เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 25
หนีออกจากบ้านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว โลกภายนอกศิวิไลซ์มาก บางครั้งเองก็ค่อนข้างจนปัญญาเช่นกัน แต่ฉันเฉินเจียไม่มีทางก้มหัวให้กับสภาพที่อยู่ตรงหน้า ฉันจะต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
สำหรับเรื่องร้านอาหาร เดิมทีรู้สึกว่าการแข่งขันสูงเกินไป หลายครั้งเคยคิดจะล้มเลิกความตั้งใจ แต่โชคดีที่จู่ๆ ได้พบคนคนหนึ่งที่ชื่อเซี่ยหยาง จะว่ายังไงดีนะ คนคนนี้น่าสนใจมาก และเพราะเขา จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นสวยงามขึ้นมา
เขาไม่เพียงเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน ฉันยังมีความรู้สึกบางอย่างต่อเขาด้วย บอกไม่ได้แน่ชัดนัก ฉันเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว บางทีการสู้ชีวิตอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ฉันอาจต้องการที่พึ่งพิงสักแห่งล่ะมั้ง……”
เนื้อหาต่อจากนั้น เซี่ยหยางชำเลืองมองอยู่สองสามที เขียนประมาณว่ารำพึงรำพันถึงชีวิตตนเอง คิดไม่ถึงว่าเฉินเจียจะหนีออกจากบ้าน ทำไมเธอต้องทำอย่างนั้นด้วย ที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็เธอถึงกับเขียนถึงตัวเขาในบันทึกแบบนี้อีก นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
กำลังครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาใจอยู่นั้น เซี่ยหยางก็ได้ยินเสียงดังเอะอะที่ด้านนอก ยังมีเสียงฝีเท้ารีบเร่งอีกด้วย ก็รู้สึกว่าไม่ปกติ จึงปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เปิดประตู เห็นพนักงานสองสามคนวิ่งไปทางห้องอาหาร
เซี่ยหยางก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา จึงรีบตามไปทันที ก่อนจะดึงพนักงานคนหนึ่งมาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
“มีคนกำลังก่อเรื่อง เหมือนจะเกิดการต่อสู้กันขึ้น” พนักงานมองเซี่ยหยางแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบร้อนจากไป
ในใจเซี่ยหยางเต้นโครมคราม ที่นี่คือร้านอาหาร เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ต้องไม่เป็นผลดีต่อเฉินเจียแน่ เซี่ยหยางไม่คิดมาก รีบรุดไปที่ห้องอาหารทันที
เวลานี้ เห็นเพียงคนจำนวนไม่น้อยพร้อมใจกันล้อมเป็นวง ตรงกลางด้านข้างโต๊ะตัวหนึ่ง มีชายฉกรรจ์สี่ห้าคน หนึ่งในนั้นเป็นชายหัวล้านคนหนึ่ง ชายหัวล้านรูปร่างเอวหมีหลังเสือผู้นี้ เบิกตาตี่ คำรามด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า “ร้านอาหารระดับห้าดาวบ้าบอนี่ของพวกแก ก็คือของเหลือเดนชัดๆ แกมาดูเอาเอง ข้างในถึงกับมียุงกับแมลงวัน ไหนจะขนหนูอีก นี่เป็นของที่คนกินเหรอ?”
เฉินเจียร้อนใจจนหน้าดำหน้าแดง มองไปที่โต๊ะ แล้วพูดว่า “คุณลูกค้าทุกท่าน หากมีปัญหาใดๆ สามารถไปคุยกันที่ห้องทำงานฉันได้ ฉันเป็นคนดูแลที่นี่ โปรดอย่าก่อเรื่องใหญ่โตเลยนะคะ”
“เธอคิดจะปิดปากพวกเราสินะ? ทำไม กลัวคนเห็นแล้วจะกระทบกับพวกเธอเหรอ?” ชายหัวล้านตะคอกออกมา ก่อนจะตะโกนว่า “ทุกคนกินอะไรกัน ไอ้ของนี่กินเข้าไปทำให้คนตายได้เลยนะ มาลองดูสิ”
เสียงตะโกนนี้ของเขา ทำให้ลูกค้าทั้งห้องอาหารอยู่ไม่เป็นสุข คนส่วนใหญ่ต่างพากันมาดู มีบางคนปิดปากอย่างรังเกียจทำท่าจะอาเจียน
เฉินเจียพยายามรักษาความเยือกเย็นอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ อาจเป็นความบกพร่องของพวกเรา มื้อนี้ไม่คิดเงิน คุณอยากทายอะไร พวกเราทำให้พวกคุณใหม่ก็ใช้ได้แล้ว แบบนี้ได้ไหมคะ?”
