เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 60
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 60 เคราะห์ของเสี่ยวอู่
เว่ยเจิงหลังจากเงียบสงบไปครึ่งปีเกิดระเบิดขึ้นแล้ว เมื่อสามวันก่อนอยู่ในราชสำนักมือถืออู้ป่านกล่าวโทษด้วยความโกรธว่าเหล่าศักดินาติดโลภจนเป็นนิสัย เพื่อเงินทองแล้วไม่ได้ใส่ใจศักดิ์ศรีราชสำนักทำชั่วทั่วสารทิศ ปฏิบัติต่อราษฎรราวกับม้าต่าง ผลักไสทหารทำตัวเยี่ยงโจร เมืองฉางอันเหม็นคละคลุ้งด้วยกลิ่นเงินเหรียญ ขุนนางชั่วร้ายขูดรีดล่าคนแดนเถื่อนจนเป็นธรรมเนียม โรงงานคล้ายแดนนรก
สรุปแล้วพูดขนาดว่าราษฎรทั่วแผ่นดินถึงขีดขั้นจะก่อกบฏได้ทุกเมื่อ จะต้องโจมตีพวกพ่อค้านายทุนที่จิตใจดำมืดอย่างรุนแรง ให้ราชสำนักและราษฎรมีทัศนคติที่เห็นคุณค่าของการเกษตรเป็นทุนในยุคทองแบบเดิม หากยังคงปล่อยให้พ่อค้านายทุนทำตามใจชอบจะทำให้จิตใจผู้คนผันแปรจากอดีต มีการปฏิบัติตัวโดยไร้ศีลธรรมจรรยา ความซื่อใสบริสุทธิ์ของสังคมจะจมหาย นี่คือความหวังของเว่ยเจิงที่แม้ยอมทนหิวก็ต้องรักษาจรรยาสูงส่ง
การคลังของหลี่ซื่อหมินเพิ่งจะผ่อนคลาย ปีที่แล้วคลังเพิ่งจะมีรายรับเป็นบวก กระทรวงการคลังไม่สนใจเรื่องศีลธรรมจรรยาเด็ดขาดหวังเพียงให้มีทรัพย์สินเงินทองเต็มคลัง หากราชสำนักต้องการใช้เงินแล้วตัวเองสามารถควักออกมาให้ใช้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง
เหล่าศักดินาก็เพิ่งได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการค้าในสองปีนี้ ไม่มีคนไหนต้องการกลับไปยุคมืดที่ยากจนข้นแค้น จากประหยัดไปฟุ่มเฟีอยนั้นง่ายแต่จากฟุ่มเฟือยไปประหยัดนั้นยาก นี่เป็นสัจธรรม คำพูดของเว่ยเจิงทำให้เหล่าศักดินาโกรธแค้นจนเกิดสงครามทั้งทางปากและพู่กันไม่หยุดหย่อน
เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นครั้งนี้สามัคคีกันอย่างยิ่ง แม้แต่เสนาบดีกระทรวงการคลังจ่างซุนอู๋จี้ครั้งนี้ก็ปิดปากสนิท การที่เป็นชั้นศักดินาฝ่ายบู๊มารับตำแหน่งฝ่ายบุ๋น สู้อยู่เฉยๆนั่งบนภูดูเสือกัดกันดีกว่า
หลี่เฉิงเฉียนแอบห่วงอวิ๋นเยี่ย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นแกนกลางของปัญหา หลายปีนี้ตระกูลอวิ๋นพุ่งขึ้นมาไวมากจนเกินไป เกินครึ่งของแฟชั่นหาทรัพย์สมบัติใหม่ทั้งหมดเกิดจากอวิ๋นเยี่ยทำให้เกิดขึ้น นึกถึงที่ตัวเองกำลังจะปฏิรูประบบเงินเหรียญแล้วหลี่เฉิงเฉียนก็หนาวไปทั้งตัว
