เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 22
“หมู่นี้ค้าขายดีมาก นี่ย่อมจะเป็นเรื่องดี ผู้อาวุโสในหมู่บ้านเดียวกันต่างก็มาช่วย แต่แกเองก็คงเห็นแล้ว อึกทึกครึกโครม โดยเฉพาะถนนเส้นนั้น ต่างแออัดไปหมด แกไม่คิดหาทางแก้อะไรเลยเหรอ?” บิดากล่าวอย่างจริงจัง
เซี่ยหยางพยักหน้า พอจะเข้าใจความคิดของบิดา ก่อนจะกล่าวว่า “ผมรู้แล้ว ความหมายของพ่อคือถนนเส้นนี้ต้องปรับปรุงใหม่”
“ใช่แล้ว อยากร่ำรวยก็ต้องสร้างถนนก่อน นี่เป็นคำโบราณว่าไว้ แกลงทุนลงแรงในหมู่บ้าน ส่วนฉันจะจัดหาคนเอง สิ่งนี้ดีต่อคนในหมู่บ้านแล้ว การเดินทางก็สะดวกมากขึ้นด้วย อนาคตพวกคนในหมู่บ้านก็จะยิ่งสรรเสริญความดีของแก” บิดาทอดถอนใจ
“ทราบแล้ว ผมจะรีบไปทำเดี๋ยวนี้ สองวันมานี้ยุ่งมาก เพียงแต่ร่างกายพ่อยังไม่หายดี อย่างกังวลจะดีกว่า ให้ผมจัดการเองก็พอแล้ว” เซี่ยหยางกล่าว
บิดารีบส่ายหน้าทันที กระทืบเท้าพลางพูดว่า “แกดูสิ ฉันฟื้นตัวแล้ว เรื่องแค่นี้พ่อชำนาญอยู่แล้ว พ่อรู้จักคนเก่งๆ ที่สร้างถนนไม่น้อย”
“แน่นะ?” เซี่ยหยางกล่าวอย่างกังวล
บิดาถึงกับยังกระโดดโลดเต้นหลายครั้งอีกด้วย ท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ก่อนจะพูดว่า “แกวางใจเถอะ อีกอย่าง เรื่องเช่นนี้ไม่อาจคาดหวังกับคนอื่นได้ ส่วนฉันเองก็ว่างจนฟุ้งซ่าน จะได้ขยับเนื้อขยับตัวบ้าง”
เซี่ยหยางไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้ จึงไปหยิบบัตรธนาคารมาใบหนึ่ง แล้วส่งให้บิดา “นี่คือเงินหนึ่งล้าน ถ้าไม่พอมาบอกผม”
เมื่อก่อนบิดาเคยเรียนรู้จากพวกลูกจ้างไม่น้อย งานก่อสร้างเป็นหนึ่งในงานฝีมือ พอขบคิดอย่างละเอียดแล้ว ก็ตัดสินใจกล่าวว่า “นี่มันมากเกินไป ถนนนี่ไม่ได้ยาวอะไรนัก ไม่เกินครึ่งเดือนก็เสร็จแล้ว แกรอดูให้ดีเถอะ”
บิดาโยนคำพูดทิ้งไว้ก็เดินออกไปด้วยความรู้สึกฮึกเหิม เห็นบิดาดีขึ้นแล้ว เซี่ยหยางก็ยิ่งรู้สึกมีความหวังแล้ว คิดถึงชีวิตสองคนกับบิดาที่ยากจนข้นแค้นในตอนนั้น ก็อดทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้
ในเวลาที่เซี่ยหยางกำลังเฟื่องฟูขึ้นเช่นนี้ ก็มีคนสองคนที่ในใจรับไม่ได้อย่างรุนแรง
“ไอ้ลูกกระต่าย ช่างทำให้คนโกรธแทบตายจริงๆ มันมีดีขนาดนั้นเชียวเหรอ?” ผู้ใหญ่บ้านหวังหยุนจู้ทำใจไม่สงบ ยืนมองฟาร์มสเตย์ของเซี่ยหยางอยู่ไกลๆ เต็มไปด้วยความริษยาและแค้นเคือง
จางฝู้กุ้ยเจ้าถิ่นคาบบุหรี่ไว้ในปาก จากนั้นก็ถุยน้ำลายไปทางฟาร์มสเตย์ ก่อนจะกัดฟันพูดว่า “ดูท่าทางหยิ่งผยองของเซี่ยหยางนั่นสิ กูแทบอยากจะตบบ้องหูมันจนทนไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ใช่ว่า หลายวันมานี้คงจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เดินไปไหนก็เอาแต่เชิดจมูกขึ้นฟ้า นั่นแสดงว่าไม่เห็นใครในสายตา” หวังหยุนจู้เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน
จางฝู้กุ้ยแค่นเสียงเย็นชาออกมา พลางกล่าวขึ้นอย่างแค้นเคืองว่า “บัดซบ กูไม่เชื่อหรอก กูก็จะทำเหมือนกัน กูจะแข่งกับมัน”
“ที่คุณพูดมาแน่ใจนะ?” หวังหยุนจู้ถาม