“ได้อะไร? ไร้สาระสิ้นดี อาหารเมื่อกี้พวกเรากินไปแล้ว เกิดมีอันเป็นไปขึ้นมาจะทำยังไง ทางที่ดีเธอพาพวกเราไปตรวจที่โรงพยาบาลจะดีกว่า” ชายหัวล้านไม่ปล่อยไปง่ายๆ ตะโกนเสียงดังอย่างเหิมเกริม
คนมุงดูที่ด้านข้างเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนได้รับผลกระทบแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีใครกล้ามากินอีกแล้ว เฉินเจียรีบเรียกพ่อครัวมาทันที หลังสอบถามครั้งหนึ่งแล้ว พ่อครัวก็กล่าวขึ้นอย่างไร้มลทินว่า “นี่เป็นไปไม่ได้ ประธานเฉิน อาหารของเราก่อนที่จะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะล้วนตรวจดูอย่างละเอียดทั้งหมด จะมีขนหนูกับแมลงวันได้ยังไง?”
“ยังคิดจะเถียงอีกสินะ? พวกคุณดูให้ดีๆ สิ เจ้าพวกนี้คืออะไร สายตาของทุกคนล้วนเห็นกันหมด ไปกัน อย่าไปกินที่ร้านนี้เลย โคตรขยะแขยง” ชายหัวล้านถุยน้ำลาย โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
เวลานี้มีแขกบางคนไม่กล้ากินแล้ว หลายคนถึงขั้นไม่วางใจในอาหารบนโต๊ะของตัวเอง รีบวางตะเกียบลงทันที ก่อนจะเดินมามุงดู
เฉินเจียรู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คิดว่าผลกระทบคงจะใหญ่โตอย่างมาก เธอได้แต่ถามว่า “งั้นคุณจะเอายังไงคะ?”
“เอายังไง? เธอต้องให้คำชี้แจงกับเรื่องนี้ หากตอนนี้ฉันโทรเรียกคนของกรมอนามัยมาที่นี่ ร้านของเธอจะมีคนที่ไหนมากิน ช้าเร้วก็ต้องปิดตัวลง” ชายหัวล้านพูดจบก็ควักมือถือออกมา
เฉินเจียอยากจะเข้าไปห้าม กลับถูกชายฉกรรจ์สองคนผลักออกทันทีจนโซเซเกือบจะล้ม ที่ด้านหลังก็มีมือคู่หนึ่งมาพยุงเธอไว้ได้ทัน พอหันหลังไปมองก็เห็นเป็นเซี่ยหยาง
เซี่ยหยางมองดูเหตุการณ์ จากนั้นก็สบตากับเฉินเจีย พบความบริสุทธิ์และจนปัญญาในดวงตาของเธอ ในใจก็รู้แจ้งอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้ แสดงว่ามาเพื่อก่อกวน สถานที่แบบนี้ อย่าว่าแต่อาหารในห้องครัวเลย ทั่วทั้งร้านก็ยากจะหาแมลงวันเจอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขนหนู
“เดี๋ยวก่อน จะโทรไปทำบ้าอะไร” เซี่ยหยางปล่อยเฉินเจีย จากนั้นก็เดินเข้าไป ก่อนจะตะโกนเสียงดัง
ชายหัวล้านชะงักไป ไม่รีบร้อนโทรอีก มองสำรวจเซี่ยหยางทีหนึ่ง พลางกัดฟันกล่าวว่า “แกนับเป็นตัวอะไร? ถือดีอะไรมาตะโกนเสียงดัง?”
