เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 19
เผชิญหน้ากับการซักถามของเหอฟู่เสว เซี่ยหยางจึงไม่เต็มใจจะพูดมากไปกว่านี้ สำหรับนักวิชาการอย่างพวกเขาแล้ว ตัวเขาพูดได้ว่าเป็นเพียงไก่อ่อนตัวหนึ่ง โดยหลักการแล้วเป็นเพราะการใช้แผ่นหยก หากพูดมากไปกว่านี้อาจเผยพิรุธได้
“คือว่าผมเองก็ไม่แน่ใจมากนัก แต่มันมีประโยชน์กับคุณก็พอแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่นอีก ผมก็ขอตัวกลับก่อน” เซี่ยหยางลุกขึ้น มองเหอเสี่ยวหย่าแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับเมล็ดพันธุ์นะครับ”
“เดี๋ยวก่อน” เหอฟู่เสวลุกขึ้นยืน ใคร่ครวญเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หากสะดวกล่ะก็ ฉันไปดูสวนเพาะชำของคุณได้ไหม?”
ช่างเป็นคนที่ตื๊อมากจริงๆ เซี่ยหยางนิ่งคิดก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังแล้วกันครับ รอคุณร่างกายหายดีก่อน”
“ดีเหลือเกิน ยังมีอีกเรื่องที่อยากรบกวนคุณอีก ไม่รู้ว่าทางคุณยังมีโสมชนิดนั้นเหลืออีกมากไหม ฉันอยากจะรับซื้อบางส่วนด้วยราคาสูง” เหอฟู่เสวกล่าวอย่างจริงใจ
“มีน่ะมีครับ คุณต้องการเท่าไหร่?” พบลูกค้าแล้ว เซี่ยหยางย่อมดีใจ
“สิบต้น แล้วต้องยังเป็นๆ อยู่ด้วย ฉันอยากนำมาเพาะชำและวิจัย” เหอฟู่เสวสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ได้แน่นอน คราวหน้าผมจะนำมาให้” เซี่ยหยางพยักหน้า
เหอเสี่ยวหย่าส่งเซี่ยหยางออกไป ก่อนจะยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณมีโสมมากขนาดนั้นจริงๆ เหรอคะ?”
“อืม ผมขอเสียมารยาทถามอะไรหน่อยสิ พ่อคุณทำงานอะไร?” เซี่ยหยางกล่าว
“ศาสตราจารย์คณะเกษตรศาสตร์ค่ะ ท่านหลงใหลการค้นคว้าวิจัยพืชและสัตว์ชิดต่างๆ มาก หนนี้ที่เขาป่วยก็เป็นเพราะหักโหมเป็นเวลานาน” เวลาที่เหอเสี่ยวหย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา อารมณ์จึงแปรปรวนอยู่บ้าง
เซี่ยหยางเข้าใจแล้ว มิน่าเหอฟู่เสวถึงอยากเอาไปเพาะชำและวิจัย ระหว่างทางที่กลับไป เขารู้สึกเสียใจภายหลังนิดหน่อยที่ไปรับปากอย่างดีใจขนาดนั้น หากดร.ผู้นี้วิจัยโสมเหล่านั้น จะพบว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องแผ่นหยกหรือไม่ เห็นทีเรื่องนี้ควรระวังไว้หน่อยดีกว่า
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ยังคงเข้าไปดูในโลกแผ่นหยกด้วยความเคยชินเหมือนเดิม หลังดื่มน้ำพุจากด้านในแล้ว ก็นั่งลงพักผ่อนข้างแม่น้ำสักพัก
เอาเมล็ดที่ได้มาฟรีจากเหอเสี่ยวหย่าปลูกไว้ในแปลงเซียน เซี่ยหยางมองดูการเติบโตของโสมกับเห็ดหลินจือเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว เทียบกับสองวันก่อน ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
กำลังคิดจะกลับสู่โลกแห่งความจริง จู่ๆ ก็พบว่าในแปลงปลูกเห็ดหลินจือได้มีหน่ออ่อนของต้นไม้แทงออกมา ลักษณะของหน่ออ่อนดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง ไม่เคยพบเห็นมาก่อน สีสันก็ไม่เหมือนกับพืชอื่นๆ เช่นเดียวกัน
หรือว่าเห็ดหลินจือเหล่านี้แบ่งได้หลายชนิด นี่เป็นไม่กี่ชนิดในจำนวนนั้น? เวลานั้นเซี่ยหยางเองก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน สำหรับสิ่งเหล่านี้เขาไม่มีประสบการณ์เลย เห็นทีต่อไปคงต้องหาความรู้ทางด้านนี้ให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว ดังนั้นก็ไม่เป็นไร รอผ่านไปสักสองสามวันค่อยมาดูว่าเป็นอะไรกันแน่
กำลังจะออกไป ก็เห็นเอ้อนิ้วเดินเข้ามา พอเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ปกติอยู่บ้าง เซี่ยหยางจึงถามอย่างข้องใจว่า “มีเรื่องอะไร?”