“บอกว่าทำก็ทำสิ เปิดที่บ้านฉันนี่แหละ คุณเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ใช่เหรอ? ไปแจ้งสักหน่อย ให้คนในหมู่บ้านมาเข้าประชุม บอกว่ามีเรื่องสำคัญ ตอนนี้ฉันจะให้คนเตรียมการไว้” จางฝู้กุ้ยเริ่มโทรศัพท์
“แต่ว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างช่วยกันอยู่ที่ร้านเซี่ยหยางนะ พวกเขาจะมาเหรอ?” หวังหยุนจู้ลำบากใจ
หลังจางฝู้กุ้ยโทรสั่งงานไปรอบหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “” คุณใช้ฐานะผู้ใหญ่บ้าน แจ้งเปิดประชุม มีคนไหนกล้าไม่มาบ้าง ที่ต้องการก็คือผลลัพธ์นี้ คุณไม่เข้าใจเหรอ?”
“คุณหมายถึง พอพวกเขามา ทางเซี่ยหยางก็จะขาดคนช่วย?” หวังหยุนจู้ถึงบางอ้อ
“นั่นแหละ รีบเริ่มได้แล้ว” จางฝู้กุ้ยกับหวังหยุนจู้สบตากัน ก่อนจะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา
หวังหยุนจู้วิ่งไปที่บ้านใช้เครื่องขยายเสียงแจ้งข่าวอย่างรวดเร็ว พลางตะโกนเสียงดังว่า “ชาวบ้านทุกคนฟังทางนี้ ตอนนี้ให้ทุกคนรีบมารวมตัวกันที่บ้านของจางฝู้กุ้ย มีเรื่องสำคัญที่ต้องการประกาศให้ทุกคนทราบ ให้เวลาแค่สิบนาทีเท่านั้น หากใครมาถึงช้า ให้รับผลที่ตามมาเอง……” ชาวบ้านที่กำลังช่วยงานอยู่ที่ฟาร์มสเตย์ของเซี่ยอย่างจำนวนไม่น้อยต่างลุกลี้ลุกลน ไม่รู้ว่าหวังหยุนจู้ต้องการจะประกาศอะไร ต่างพากันทิ้งงานในมือลง รีบรุดไปที่บ้านของจางฝู้กุ้ย
คราวนี้ดีเลย ในฟาร์มสเตย์กำลังชุลมุนวุ่นวาย แขกก็ร้อนใจกันแล้ว เร่งให้เสิร์ฟอาหาร
“เรื่องอะไรกันพี่หยาง หวังหยุนจู้กำลังทำบ้าอะไรอยู่?” เอ้อนิ้วเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย
เซี่ยหยางนิ่งคิด ไม่ได้พูดอะไรมาก พูดเพียงแค่ “เรียกประชุมชาวบ้านในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ แสดงว่าพุ่งเป้ามาที่ฉัน นายคอยดูแลที่นี่ ฉันจะไปดูหน่อย หากลูกค้าเร่งก็เสิร์ฟชาให้พวกเขา ตามด้วยผลไม้ขนมเหล่านั้น โดยไม่ต้องคิดเงิน”
เอ้อนิ้วรีบทำตาม จากนั้นก็แจ้งว่า “ขอโทษครับ ทำไม่ทันชั่วคราว ขอทุกท่านโปรดอภัย”
พอทำเช่นนี้ พวกลูกค้าก็ไม่ร้อนใจอีก ใครๆ ต่างก็ชอบของฟรี นับเป็นการสงบอารมณ์ชั่วคราว
เซี่ยหยางเดินตามชาวบ้านไปยังลานบ้านของบ้านจางฝู้กุ้ย พบว่าในบ้านจางฝู้กุ้ยไม่รู้จ้างพ่อครัวหลายคนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังมีคนหิ้วปลาที่จับมาได้จากคลองส่วนกลางของหมู่บ้านมาด้วย รวมถึงผักสดกับผลแตงบางส่วน จากนั้นก็ทำตรงนั้นเลย
เพราะมีพ่อครัวเยอะ จึงทำออกมาอย่างรวดเร็ว พวกชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
“ผู้ใหญ่บ้าน คุณเร่งให้พวกเราตาลีตาลานมา มีเรื่องอะไรกัน ทุกคนต่างยุ่งกันอยู่นะ”
“อย่าร้อนใจไป วันนี้เศรษฐีของเรามาส่งความสุขให้ทุกคน ให้พวกคุณกินฟรีไม่คิดเงิน คงหิวกันแล้วสินะ รีบนั่งลงสิ มีพอแบ่งให้ทุกคน” หวังหยุนจู้มีความสุข จากนั้นก็มองเห็นเซี่ยหยางในฝูงคน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปก่อนจะกล่าวว่า “ไอหยา นั่นเซี่ยหยางไม่ใช่เหรอ ลมอะไรหอบนายมาล่ะ ไม่อยู่ดูแล ฟาร์มสเตย์ของนายเหรอ มาทำอะไรที่นี่?”