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือพวกแกเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร?” เซี่ยหยางเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ไอ้ลูกกระต่าย ช่างแส่นักนะ เรื่องตรงนี้ไม่เกี่ยวกับแก ไสหัวไปให้ฉันซะ”
ชายหัวล้านส่งสายตาให้กับชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ด้านข้าง คิดจะโทรศัพท์ต่อ ชายสองคนสะบัดไหล่จากนั้นก็พุ่งเข้ามา เพิ่งจะยื่นมือคิดจะขวางเซี่ยหยาง กลับพบเซี่ยหยางพุ่งตัวผ่านไปอย่างรวดเร็วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหัวล้าน ก่อนจะยื่นมือมาบีบข้อมือชายหัวล้านไว้
“ปล่อย ไอ้เวรนี่ เฮ้ย……” ชายหัวล้านถูกบีบจนหน้าแดง เพียงรู้สึกมือชาวาบ แล้วมือถือก็หล่นลงมา ก่อนจะถูกเซี่ยหยางรับไว้
ชายหัวล้านอับอายจนบันดาลโทสะ แกว่งหมัดเหวี่ยงเข้าใส่เซี่ยหยางอย่างไม่เกรงใจใดๆ กลับไม่คาดคิดว่าเซี่ยหยางจะยกมือขึ้นมาขวางไว้ ชายหัวล้านรู้สึกเพียงว่าแขนเจ็บร้าวยากจะทานทน ตัวเซถอยออกไปไกลหลายก้าว
“มีอะไรก็พูดจากันดีๆ มีที่ไหนเขาลงไม้ลงมือกันบ้าง?” เซี่ยหยางหัวเราะ พลางโยนมือถือทิ้งไว้บนโต๊ะ
“ไอ้เวรนี่ แกมาเพื่อหาเรื่องสินะ?” ชายหัวล้านพูดอย่างเดือดดาล
“ที่หาเรื่องคือพวกแกมากกว่ามั้ง ของสกปรกที่อยู่ในอาหารนี่ พวกแกจงใจใส่เข้าไปเองสินะ?” เซี่ยหยางพูดโพล่งออกมา
ชายหัวล้านใบหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะเถียงว่า “พูดเหลวไหล แกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น แกมีหลักฐานอะไร?”
“หากฉันหาเจอล่ะ? พวกแกจะไปแต่โดยดี หรือจะทำต่อ?” เซี่ยหยางซักถาม
“กูว่ามึงคงเป็นคนของร้านนี้สินะ? มึงคิดจะดึงดันออกหน้า อย่าหวัง” ชายหัวล้านเพิ่งพูดจบคำ ก็ส่งสายตาไปให้ชายฉกรรจ์สองสามคนที่อยู่ด้านข้าง ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ควักมือถือออกมาแทบจะพร้อมกัน โดยเตรียมจะโทรแจ้ง
เวลานี้เฉินเจียที่อยู่อีกด้านก็รู้สึกตกตะลึงไปหมด หากในกรณีที่กรมอนามัยมาที่นี่ ถ่ายรูปเผยแพร่ออกไป อย่างนั้นนับแต่นี้ไปการค้าของตนเองก็อย่าหวังจะได้ทำอีกต่อไป แต่เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้คิดจะขวางคนเหล่านี้ที่โทรแจ้งพร้อมกันก็คงไม่ทัน เธอจึงได้แต่กุมศีรษะแล้วถอนหายใจออกมา
พูดยังไม่ทันขาดคำ พริบตาเดียวเซี่ยหยางพลันก้าวเท้าอย่างรวดเร็วราวกับเงาสายหนึ่ง เกิดเสียงซ่าๆ ดังขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปติดๆ กัน ยึดเอาโทรศัพท์ในมือชายฉกรรจ์ออกมามาจนหมด
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปราวกับพายุ พวกเขาไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ จ้องมองเซี่ยหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ไอ้สารเลว ถึงกล้าแย่งของเลยเหรอ สั่งสอนมันเดี๋ยวนี้” ชายหัวล้านหมดความอดทน จึงออกคำสั่งลงไป
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นคันมือคันไม้อยู่นานแล้ว จึงพากันล้อมเซี่ยหยางไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะปรี่เข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย
เซี่ยหยางมุมปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ที่รออยู่ก็คือการยั่วให้พวกเขาโกรธนี่แหละ จากนั้นก็กำหมัดกระแทกเข้าไปทันที เกิดเสียงพลั่กดังขึ้น ชายฉกรรจ์คนหนึ่งล้มหงายหลังไป คนอื่นๆ ที่เหลือ ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเช่นกันล้มคว่ำไปกองอยู่บนพื้นกันหมด