เอ้อนิ้วหัวเราะฮึฮึแล้วกล่าวว่า “พี่หยาง แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี มีสาวสวยมาหาพี่อีกแล้ว ผมว่าทำไมพี่ถึงเสน่ห์แรงแบบนี้นะ”
“ใครกัน?” เซี่ยหยางมุมปากกระตุก
“ก็เถ้าแก่เนี้ยของร้านฝูหมั่นโหลวคนนั้นไงเล่า พี่ยังไม่รีบไปต้อนรับอีก ใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์เข้าล่ะ เมื่อไหร่ผมจะได้ดื่มเหล้ามงคลของพี่กันนะ” เอ้อนิ้วทำท่าทางคาดหวังอย่างมาก
“ไป ไปทำเรื่องของแกไป ขนาดตัวหนังสือยังเขียนไม่เป็นสักตัว” เซี่ยหยางผลักเอ้อนิ้วเบาๆ แล้วมุ่งตรงไปด้านนอก
เวลานี้จึงเห็นรถบรรทุกสินค้าคันหนึ่งขับมาที่นี่ ที่ด้านหลังเป็นรถเก๋งคันหนึ่ง เฉินเจียเปิดประตูลงมาจากรถเก๋ง ดันแว่นกันแดดลง นิ้วเรียวยาวลูบไปบนเส้นผม จากนั้นก็ก้าวขาเพรียวยาวเดินเข้ามา บุคลิกดูโดดเด่น ดวงตาเป็นประกาย
ชาวบ้านสองสามคนที่ผ่านทางมาต่างมองด้วยความเบิกบานใจ แม้แต่พวกพนักงานในฟาร์มสเตย์ก็ยังหยุดงานในมือที่ทำ ยื่นหน้าเกาะหน้าต่างออกมามองอย่างสนอกสนใจ
“ว้าว ผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นว่าที่เถ้าแก่เนี้ยในอนาคตของพวกเราแน่เลย เซี่ยหยางนี่โชคดีชะมัด สวยอย่างกับนางฟ้า มองตรงไหนก็ดูดีไปหมด” พนักงานคนหนึ่งตกตะลึงจนตาค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา
เวลานี้เองเอ้อนิ้วก็เดินเข้าไปตบศีรษะของคนคนหนึ่งเบาๆ สองสามที พนักงานเหล่านั้นจึงตกใจจนหนีกระเจิงกันหมด จากนั้นก็ถูกเอ้อนิ้วจับกลับมา ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ อีก เอ้อนิ้วกล่าวด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “พวกนายอย่ากลัว i ไปเลย ฉันไม่ลงโทษพวกนายหรอก ฉันมีเรื่องจะหารือกับพวกนายน่ะ”
พวกพนักงานต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็มองเอ้อนิ้วอย่างไม่เข้าใจ พลางถามว่าเรื่องอะไร ส่วนเอ้อนิ้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เฉินเจียเพิ่งเดินมาหยุดตรงปากประตู ก็เห็นพวกพนักงานภายใต้การนำของเอ้อนิ้ว ยืนเรียงเป็นแถว จู่ๆ ก็ทำเฉินเจียตกใจจนสะดุ้งโหยง ยังไม่ทันที่เธอจะได้สติขึ้นมา ก็ได้ยินคนเหล่านั้นตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีต้อนรับการมาถึงของเถ้าแก่เนี้ย!”
พอเฉินเจียได้ยิน ใบหน้าสวยก็มีริ้วสีแดงลอยขึ้นมา กล่าวอย่างกระเง้ากระงอดว่า “พวกนายอย่าตะโกนเหลวไหลกันสิ ทำไมเหรอ?”