หลี่ซื่อหมินไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่าศักดินาทำธุรกิจ ที่เขาใส่ใจคือขวัญของราษฎร หากราษฎรไม่พอใจสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ตัวเองที่เป็นฮ่องเต้ก็นั่งบัลลังก์อยู่ยาก นโยบายหลอกราษฎรไม่ใช่วิธีที่ดีแต่ก็มักใช้ได้ผล
การตรวจสอบทั่วแผ่นดินเป็นการตัดสินใจของหลี่ซื่อหมิน เริ่มจากภายในก่อนโดยฮองเฮาเริ่มนำเป็นตัวอย่าง หลี่เฉิงเฉียนรู้ว่าครั้งนี้ตระกูลอวิ๋นจะต้องเสียหายยับเยิน ไม่มีใครกล้าเป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์แม้แต่เว่ยเจิงก็ไม่กล้า แต่ตระกูลอวิ๋นจะแตกต่างกัน ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปเอามาเป็นแพะได้ดีที่สุด แม้แต่พวกที่ได้รับผลประโยชน์คือเหล่าศักดินาทั้งหลายก็คงคิดเช่นเดียวกัน การปล่อยให้เพื่อนตายไปไม่ว่าแต่ตัวเองรอดจะเหมาะสมที่สุด
คลื่นใต้น้ำในราชสำนักรุนแรงมากแต่ตระกูลอวิ๋นยังคงสุขสำราญ ซินเย่ว์ถูกท่านย่าเอาไปเขาอวี้ซัน ย่าหลานอาศัยอยู่ในหอหลังเล็กไม่สนใจภายนอกตั้งใจรักษาครรภ์อย่างเดียว เรื่องในบ้านทั้งหมดปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยจัดการ ในช่วงเวลาคลื่นลมรุนแรงเช่นนี้นางกับซินเย่ว์ไม่สามารถรับมือได้
เสี่ยวยาตีสู้สือสือไม่ได้ทำให้นางแค้นเคืองมากอีกทั้งฮันฮันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสือสือ หลังจากฮันฮันโดนสือสือลากใบหูขี่หลังวิ่งไปสามรอบแล้ว พอฮันฮันเห็นนางก็วิ่งหนีไม่กล้าอยู่ใกล้ตัวนางอีก เสี่ยวยาไม่ยอมที่พี่ชายตัวเองโดนยึดครอง จึงร่วมมือกับเสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยสั่งสอนสือสือพร้อมกัน ผลที่ได้ก็ยังคงเลวร้าย เสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยที่ฝึกวิทยายุทธมาตลอดเวลาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กน้อยวัดเส้าหลิน โดนตีจนกระเจิง เสี่ยวตงเสี่ยวหนานอายุสิบเอ็ดรู้สึกตัวว่าเป็นสาวแล้วไม่ไปวุ่นวายกับเสี่ยวยา สถานการณ์จึงบีบบังคับให้เสี่ยวยาต้องหาผู้ช่วยจากภายนอก
คุณหนูลูกสาวคนรองบ้านอู่ชอบพอกับเสี่ยวยามานาน เพียงแต่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กบนเขาไม่ใคร่ได้ออกมา เสี่ยวยารู้จักกับเด็กสาวคนนี้ในตลาดเพราะตัวเองเลินเล่อคิดเงินผิดจนเกือบทำให้ยายแก่ขายผักต้องขาดทุน โชคดีที่มีสาวน้อยตระกูลอู่มาช่วยแก้ที่ผิดให้ทำให้เสี่ยวยาไม่ต้องขายหน้า เด็กสาวคนนี้ฉลาดมากทั้งเป็นคนใจคอกว้างขวาง เสี่ยวยาที่กว้างขวางพอกันก็รีบจัดให้เป็นคู่หูทันที ทั้งถ่ายทอดวิชาความรู้ที่พี่ชายมอบให้ตัวเองแก่นางทั้งหมด แม้แต่หนังสือใหม่ๆในห้องหนังสือของพี่ชายก็ยังเอาให้เสี่ยวอู่เพื่อเปิดหูเปิดตา