“ก็คุณประกาศไม่ใช่เหรอ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของหมู่บ้าน คำสั่งผู้ใหญ่บ้านใครจะกล้าขัดกัน?” เซี่ยหยางพูดด้วยความหมายลึกซึ้ง
หวังหยุนจู้พ่นเสียงออกทางจมูกก่อนจะกล่าวว่า “ฉันว่านายมาเพราะฟาร์มสเตย์ไม่มีใครช่วย เลยร้อนใจสินะ?”
เซี่ยหยางคร้านจะสนใจ วิธีรับมือกับคนเช่นนี้ที่ดีที่สุดก็คือไม่ต้องสนใจ เขาหันหลังไปสูบบุหรี่ทันที ราวกับว่ามองไม่เห็นหวังหยุนจู้
หวังหยุนจู้สุดทน กล่าวกับจางฝู้กุ้ยเสียงเบาว่า “คุณดูพฤติกรรมของไอ้หมอนี่สิ คงคิดว่าตัวเองแน่มาก ผมว่าเขาคงไม่สบายใจหรอก”
“เฮอะ เดี๋ยวมีร้องไห้แน่ นับเป็นตัวอะไรกัน” จางฝู้กุ้ยไม่คิดเช่นนั้น เร่งให้พวกพ่อครัวเพิ่มความเร็วในการทำปลากับผัก
ไม่นานนัก พวกชาวบ้านก็ล้อมวงเข้ามากิน ของฟรียังคงดึงดูดใจกว่า
“เห็นไหม หนนี้สำเร็จแน่ พ่อครัวเหล่านี้ของฉันใช้เงินจ้างมาในราคาสูงทั้งนั้น ชาวบ้านกินจะต้องบอกว่าอร่อยแน่ แล้วก็จะนำไปเปรียบเทียบกับของเซี่ยหยาง ฉันไม่เชื่อในบาปครั้งนี้หรอก ถึงเวลาจะทำให้เขาดูน่าเกลียด” จางฝู้กุ้ยดีใจจนลืมตัว
เซี่ยหยางเองก็นั่งลงตามชาวบ้าน แค่ดมผักเหล่านั้นเพียงเล็กน้อย ก็รู้แล้วว่ารสชาติไม่เอาไหน ดังนั้นเขาจึงไม่กังวล โดยทางหนึ่งสูบบุหรี่ทางหนึ่งรอผลลัพธ์
“เป็นยังไงบ้าง ทุกคนรู้สึกอร่อยมากใช่หรือไม่?” หวังหยุนจู้เดินวนรอบๆ ทุกคน พลางเริ่มตั้งคำถาม
เพียงกินเข้าไปไม่กี่คำ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็พากันส่ายหน้า แล้ววางตะเกียบลง
“ผักนี่ไม่เลวเลย แต่เทียบกับของร้านเซี่ยหยางแล้ว ก็ห่างชั้นกันไกล ปลานี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รสชาติเทียบกับเซี่ยหยางไม่ติด ต่างกันราวฟ้ากับเหว”
“ใช่แล้ว บอกได้เลยว่ากินไม่ลง ยังคงเป็นผักของเซี่ยหยางที่กินอร่อย ไม่กินแล้ว พวกเราไป……”
เห็นพวกชาวบ้านกล่าวอย่างโกรธๆ รอยยิ้มของหวังหยุนจู้ก็แข็งค้าง ตะโกนอย่างร้อนใจว่า “เฮ้ๆ คนพวกนี้ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ เถ้าแก่จางเชิญพวกนายมากินฟรี ยังมานินทาว่าร้ายกันได้ ไร้จิตสำนึกเกินไปหรือเปล่า?”