“เถ้าแก่เนี้ย เชิญนั่งครับ” คนเหล่านั้นพลันซุบซิบกันอีกครั้ง
เซี่ยหยางเห็นเอ้อนิ้วกำลังยิ้มเจ้าเล่ห์ ก็รู้เท่าทันความคิดเขา อย่าเห็นว่าเขาซื่อบื้อเชียว ความคิดกลับละเอียดอ่อนยิ่ง ชอบเล่นลูกไม้เล็กๆ เช่นนี้
“เซี่ยหยาง นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ใครคือเถ้าแก่เนี้ย?” เฉินเจียเบ้ปาก กลอกตาใส่เซี่ยหยาง
เซี่ยหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รีบโบกมือส่งสัญญาณให้เอ้อนิ้วพาคนออกไป ตอนที่เอ้อนิ้วจากไปก็จงใจเดินผ่านข้างกายเซี่ยหยาง ก่อนจะกระซิบเสียงเบาว่า “พี่หยาง จับไว้แน่นๆ โอกาสเมื่อเสียไปแล้วก็จะไม่มาอีก ผมคอยเชียร์พี่อยู่นะ”
เซี่ยหยางใบหน้าเป็นริ้วสีดำ มองท่าทางเฉินเจียที่ทั้งร้อนใจและเขินอาย ก็รีบยิ้มแห้งๆ พลางกล่าวเสียงอ่อยว่า “ทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะ? แถมยังมาด้วยตัวเองอีก มีอะไรจะชี้แนะหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรจะชี้แนะหรอก ไม่ต้อนรับคนหรือไง?” เฉินเจียกระดากอาย เดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะ
“ไม่ต้อนรับได้ที่ไหนกัน แทบยกขาขึ้นมาปรบมือต้อนรับเลย” เซี่ยหยางทำหน้าทะเล้น เดินไปรินชาให้เฉินเจีย
“เกลียดคุณจัง รู้อยู่แล้วว่าคุณน่ะพูดมาก ฉันมาเพราะมีธุระน่ะ หมู่นี้แขกที่ร้านฉันมีเยอะขึ้นมาก ฉันต้องการเจรจาการค้าขายกับคุณมากขึ้น คุณว่ามา เสนอให้ฉันได้เท่าไหร่?” เฉินเจียบุ้ยปากเล็ก
เซี่ยหยางขมวดคิ้ว จงใจกล่าวยั่วเย้า “เดินทางมาครึ่งวันที่แท้ก็มาเพราะเรื่องนี้ จำเป็นต้องให้คุณมาด้วยตัวเองด้วยเหรอ แค่โทรมาก็พอแล้ว”
“นี่ไม่ใช่ต้องเซ็นสัญญาหรอกเหรอ?” เฉินเจียกะพริบดวงตาโตอันฉ่ำน้ำของเธอ
“ความสัมพันธ์อย่างพวกเรายังจะเซ็นสัญญากันอีกทำไม ผมนึกว่าคุณมาเพราะคิดถึงผมเสียอีก” เซี่ยหยางยิ้มเจ้าเล่ห์ ชำเลืองตามองเฉินเจีย
“คุณมองตรงไหนกัน พูดเหลวไหล ใครคิดถึงกัน?” เฉินเจียกำหมัดขาวนวลทุบตีเซี่ยหยางเบาๆ กลับถูกเซี่ยหยางจับเอาไว้
“ไม่คิดถึงแน่นะ” เซี่ยหยางเขยิบเข้าใกล้เธอ สามารถรับรู้ถึงลมหายใจอันตึงเครียดของเฉินเจียได้เลย
เฉินเจียชะงักไป รู้สึกลนลานขึ้นมา ใจเต้นโครมคราม พอมองใบหน้าอันหล่อเหลาดวงนั้นของเซี่ยหยาง ก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ กลับยังคงส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ไม่คิดถึงหรอก หากคุณยังพูดเหลวไหลอีกล่ะให้เห็นดีกัน”
“ไม่คิดถึงก็ช่างเถอะ อย่างนั้นก็ไม่ต้องเจรจาการค้ากันแล้ว” เซี่ยหยางปล่อยมือเฉินเจีย
“อ้อ คุณหมายความว่าอะไร คุณขู่ฉัน? แล้วทำไมฉันต้องคิดถึงคุณด้วย” เฉินเจียกล่าวอย่างฉุนๆ
เซี่ยหยางจุดบุหรี่สูบ เอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบช้าว่า “ที่ผมพูดไม่ใช่คุณคิดถึงผม ผมหมายถึงคุณคิดจะอยากได้สินค้าเพิ่มขึ้นใช่หรือเปล่า คุณเข้าใจผิดแล้ว”