นั่งรถม้าคันเล็กรีบร้อนมาบ้านอู่ ยืนอยู่ข้างล่างตะโกน “เสี่ยวอู่ เสี่ยวอู่ออกมาเร็ว” ในอวี้ซันไม่มีใครไม่รู้จักเสี่ยวยาทั้งไม่มีใครไม่ชอบเสี่ยวยา ผู้ใหญ่ในบ้านอู่เห็นเสี่ยวยายืนเรียกคุณหนูเล็กก็ไม่สนใจคงปล่อยให้พวกคุณหนูสนุกสนานตามสบาย
คุณหนูเล็กที่นุ่งกระโปรงสีชมพูลงมาอย่างเร็วแล้วขึ้นรถม้าเสี่ยวยาอย่างคล่องแคล่ว กำลังจะจับบังเ**ยนบังคับม้า ความจริงรถม้าของเสี่ยวยาไม่ใช่รถม้าควรเรียกว่ารถลา ลาแก่สีเทาที่อ่อนโยนถูกเลือกมาเป็นม้าของเสี่ยวยา เสี่ยวยาชอบหูยาวของลาแก่ คุยแหลกว่าม้าตัวเองเหมือนกระต่ายมากที่สุด เสี่ยวอู่อธิบายให้ฟังนางหลายรอบแล้วว่าเป็นลาไม่ใช่ม้าแต่เสี่ยวยาไม่สนใจ นางเชื่อว่าลาของนางเป็นม้ามันก็จะต้องเป็นม้า เป็นม้าที่มีหูยาว เสี่ยวอู่เห็นเถียงสู้ไม่ไหวก็เลยต้องแกล้งทำเป็นตัวเองนั่งรถม้า ความดื้อด้านของเสี่ยวยาไม่มีใครสู้ได้
ม้าของตัวเองไม่อนุญาตให้ใครแตะต่อให้เป็นเพื่อนซี้แค่ไหนก็ไม่ได้ รีบแย่งบังเ**ยนม้ามาแล้วสะบัดทีเดียวลาแก่ก็เลี้ยวอย่างเชื่องๆไปบ้านอวิ๋น เสี่ยวยาแข็งขืนใช้กำลังอย่างมากกับม้าตัวเองเป็นครั้งแรก ใครจะรู้ว่าม้าตัวนี้ยังคงย่างเท้าตามจังหวะปกติของตัวเองไปยังบ้าน ไม่ว่าจะร้องเร่งอย่างไรก็ไม่เป็นผล
ถือโอกาสตอนม้าเดินกลับบ้าน เสี่ยวยาเล่าต้นสายปลายเหตุให้เสี่ยวอู่ฟังโดยใช้คำพูดที่ระบายสีใส่ไข่ถึงความโหดร้ายทารุณของสือสือ ส่วนฮันฮันก็โดนบรรยายเป็นหนูน้อยแสนดีแสนน่ารักที่ถูกทารุณกรรม เสี่ยวอู่กำหมัดแน่นโกรธแค้นจนบังคับตัวเองไม่อยู่ ในใจนางนั้นฮันฮันสมควรถูกส่งไปเข้าโรงเชือดแล้วกลายเป็นของอร่อยบนโต๊ะอาหาร การโดนทารุณกรรมจากสือสือนั้นสมควรแล้วเพราะสิ่งไร้ค่าที่กินข้าวเป็นอย่างเดียวโดยไร้ผลผลิต หากแม้แต่สร้างความบันเทิงให้เจ้านายยังไม่ได้ก็สมควรต้องโดนทารุณกรรม
จริงๆแล้วความโกรธแค้นของนางมาจากอวิ๋นเยี่ย คุณหนูเล็กที่ทั้งฉลาดเฉลียวทั้งสวยงามอย่างตัวเองก็ยังไม่เข้าตาเขา ต้องไปคว้าตัวเด็กชาวป่าจากบ้านป่าแดนเถื่อนมาเป็นลูกศิษย์นี้เป็นเรื่องสุดแสนจะทนทานจริงๆ