มองอยู่ชั่วพริบตาเดียวก็เหลือแต่ตนเองเพียงคนเดียว ชายหัวร้านจึงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ยังไม่ทันได้สติขึ้นมา เซี่ยหยางก็พุ่งปราดมาหยุดอยู่ตรงหน้า แล้วชายหัวล้านก็เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ แต่ลำคอได้ถูกมืออันแข็งแรงของเซี่ยหยางกุมไว้ แล้วก็ยกขึ้นมาทั้งอย่างนั้น สองขาถีบสะเปะสะปะ ถึงกับส่งเสียงใดๆ ไม่ออก
จากนั้นเขาก็โยนลงพื้นเบาๆ ชายหัวล้านก็ล้มกลิ้งลงไปกับพื้น ลุกขึ้นมาไม่ไหวอีก
เขาปัดๆ มือ เซี่ยหยางรู้สึกว่าพละกำลังและความเร็วของตนเองรุดหน้าขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว คนที่มุงดูอยู่ต่างตกลึงพรึงเพริด มองชายหนุ่มที่ดูธรรมดาผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า ต่างพากันคาดเดาว่าเขาเป็นใครมาจากไหนกัน
“มึงอย่านึกว่ามึงสู้เก่งนัก ของสกปรกที่อยู่ในอาหารเหล่านี้จะอธิบายยังไง?” ชายหัวล้านยังคิดจะกระเสือกกระสนอย่างคนใกล้ตายอยู่
“ใช่แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?” พวกลูกค้าเองก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้สงสัยขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
เฉินเจียขมวดคิ้วสวยเล็กน้อย รู้สึกสับสนไปหมด จึงมองเซี่ยหยางอย่างขอความช่วยเหลือ
เซี่ยหยางไม่รีบไม่ช้า เดินเข้าไปยกชายฉกรรจ์คนหนึ่งขึ้นมา ค้นบนตัวเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็หยิบถุงใบเล็กใบหนึ่งออกมา ด้านในมีของสกปรกเหลืออยู่
แผ่หลาอยู่ในมือ เซี่ยหยางจึงพูดขึ้นว่า “ทุกคนเห็นกันหมดแล้วใช่ไหม เห็นได้ชัดว่าคิดจะใส่ร้ายป้ายสีกัน นี่ไงล่ะหลักฐาน ไม่ต้องอธิบายมากแล้วสินะ?”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง ต่ำช้าเกินไปแล้ว ฉันว่าอาหารของที่นี่น่ากินมาตลอด จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ยังไงกัน ช่างรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ……” พวกลูกค้าต่างพากันประณาม
ชายหัวล้านกับเหล่าชายฉกรรจ์อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จึงลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ แล้วมองหน้ากันและกัน
และเวลานี้เอง ด้านนอกได้มีรปภ.มา คงเป็นเพราะเมื่อกี้มีคนเห็นการทะเลาะกันใหญ่โต ลูกค้าคนไหนสักคนจึงไปแจ้ง แต่มาได้จังหวะพอดี พวกชายหัวล้านจึงสูญเสียความมั่นใจไปในที่สุด ต่างพากันถูกนำตัวไป
“ฝากไว้ก่อนเถอะ มึงต้องเสียใจภายหลังแน่” ชายหัวล้านเดินนำอยู่ด้านหน้าพร้อมเอ่ยเตือนเซี่ยหยาง
พวกลูกค้าต่างพากันร้องว่าเยี่ยม ทุกคนกลับไปยังที่นั่งแล้วทานอาหารต่อ เพื่อปลอบใจลูกค้า เฉินเจียจึงมอบโปรโมชั่นครึ่งราคาให้กับทุกคน จึงทำให้ได้รับคำชมเชยแทน
พอกลับมายังห้องทำงาน เซี่ยหยางก็ควักบุหรี่ออกมาสูบอีกครั้งอย่างเคยชิน แล้วเฉินเจียก็แย่งไปทันที เซี่ยหยางชะงักไปคิดว่าต้องถูกดุอีกแล้ว คาดไม่ถึงว่าเฉินเจียจะเอาไปสูบเสียเอง ท่าทางดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
เซี่ยหยางกล่าวขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อยว่า “คุณคงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง?”