“คิดอยู่แล้ว” เฉินเจียพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด และพบว่าเซี่ยหยางกำลังยิ้มเจ้าเล่ห์ จึงรีบอธิบายว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าคิดถึงคุณ ฉันบอกว่าคิดจะอยากได้สินค้าของคุณเพิ่มขึ้น”
“อย่าเครียดสิ ผมเข้าใจ คิดก็คิดสิ” เซี่ยหยางจงใจพูดยั่วเย้า
เฉินเจียนิ่งไป รู้ตัวว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าแล้ว จึงยื่นมือไปหยิกเซี่ยหยางทีหนึ่ง ทั้งร้อนใจทั้งเขินอายก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “คุณมันเจ้าเล่ห์ หากทำแบบนี้อีกฉันจะไม่สนใจคุณแล้ว”
“แน่นะ งั้นผมจะเอาสินค้าขายให้คนอื่น หลายวันก่อนเฮ่อเซ่าฉุนของร้านกินทั่วเมืองพาคนมาเจรจาด้วยพอดี ตอนนั้นผมไม่ได้รับปาก……”
“อะไรนะ เฮ่อเซ่าฉุน?” เฉินเจียเบิกตากว้าง ขัดจังหวะคำพูดของเซี่ยหยาง กล่าวอย่างร้อนใจว่า “ไม่ได้ คุณทำการค้ากับเขาได้ยังไง เขาเป็นคู่อริของฉันนะ”
เซี่ยหยางเห็นเธอร้อนใจขนาดนั้น ก็จงใจกล่าวต่อว่า “อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อกี้คุณพูดเองว่าไม่สนใจผมแล้ว”
เฉินเจียอ่อนลงทันที เดินไปหยุดตรงหน้าเขา กลิ่นเธอหอมราวกับกล้วยไม้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เอาล่ะ อย่าโกรธไปเลยนะ เมื่อกี้คนเขาแค่ล้อเล่น รู้ว่าคุณไม่มีทางใจร้ายขนาดนั้นหรอกจริงไหม?”
เผชิญหน้ากับการใช้วิธีทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งของเฉินเจีย เซี่ยหยางก็ยากจะรับมือแล้ว จึงทำทีพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เอาเถอะ งั้นก็ใส่ไปให้เต็มรถบรรทุกของคุณเลย พอใจแล้วสินะ?”
“ไม่พอ ฉันยังต้องการปลาอีก ปลานั่นของคุณแต่ละครั้งเอาไปหลายสิบตัว ก็ใช้ไม่เคยพอ เอามาให้ฉันครั้งละร้อยตัว ทุกสัปดาห์ฉันจะให้คนมารับสินค้า” เฉินเจียกล่าวอย่างร้อนใจมาก
“นี่ คุณจะโลภเกินไปหรือเปล่า แล้วราคาจะคิดยังไง” เซี่ยหยางกล่าวอย่างจนปัญญา
“ยังเป็นราคาเดิมได้ไหม?” เฉินเจียกระเง้ากระงอดขึ้นมา
เซี่ยหยางเกาศีรษะพลางกล่าวว่า “อย่างนั้นคงไม่ได้หรอก มีคนมากมายต่างแย่งกันมารับซื้อนะ เพิ่มตัวละห้าสิบหยวน สนใจไหม”
“โอ้โห คุณก็ถือเสียว่าช่วยๆ กันเถอะ ขี้งกจัง” เฉินเจียกระเง้ากระงอดต่อ
“ไม่ได้จริงๆ เป็นมนุษย์จะโลภเกินไปไม่ได้” เซี่ยหยางลูบจมูก
แต่เฉินเจียถึงกับทำปากยื่น เคาะแก้ม ดวงตาฉ่ำน้ำเผยแววไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา มองเซี่ยหยางอย่างน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ราวกับถูกใครรังแกอย่างไรอย่างนั้น โดยไม่พูดอะไร ก็ดึงมุมเสื้อของเซี่ยหยาง พลางมองเขาอยู่อย่างนั้น
ทำเช่นนี้ผ่านไปไม่เกินสิบกว่าวินาที เซี่ยหยางก็ใจอ่อน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เอาเถอะ ยอมคุณแล้วพอใจหรือยัง?”