อวิ๋นเยี่ยที่นางเห็นเป็นคนที่จิตใจงามที่สุดความรู้กว้างขวางมากที่สุด เขาเพียงแค่เอาอ่างน้ำสาดออกไปก็มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เขาสามารถทำให้น้ำในคลองไหลผ่านลำไผ่ที่โค้งงอข้ามสันเขื่อนไหลเข้าที่นาด้วยตัวมันเอง กระทั่งสามารถสร้างนกไม้ที่บินร่อนในอากาศโดยไม่หยุดได้ แต่ก่อนนี้เคยเข้าใจว่าการแสวงการอาจารย์ฝึกวิชาเป็นเรื่องที่ผู้ชายจึงจะทำได้ ไม่นึกว่าผู้หญิงก็มีอาจารย์ได้ ทำไมตัวเองจึงไม่ใช่เสี่ยวอู่ อยากเห็นนักว่าเด็กชาวป่าคนนั้นเก่งกาจอย่างไรจึงได้อาจารย์ระดับอวิ๋นเยี่ยรับเข้าเป็นศิษย์
ตระกูลอวิ๋นครื้นเครงตลอดเวลา ทุกคนดูเหมือนล้วนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่เหมือนในบ้านตัวเองแต่ละคนต่างคอยระวังตัว ร่างกายบิดาไม่สู้ดีมารดามีนิสัยอ่อนแอ พี่ชายสองคนถึงแม้อยู่ในสถานศึกษาแต่มักกลับมาทำให้มารดาอับอายอยู่เสมอ มารดายังไม่กล้าบอกให้บิดาที่เจ็บป่วยรับรู้
ที่ศาลาในสวนหลังบ้านสือสือกำลังถือพู่กันอย่างเคอะเขินค่อยๆเขียนตัวหนังสือตัวโตๆทีละขีดทีละเส้น มือที่เคยกำแต่จอบเสียมจับพู่กันแล้วช่างรู้สึกแปลกแยกมาก เหงื่อบนหน้าผากหยดติ๋งๆลงมาจนต้องใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อออก โชคยังดีที่ไม่ได้หยดลงกระดาษ ยังเหลือหนังสืออีกตัวการเรียนวันนี้ก็เสร็จสิ้น สือสือดีใจมาก
ยืนดูข้างๆอยู่นาน เสี่ยวอู่ทำปากเบะอย่างไม่รู้ตัว นอกจากเขียนให้เต็มแบบเหมียวหงชนิดโย้ไปเย้มาจนเละเทะแล้ว กระดาษทั้งแผ่นยังโดนขยำจนยับยู่ยี่ บนนั้นยังมีรอยหมึกหยดอีกเยอะแยะ นี่หรือคือลูกศิษย์ชั้นดีที่อวิ๋นเยี่ยเลือกมา
กระชากแผ่นเหมียวหงของสือสือมาขยำๆแล้วโยนลงพื้นทั้งกระทืบแถมอีกหลายทีแล้วพูดหัวเราะเยาะว่า “นี่เรียกว่าเขียนหนังสือหรือ ดีกว่าสุนัขคลานหน่อยเดียวเท่านั้น”
สือสือเงยหน้ามองเสี่ยวอู่แล้วถาม “เช่นนั้นเจ้าว่าต้องเขียนอย่างไรหรือ”
เสี่ยวอู่หยิบพู่กันเพียงครู่เดียวกระดาษแผ่นใหม่ก็มีตัวหนังสือเขียนจนเต็มแผ่น ตัวหนังสือสวยงามทุกตัวดูรู้เลยว่าผ่านการฝึกฝนมามาก สือสือพยักหน้าว่า “เขียนได้สวยมากเจ้าเขียนได้ดีกว่าข้ามาก อาจารย์ว่าขอเพียงให้ข้าพยายามฝึกฝนก็เขียนให้สวยงามได้ ดังนั้นที่ตัวหนังสือเจ้าสวยก็ไม่แปลก ข้าย่อมมีวันที่ตามเจ้าได้ทัน เพียงแต่เจ้าขยำตัวหนังสือข้าจนพังทั้งยังใช้เท้ากระทืบ การทำเช่นนี้มันเกินไป เป็นตามที่อาจารย์ว่าคือสมควรอัด ดังนั้นเจ้าต้องโดนอัด”
เสี่ยวอู่หัวเราะร่าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง นางไม่เข้าใจจริงๆว่าจะมีเด็กผู้หญิงที่ไหนลงไม้ลงมือ เป็นเรื่องที่มีแต่หญิงชั้นต่ำจึงจะทำ รอนางหัวเราะจนพอแล้วยืดตัวยืนขึ้น จมูกก็โดนโจมตีด้วยหมัดอย่างแรง