“สูบยากจัง” เฉินเจียมุ่นคิ้ว พลางไอออกมา ก่อนจะดับบุหรี่ เอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัวไม่หาย “เรื่องเมื่อกี้ขอบคุณคุณมาก ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีผลร้ายอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
“เรื่องเล็ก คนแบบนั้นไม่สั่งสอนไม่ได้” เซี่ยหยางกล่าวอย่างไม่แยแส
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะยังมีทักษะเช่นนี้ด้วย ฉันพบว่าคุณยังมีอะไรซ่อนอยู่ไม่เปิดเผยอีก” เฉินเจียมองเซี่ยหยางอย่างชื่นชม
“นี่นับเป็นอะไรได้ มามากกว่านี้ก็ไม่เป็นปัญหา” เซี่ยหยางยักไหล่
เฉินเจียร้องอ้อ จ้องมองเซี่ยหยางด้วยสายตาแปลกๆ เซี่ยหยางที่ถูกมองรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไม ที่ตัวผมมีอะไรติดอยู่เหรอ”
“เปล่าค่ะ เมื่อกี้ตอนที่คุณจับขโมย ไม่ใช่บอกว่าท้องเจ็บหรอกเหรอ? แต่เมื่อกี้คุณแข็งแรงขนาดนั้น ก่อนหน้านี้เสแสร้งใช่ไหม?” เฉินเจียถามอย่างสงสัย
เซี่ยหยางยิ้มแหยๆ รีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “คนพวกนี้คุณรู้ไหมว่าเป็นใครมาจากไหน? ทำไมต้องมาก่อกวนด้วย”
เฉินเจียครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างขัดเคืองว่า “ตามความเห็นฉัน น่าจะเป็นคนของร้านกินทั่วเมือง คนที่ชื่อเฮ่อเซ่าฉุนคนนั้นนิสัยไม่ดี ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ คงไม่มีใครกล้ามาก่อกวนแบบนี้”
เฮ่อเซ่าฉุน? จู่ๆ เซี่ยหยางก็นึกออก คราวก่อนพาสาวสวยสองสามคนมาที่ฟาร์มสเตย์ของเขา คิดจะเจรจาการค้า แต่ถูกเซี่ยหยางปฏิเสธไป ตอนนั้นก็รู้สึกผิดปกติแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกนำมาใช้เป็นการแก้แค้นจริงๆ
“แสดงว่าเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตของคุณจริงๆ?” เซี่ยหยางโกรธจัด
“แล้วไม่ใช่หรือไง คอยตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันทุกวัน ในเมืองก็มีแค่ร้านอาหารระดับห้าดาวของพวกเราเพียงสองร้าน ประกอบกับฉันกำลังรับซื้อปลากับผักที่ร้านคุณด้วย จึงทำให้แย่งลูกค้าเขาไปไม่น้อย เขาจะต้องกำลังผูกใจเจ็บอยู่แน่ เลยสั่งให้คนมาหาเรื่อง” เฉินเจียโกรธจนกัดริมฝีปากแน่น
“อย่างนั้นต่อไปคุณต้องระวังตัวให้ดี มีแผนอะไรไหม?” เซี่ยหยางเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“จะวางแผนยังไงได้ คนชั่วยากป้องกัน มีแต่คอยระวังตัวให้มากเท่านั้น” เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียจนปัญญาอย่างมาก
เซี่ยหยางเองก็ยังไม่มีความคิดดีๆ ชั่วคราว พอทานข้าวกับเฉินเจียที่ร้านเสร็จ ก็กลับไปยังหมู่บ้าน
หลังถึงบ้านแล้ว เซี่ยหยางก็เข้าไปในโลกแผ่นหยกด้วยความเคยชิน ครั้งนี้จู่ๆ เขาก็พบความแปลกประหลาดบางอย่างเข้า