป็นของเขา ไม่รู้ว่าในใจเขาความคิดฝ่ายพระกับฝ่ายฆราวาสฝ่ายไหนหนักเบากว่ากัน
“อาจารย์เจวี๋ยหย่วนมีความคิดขอเมาสักครั้งไหม” อวิ๋นเยี่ยหยิบน้ำเต้าสุราดื่มไปอึกหนึ่งแล้วส่งเสียงถามไป
ความสูงสามจั้ง เจวี๋ยหย่วนโดดลงมาตรงๆมีเสียงกระทบพื้นเบามาก แย่งน้ำเต้าสุราจากอวิ๋นเยี่ยแล้วแหงนคอกรอกสุราเต็มที่ ซ่านอิงดูอยู่ไกลกระซิบกับเหล่าเจียงแล้วหัวเราะลั่นออกมา
สุราตระกูลอวิ๋นแรงมากซ่านอิงรู้รสมาแล้ว เขายินดีที่จะรอพระสงฆ์มีอาการเมาสุราให้เห็น คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ให้ดูเพียงชั่วยามเดียวก็โดนเก็บไปช่างใจแคบจริงๆเลย
เป็นจริงดังนั้น ใบหน้าเจวี๋ยหย่วนแดงก่ำทั้งสำลักสุราที่แรงจัดจนไออย่างรุนแรง ทำให้เจ้าสองคนนั้นหัวเราะเสียงดังยิ่งขึ้น เจวี๋ยหย่วนระงับอาการแล้วนอกจากไม่โกรธกลับยกนิ้วหัวแม่โป้งชมว่า“สุราดี”
มองเห็นท่าทางเจวี๋ยหย่วนเช่นนี้แล้วเหล่าเจียงก็ชมกลับมาว่า“คอทองแดง” สำหรับคอสุราด้วยกันเขาไม่เคยตระหนี่ น้ำเต้าสุราเล็กสีน้ำตาลที่คาดเอวปลิวมาพร้อมส่งเสียงมาจากทางไกลว่า “พระสงฆ์ใหญ่ นี่เป็นสุราโถวเต้าของโรงบ่มสุราตระกูลอวิ๋นมีรสชาติดีหนักหนา เสียแต่ดื่มแล้ววันรุ่งขึ้นจะปวดศีรษะแทบแยกเป็นเสี่ยงๆ แต่สำหรับพวกคอสุราอย่างเราๆ การที่ได้ลิ้มรสสุราดีเช่นนี้เพียงปวดศีรษะแค่นี้จะเป็นไรไปเล่า เชิญชิม”
เจวี๋ยหย่วนรับน้ำเต้าสุรา สองมือพนมขอบคุณเหล่าเจียงแล้วเปิดน้ำเต้าออก จิบไปหนึ่งคำให้น้ำสุรากลอกกลิ้งในปากไปมา ให้ต่อมรับรสรับรู้ถึงรสชาติของสุราแล้วจึงกลืนลงไป รู้สึกถึงกระแสความร้อนตั้งแต่ลำคอจนถึงกระเพาะแล้วแผ่ซ่านไปทุกส่วนของร่างกาย นับว่าสุดยอดในโลกทีเดียว
อวิ๋นเยี่ยอมยิ้มดูวิธีปฏิสันถารของเหล่าชาวยุทธ สิงโตกับสิงโตย่อมมีภาษาที่เข้าใจกัน พวกเขาอาจจะรุนแรง อาจจะใจกว้าง อาจจะยอมตายแทนกัน หรืออาจจะต่อสู้เอาชีวิตกัน ล้วนอยู่ในพริบตาเดียวเท่านั้น หากถูกชะตากันสุราชามเดียวก็เป็นเพื่อนตายกันได้ พูดจาผิดหูกันจนชักมีดดาบสู้กันก็เป็นเรื่องธรรมดา พวกเขายังดูบริสุทธิ์กว่า อย่างน้อยอวิ๋นเยี่ยก็คิดเช่นนี้
“อวิ๋นโหว สือสือสามารถเป็นลูกศิษย์ท่านได้นับเป็นวาสนาของนาง ข้าไร้สิ้นทุกอย่างได้เพียงสวดอวยพรให้ท่านได้ทุกวันในวัดโบราณแห่งนี้ วันหน้ารอให้สือสือเติบใหญ่แล้ว ขอรบกวนอวิ๋นโหวหาคนที่เหมาะสมให้นางแต่งงานไปมีชีวิตที่ดีมีลูกมีหลาน ให้นางลืมบิดาที่ทำเรื่องโสมมเอาไว้ชาตินี้ไม่ต้องพูดถึงอีก”
สุราดื่มมากแล้วการควบคุมตัวเองก็จะลดลง ดูท่าทางน้ำตาตกของเจวี๋ยหย่วนแล้วอวิ๋นเยี่ยไม่ได้สบายใจนัก เจวี๋ยหย่วนกังวลที่มีบิดาเช่นตัวเองจะทำให้ครอบครัวดีๆดูถูก เกิดปัญหาต่อการมีคู่ครองของสือสือ คนเป็นบิดาทำได้ขนาดนี้ก็คือบิดาที่ผ่านเกณฑ์สมควรแล้ว ไม่ว่าเขาเป็นพระสงฆ์หรือไม่ก็ตาม