“อิอิ รู้อยู่แล้วว่าคุณน่ะเป็นคนดี” พอเฉินเจียดีใจ ก็ราวกับดอกไม้แย้มบาน ถึงกับจุมพิตเซี่ยหยางไปหนึ่งที จากนั้นก็หันหลังกลับไปด้วยใบหน้าแดงซ่าน
อะไรกันน่ะ? เซี่ยหยางนิ่งไป พลางลูบแก้ม รู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
เฉินเจียกัดริมฝีปากแดงเบาๆ คนทั้งสองสบตากัน ท่าทางใจลอยไปชั่วขณะ
“ฉัน ฉันจะไปดูในสวน คอยดูแลพวกเขาเอาของใส่รถ” เฉินเจียมองเซี่ยหยางแวบหนึ่ง แล้วหันหลังวิ่งหนีไป
“สุดยอด รุดหน้าขึ้นแล้ว พี่หยาง พี่ก็รู้จักเป็นฝ่ายเริ่มก่อนบ้างสิ โอกาสตั้งเยอะแยะ” เอ้อนิ้วที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ทำหน้าตาเสียดาย
“ไสหัวไป ไอ้เด็กคนนี้ถึงกับแอบฟังแอบดู?” เซี่ยหยางพูดกำลังจะลุกขึ้น เอ้อนิ้วก็กุมศีรษะพลางหัวเราะร่าแล้ววิ่งหนีไป
เซี่ยหยางเองก็รู้สึกไม่คาดคิดอยู่บ้าง แต่คิดดูแล้วจุมพิตนี้ช่างแพงจริงๆ ถูกเฉินเจียหั่นราคาไปเยอะขนาดนั้นเสียเปล่าๆ
กำลังคิดจะลุกขึ้นไปช่วย เพิ่งออกประตูมา จู่ๆ ก็พบว่าอากาศผิดปกติ ร้อนอบอ้าว ท้องฟ้านึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เมื่อกี้ท้องฟ้ายังปลอดโปร่งอยู่เลย ประเดี๋ยวเดียวก็มีเมฆดำลงมาปกคลุมเสียแล้ว ดูท่าทางเหมือนฝนกำลังจะตก
เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ฝนก็ตกลงมาเสียแล้ว เซี่ยหยางรีบนำร่มไปยังสวน คนยังไปไม่ถึง ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา จากที่ไกลๆ มองเห็นเฉินเจียกับคนงานที่ขนของสองสามคนกำลังวิ่งกลับมา
เซี่ยหยางรีบไปกางร่มให้เธอ เห็นชุดเธอเปียกชุ่มอยู่บ้าง ลมหายใจเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน เฉินเจียที่อยู่ค่อนข้างใกล้คล้ายกับจะดึงแขนเขาอย่างเคร่งเครียดอยู่บ้าง ทำให้เซี่ยหยางจิตใจเตลิดเปิดเปิงไปเล็กน้อย
ดีที่อุณหภูมิสูง จึงไม่แย่เกินไปนัก รอจนพุ่งกลับมาที่บ้านเซี่ยหยางแล้ว ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาติดๆ กัน ดูท่า เวลานี้ฝนคงจะไม่หยุดตกไปสักพัก
จวบจนเวลาเย็นย่ำ ความคิดยังไม่หยุดพัก เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียมีความร้อนใจอยู่บ้าง โทรศัพท์กลับไปสั่งงานอยู่หนหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วมุ่น มองฝนที่ด้านนอกอย่างใจลอย
เซี่ยหยางรินชาวให้เธอ เห็นท้องฟ้าเหมือนทาด้วยสีดำแล้ว ก็พูดว่า “คุณอย่าร้อนใจไปเลย รอพรุ่งนี้ค่อยเก็บก็ไม่สาย ถ้าไม่อย่างนั้นก็พักอยู่ที่นี่สักคืนสิ?”
“แบบนี้จะดีเหรอ? สะดวกหรือเปล่า?” เฉินเจียกล่าวอย่างร้อนรุ่มกลุ้มใจ
“สะดวกอยู่แล้ว ขอแค่คุณอย่ารังเกียจสถานที่โกโรโกโสแห่งนี้ก็พอ” เซี่ยหยางยิ้ม
“อืม งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน” เฉินเจียพยักหน้า เธอมองชุดที่สวมใส่เปียกโชก ก็ถามอย่างลังเลว่า “ฉันอยากอาบน้ำ มีห้องน้ำไหมคะ?”