“ผู้ใหญ่บ้าน ความหวังดีนี้พวกเรารับไว้แล้ว แต่รสชาติมันไม่เอาไหนจริงๆ พวกเรายังต้องไปช่วยอีก ไม่มีเรื่องอื่นแล้วพวกเราก็ขอตัวก่อน” พวกชาวบ้านไม่พอใจขึ้นมา
จางฝู้กุ้ยร้อนใจขึ้นมา กินไปคำหนึ่งอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะพูดว่า “ทำไมถึงกินไม่อร่อยล่ะ ฉันรู้สึกว่าอร่อยมากเลยนะ พวกคุณช่างมีตาสุนัขกันจริงๆ”
หวังหยุนจู้กล่าวขึ้นอย่างใส่ไฟว่า “จริงด้วย พวกเนรคุณฝูงหนึ่ง สุราดีไม่ชอบกินชอบกินสุราลงทัณฑ์”
“ช่างเถอะ ของฟรีมีอะไรดีกัน ยอมไปกินของร้านเซี่ยหยางดีกว่า หากคุณคิดว่าอร่อย พวกคุณก็เก็บไว้กินเองก็พอแล้ว พวกเราไป……” พวกชาวบ้านเริ่มสลายตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
หวังหยุนจู้อยากจะขวางก็ขวางไม่อยู่ เอ่ยขึ้นอย่างบันดาลโทสะว่า “มีแต่พวกเนรคุณ ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง หมูฝูงหนึ่ง”
“คุณด่าใครว่าเป็นหมูกัน คุณเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ยอดเยี่ยมแล้ว ช่างไม่เข้าใจจริงๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่า อาหารของเซี่ยหยางอร่อย พวกคุณก็ยังดึงดันจะเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน” มีชาวบ้านตะโกนขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว ชายฉกรรจ์จำนวนไม่น้อยต่างถกแขนเสื้อขึ้นถลึงตาใส่หวังหยุนจู้ แสดงความหมายอย่างชัดเจน หากพูดพล่ามอีก ได้เห็นดีกันแน่
ว่ากันว่าฝูงชนโกรธยากก้าวล่วง หวังหยุนจู้จึงท้อใจแล้ว ได้แต่โบกมือพลางกล่าวว่า “ไปให้หมด ไอ้พวกลูกกระต่าย ต่อไปสระน้ำนั้นของพวกแกอย่าหวังว่าเถ้าแก่จางจะยอมเหมาอีก จะคอยดูความอวดดีของพวกแก”
พวกชาวบ้านอดชะงักไปไม่ได้ บางคนชักเริ่มจะลังเลแล้ว ตอนที่เซี่ยหยางยังเป็นเด็กยากจน จางฝู้กุ้ยต่างเหมาสระในหมู่บ้านทั้งหมด ตอนนี้จู่ๆ มาพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
จางฝู้กุ้ยเห็นพวกชาวบ้านถอยหลังกลับมา ก็กล่าวขึ้นมาอย่างลำพองว่า “เพื่อนร่วมหมู่บ้านทั้งหลาย พวกเราต่างรู้จักกันมานานหลายปี ฉันเป็นคนยังไง ในใจทุกคนต่างรู้ดี ฉันมีความตั้งใจดี ต่อไปจะเปิดฟาร์มสเตย์เช่นเดียวกัน ยังรบกวนพวกคุณช่วยดูแลกิจการให้มากๆ ด้วย ทำการโฆษณาให้มากขึ้น ให้ญาติพี่น้องพากันมาที่นี่ สำหรับเรื่องสระน้ำ ยังคงเป็นเหมือนเดิม”
เห็นได้ชัดว่าความหมายแฝงการข่มขู่ไว้ด้วย แม้ที่พูดจะฟังดูรื่นหู แต่พวกชาวบ้านก็ฟังเข้าใจเช่นกัน แต่อย่างไรพวกเขาก็หวังจะได้สระปลาเลี้ยงชีพ อีกทั้งทุกปีเงินที่จางฝู้กุ้ยให้ก็ไม่น้อยเลย