ทรงตัวไม่อยู่ทรุดลงกองกับพื้น สือสือขี่บนตัวเสี่ยวอู่ใช้หมัดชกที่สะโพกเสี่ยวอู่ อัดหนึ่งครั้งนับหนึ่งทีอัดรวมทั้งหมดสี่สิบเก้าครั้งจึงหยุดมือ
“เจ้าทำลายตัวหนังสือข้าสี่สิบเก้าตัว ข้าอัดเจ้าสี่สิบเก้าหมัดถือว่าหายกันแล้ว” พูดจบไม่ได้แยแสเสี่ยวอู่ที่มือหนึ่งกุมจมูกอีกมือหนึ่งกุมสะโพก กลับไปนั่งที่ศาลาหยิบกระดาษแผ่นใหม่เริ่มเขียนหนังสืออีกห้าสิบตัว อาจารย์บอกว่าต้องเขียนวันละห้าสิบตัวขาดไม่ได้เลย
ก่อนนั้นโดนเสี่ยวยารังแก สือสืออดทนเงียบๆจนวันหนึ่งอาจารย์บอกว่า “สือสือ ความคับแค้นที่เจ้าโดนมาหลายวันนี้อาจารย์เห็นทั้งหมด แล้วทำไมไม่ยุ่งด้วยเล่า ข้าเพียงแค่อยากดูว่าเจ้าจะจัดการสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร เจ้าเลือกที่รับความคับแค้นเอง นี่เป็นคุณธรรมที่ดีของผู้หญิงแต่ไม่ใช่กฎระเบียบของสำนักเรา จำไว้ว่าหากใครรังแกเจ้าก็โจมตีคืนไม่ว่าเป็นใคร เจ้ามีวิทยายุทธชั้นเยี่ยมหากไม่ใช้ก็น่าเสียดาย พวกเขารังแกเจ้าหนึ่งครั้งเจ้าก็อัดนางหนึ่งครั้ง รังแกเจ้าสองครั้งเจ้าก็อัดนางสองครั้ง ข้าไม่คิดว่าจะมีใครรังแกเจ้าครั้งที่สาม โลกเราก็เป็นเช่นนี้ หากเจ้าอดทนถอยอย่างเดียวมีแต่จะทำให้พวกเขาเหิมเกริมมากขึ้น อัดสองครั้งก็พอแล้ว”
หลังจากครั้งนั้นแล้ว พอเสี่ยวยามารังแกอีกก็จะโดนสือสือขี่บนตัวอัดสะโพก หลังจากอัดไปสองครั้งก็สบายไปเลย สือสือจึงเชื่อว่าคำพูดอาจารย์ถูกต้องทั้งหมด
จมูกสือสือมีเลือดออกทั้งสะโพกเจ็บปวดอย่างยิ่ง นางไม่เคยโดนทารุณกรรมเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากสวยงามน่ารักดังนั้นจึงมีแต่คนรุมกันโอ๋นางจนไม่มีเรื่องไหนที่คิดทำแล้วไม่สำเร็จ การสั่งสอนในวันนี้ทำให้นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหากไม่รู้จักศัตรูอย่างแท้จริงแล้วรีบลงมือก่อนนั้นเป็นเรื่องโง่เง่าอย่างที่สุด
เด็กหญิงที่สวยงามเลือดออกจมูกน้ำตาไหลพราก ไม่ใช่ร้องไห้เสียใจหรือเพราะเจ็บปวด แต่จมูกโดนต่อยจนน้ำมูกน้ำตาไหลลงมาเอง
เสี่ยวยาพยุงเสี่ยวอู่ลิ้นแลบแอบย่องออกไปเพราะนางเกรงว่าสือสือจะจัดการนางเช่นนี้ด้วย จมูกเลือดออกนั้นเจ็บปวดมาก ป้าพี่เลี้ยงยัดก้อนผ้าลินินในรูจมูกทั้งสองข้างให้เสี่ยวอู่จึงห้ามเลือดได้ ทั้งเอาผ้าเช็ดใบหน้าเล็กๆให้นางจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย
เสี่ยวอู่ส่องกระจกเห็นจมูกแดงเรื่อของตัวเองทั้งยังมีผ้าลินินที่แลบออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้างแล้วนัยน์ตาลืมจนกลมโต ตัวประหลาดนี้เป็นตัวเองจริงหรือ