อวิ๋นเยี่ยชี้เนินดินข้างๆบอกเจวี๋ยหย่วนว่า “ความผูกพันทางสายเลือดนั้นตัดไม่ขาดหรอก ท่านหาบดินสร้างเนินมาห้าปี เนินสร้างเสร็จแล้วความผูกพันกลับรุนแรงขึ้น พระสงฆ์อาวุโสทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะทั้งเมาสุรา ยังจะมีฐานรากอะไรเหลืออีก ฝ่ายพุทธไม่ใช่ว่าจะต้องตัดรอนทุกอย่างจึงสามารถบรรลุได้ พระอริยสงฆ์ที่สิ้นไปแล้วถูกคนระลึกถึง มีคนไหนที่ไม่มีจิตใจเมตตาสร้างสิ่งดีงามมากมายจึงได้พุทธจิต หากแค่เคาะมู่อวี๋สวดมนตร์แล้วก็บรรลุได้โลกนี้ก็คงมีพระพุทธมากเกินไปแล้ว การบรรลุขึ้นอยู่กับว่าท่านทำอย่างไรไม่ใช่พูดอย่างไร”
“นโมอมิตตพุทธ อวิ๋นโหวเป็นผู้มีปัญญาของโลกอย่างแท้จริง เจวี๋ยหย่วน ตัวเจ้าอยู่ในกลองยังไม่ยอมตื่นอีกหรือ” พระสงฆ์ผอมดำเดินออกมาจากความมืด แววตาซ่านอิงเริ่มมีความระแวดระวังเป็นครั้งแรก
“พระสงฆ์นี้ท่องคำต่างจากท่าน อาจารย์เจวี๋ยหย่วน” ไม่ได้สนใจพระชราที่อยู่ดีๆโผล่ออกมา ตัวเองขอพบตั้งสองหนสามหนก็คอยหลบไกลห่างตลอด เห็นข้าเป็นตัวเชื้อโรคหรือ
“อาจารย์เต้าซิ่นมาจากเทียนไถจงเป็นสายหลักที่มีชื่อเสียงฝ่ายพุทธ ไม่ใช่วัดเส้าหลินจะเทียบเคียงได้” เจวี๋ยหย่วนทำความเคารพเต้าซิ่นแล้วอธิบายให้อวิ๋นเยี่ย ความหมายในคำพูดบอกอวิ๋นเยี่ยว่าพระสงฆ์คนนี้ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย
ความไร้มารยาทของอวิ๋นเยี่ยราวกับไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อพระชราแม้แต่นิด เขายังคงยิ้มร่าเดินเข้ามาในมือกำลูกประคำพวงหนึ่งที่ดูไม่ใช่ของธรรมดา ภายใต้แสงไฟที่สาดส่องเกิดแสงสีระยิบระยับ
พระชราที่สมควรตายคนนี้ ไม่รู้ไปรู้มาจากไหนว่าตัวเองไร้ภูมิคุ้มกันพวกของวิเศษมหัศจรรย์เหล่านี้แม้เพียงนิดเดียว เดินถือของวิเศษฝ่ายพุทธมาทั้งพวงเพื่อเจรจากับข้าแล้วจะให้ข้าแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อได้อย่างไร
“อ๋อๆๆ ที่แท้เป็นอาจารย์เต้าซิ่น ข้าอวิ๋นเยี่ยขอคารวะอาจารย์ ไม่รู้ว่าลูกประคำพวงนี้ท่านซื้อมาจากไหน ท่านย่าข้าใส่ใจแต่พระพุทธ มักจะบ่นว่าพวงลูกประคำไม้จันทน์ของตัวเองไม่เหมาะมือ มีหลายครั้งที่นับจำนวนบทสวดสับสน หากมีผู้มีฝีมือทำลูกประคำเช่นนี้ ข้าจะต้องซื้อไปให้ท่านย่าแน่นอน
ได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายของอวิ๋นเยี่ยเช่นนี้แล้ว อาการเมาของเจวี๋ยหย่วนหายไปดังปลิดทิ้ง ชักสงสัยว่าตัวเองฝากลูกสาวผิดคนหรือเปล่า กระดูกในมือซ่านอิงตกหายไปก็ยังไม่รู้ตัว คงมีแต่เหล่าเจียงที่นับถือฝีมือตบทรัพย์ของเจ้านายจากก้นบึ้งของหัวใจออกปากชื่นชมไม่หยุดหย่อน
เต้าซิ่นเองความจริงก็เป็นพระสงฆ์อาวุโสที่มีมนุษยสัมพันธ์ดียิ่ง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับพระสงฆ์วัดเส้าหลินที่รู้จักแต่เคาะมู่อวี๋สวดมนตร์อย่างเฉื่อยชา ได้สัมผัสผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่มากมาย ช่ำชองธรรมเนียมวิธีปฏิบัติของคนเหล่านี้ อวิ๋นเยี่ยอ้างเรื่องลูกประคำเพื่อปลดปล่อยความแค้นเคืองที่พยายามเข้าพบครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ได้พบ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ ว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องปกติ การร้องขอหากไม่มีอะไรติดมือจะสำเร็จได้อย่างไร