เวลานี้เอง เซี่ยหยางรู้สึกว่าตนเองควรจะออกโรงได้แล้ว แต่ต้องอยู่ในสภาวะที่ถือไพ่เหนือกว่าจางฝู้กุ้ย ดังนั้นจู่ๆ ก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนี้ทำให้คนงงเป็นไก่ตาแตก
“เซี่ยหยางแกหัวเราะบ้าอะไร ทำไม ฉันพูดผิดเหรอ? แกอิจฉาสินะ?” จางฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง
“ฉันหัวเราะที่แกไร้เดียงสาไงล่ะ อีกทั้งยังไร้มโนธรรมอีกด้วย เมื่อกี้แกบอกว่าแกเป็นคนยังไงนะ ก็คือคำสองคำที่เรียกว่า ขยะ ไงล่ะ” เซี่ยหยาวดูถูกอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“ไอ้สารเลว แกอยากตายใช่ไหม?” จางฝู้กุ้ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก่อนจะร้องคำรามขึ้นมา
เซี่ยหยางเลือกที่จะไม่สนใจ หันหลังไปมองพวกชาวบ้านพลางกล่าวว่า “พี่น้องร่วมหมู่บ้านทั้งหลาย อย่าถูกเขาขู่ สระของพวกคุณมีค่ามาก หากจางฝู้กุ้ยไม่ยอมเหมา ผมจะเป็นคนเหมาทั้งหมดเอง”
“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย ปลาที่เซี่ยหยางเลี้ยงก็อร่อยมากด้วย ส่วนกำไรก็เยอะมาก” พวกชาวบ้านต่างดีใจกันขึ้นมา
“หุบปากให้หมด เซี่ยหยางแกจงใจตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันใช่ไหม?” จางฝู้กุ้ยกล่าวอย่างเดือดดาล
“นี่ฉันจะไม่พูด ต้องดูความเห็นของทุกคนแล้ว ยินดีจะยอมให้ใครเหมา ให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจเอง” ส่วนสระเหล่านั้นในหมู่บ้าน เซี่ยหยางคิดจะรับเหมานานแล้ว ตอนนี้จึงได้โอกาสเหมาะพอดี
“ได้ แกเหมาไหวเหรอ? สระผืนนั้นของฉันตกปีละสองถึงสามหมื่นเชียวนะ แกจะเอาอะไรมาเหมา? ไม่ประมาณตนเองเอาเสียเลย” จางฝู้กุ้ยถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ นึกเอาเองว่าความคิดของตนนั้นถูกต้อง
เซี่ยหยางไม่รีบไม่ร้อน ยื่นนิ้วออกมาพลางกล่าวว่า “สระผืนนั้นของฉันเพิ่มเป็นหมื่นหยวน อีกทั้งยังจ่ายเงินเร็วด้วย”
“แกโม้ล่ะสิ? อาศัยมีเงินไม่เท่าไหร่อย่างแก คิดจะมาเทียบกับฉัน?” จางฝู้กุ้ยไม่ยอมแพ้
เวลานี้หวังหยุนจู้รีบดึงเขาไว้เบาๆ พลางกระซิบว่า “เถ้าแก่จาง คุณอย่าดูถูกไอ้ลูกกระต่ายนี่เชียวนะ ผมไปสอบถามมาแล้ว พักนี้เขาได้กำไรไม่น้อยจริงๆ คุณต้องหักใจลง ไม่อย่างนั้นจะถูกเขาเอาเปรียบได้”
จางฝู้กุ้ยนิ่งคิด ตบมือทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันปีหนึ่งเกินห้าหมื่น ดูซิแกจะเทียบกับฉันยังไง”
“แสนหนึ่ง ทุกคนยอมให้ผมเหมาไหม?” พอเซี่ยหยางเอ่ยปากพูด พลันเกิดเสียงอุทานดังขึ้นทันที
จางฝู้กุ้ยโกรธจนตาถลน ราวกับถูกโจมตีเป็นเท่าตัว กัดฟันคำรามว่า “ฉันให้แสนห้า ดูสิแกจะสู้กับฉันยังไง”
“เถ้าแก่จางฉลาดมาก ผมคิดว่าเซี่ยหยางคงจะไม่มีเงินมากขนาดนี้” หวังหยุนจู้ทำท่าทางราวกับกำลังชมละครสนุก พลางถลึงตาใส่เซี่ยหยาง