เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 28
เซี่ยหยางมองสำรวจคนกลุ่มนี้ที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาแต่ละคนทำท่าทางดุดัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาโดยเจตนาดี เซี่ยหยางรู้ดีอยู่แก่ใจ
“ทำไม หรือว่ายังต้องขออนุญาตคุณด้วย” เซี่ยหยางกลอกตาใส่หวังหยุนจู้ พลางหันหลังกลับโดยไม่สนใจ ก่อนจะสั่งการคนงานต่อ
หวังหยุนจู้พาคนปรี่เข้าไปขวางไว้ ก่อนจะตะคอกเสียงสูงใส่ว่า “ฉันบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ นี่เป็นพื้นที่ส่วนรวม ไม่ใช่สวนปลูกผักของบ้านนาย นายนึกอยากจะสร้างก็สร้าง ช่างไม่เห็นใครอยู่ในสายตาจริงๆ”
“งั้นก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณว่าควรจะทำยังไงดีล่ะ หากต้องทำขั้นตอนอะไร ผมทำตามนั้นก็พอแล้ว แต่รอผมจัดการตรงนี้ให้เสร็จก่อน คุณกลับไปรอก่อนเถอะ” เซี่ยหยางเองก็ไม่ได้เลอะเลือน รู้สึกว่าควรจัดการเช่นนี้
หวังหยุนจู้ไม่ยอม พลางกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “หยุดให้ฉันให้หมด ไม่พูดให้ชัดเจน ก็อย่าคิดสร้าง”
เวลานี้มีเสียงเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางปลิ้นปล้อนไม่จริงใจว่า “ตามความเห็นฉัน เห็นได้ชัดว่าเขาเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ และไม่อยากพูดให้ชัดเจน ช่างเหิมเกริมจริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
ตามที่มาของเสียง เซี่ยหยางเห็นชายพุงโตคนหนึ่ง ในวันที่อากาศร้อนจัดเขายังสวมสูทใส่แว่นกันแดด เห็นได้ชัดว่ากำลังเสแสร้งแกล้งทำ คนนี้เขาเคยเห็นเมื่อคราวก่อน คือลู่เฟยของหมู่บ้านเกาตี้ที่อยู่ข้างๆ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ไม่รบกวนให้คุณมาสอดปาก” เซี่ยหยางถากถางอย่างไม่สบอารมณ์
คราวนี้ลู่เฟยเกิดโทสะแล้ว เขาผลักกลุ่มคนออกโดยทันที ดึงแว่นตาออก จากนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างเหยียดหยามว่า “เซี่ยหยางปากแกไปกินขี้มาใช่ไหม? ทำไมจะไม่เกี่ยวกับฉัน ที่ดินผืนนี้เป็นเขตติดต่อของหมู่บ้านพวกเรากับหมู่บ้านพวกแก นับว่าเป็นของที่ใช้กันสองหมู่บ้าน แกเป็นตัวอะไร บอกจะสร้างบ้านก็สร้างได้เหรอ?”
“หืม? ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย มิน่าล่ะจู่ๆ ถึงโผล่ออกมา แต่ก็นับว่าเป็นของที่สองหมู่บ้านใช้ร่วมกัน แล้วคุณสามารถพูดแทนหมู่บ้านของพวกคุณได้เหรอ?” เซี่ยหยางเอ่ยขึ้นอย่างยอกย้อน
ลู่เฟยบันดาลโทสะ กระทืบเท้าพร้อมกับคำรามว่า “ย่าแกสิ พ่อฉันก็เป็นผู้ใหญ่บ้านเหมือนกัน เขาก็คือตัวแทนหมู่บ้านของเรา ฉันย่อมพูดได้อยู่แล้ว แกก็พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย เรื่องนี้ไม่ตกลงให้ชัดเจน วันนี้ใครก็ห้ามทำอะไรทั้งนั้น”
“ใช่ ห้ามทำ หยุดให้หมด” หวังหยุนจู้กล่าวสำทับ ก่อนจะวิ่งเข้าไปดึงคนงานเหล่านั้น
เซี่ยหยางเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน ตะโกนบอกกับคนงานที่ใช้เครื่องขุดดินว่า “ไม่ต้องสนใจพวกเขา ขุดต่อเลย”
จากนั้นเครื่องขุดดินก็ติดเครื่องเสียงดังครื่นครั่นขึ้นมา หวังหยุนจู้ร้อนใจแล้ว เขามองไปทางลู่เฟย พบว่าเขากำลังส่งซิกให้ตนเอง ดังนั้นจู่ๆ หวังหยุนจู้ก็วิ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้า จากนั้นก็นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นพร้อมตะโกนว่า “มาเลย แกขุดต่อสิ กดให้กูตายไปด้วยเลย”
คนขับรีบหยุดเครื่องทันที มองเซี่ยหยางอย่างลำบากใจและหมดไฟในการทำงาน
เซี่ยหยางคิดไม่ถึงว่าหวังหยุนจู้จะพยายามฆ่าตัวตาย แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้ว พวกเขาตั้งใจมาก่อกวน แต่จะว่าไป หากเกิดอะไรขึ้นมา คงหมดทางชี้แจงเช่นกัน
“พวกคุณจะเอายังไงกันแน่ หากต้องการให้ทำตามขั้นตอนโดยจ่ายเงิน ก็จะไปทำเดี๋ยวนี้ อย่าได้คืบจะเอาศอก” เซี่ยหยางอดกลั้นความโกรธ จ้องมองหวังหยุนจู้
หวังหยุนจู้ยังไม่ทันพูดอะไร ลู่เฟยก็เยาะเย้ยขึ้นมาว่า “เซี่ยหยาง แกคิดว่าแกมีเงินเท่าไหร่กันเชียว ขนบนปากแกยังงอกไม่ครบด้วยซ้ำ ทำตัวอวดเบ่งไปทั่ว ใครจะอยากได้เงินอันน้อยนิดจนน่าสมเพชของแกกัน”
“แล้วคุณจะเอายังไง” เซี่ยหยางดวงตาราวกับคบเพลิง พลางเอ่ยเสียงสูง
“ง่ายมาก แค่คำเดียว ไสหัวไป!” ลู่เฟยโกรธแค้นเซี่ยหยางอยู่ในใจมานานแล้ว โดยเฉพาะเกี่ยวกับกำนัลสาวช่ายยั่น คราวก่อนลู่เฟยทั้งหึงหวงทั้งเกลียดชัง ครั้งนี้จึงคว้าโอกาสนี้ไว้ ก่อนหน้านี้เขาให้หวังหยุนจู้คอยจับตาดูเซี่ยหยางไว้ หากมีลมพัดหญ้าไหวเพียงนิดเดียวก็ให้มาบอกเขา วันนี้ได้รับโทรศัพท์จากหวังหยุนจู้ เขาก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ทันทีอย่างไม่หยุดพัก ทั้งยังพาคนกลุ่มใหญ่มาด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องการต่อสู้กับเซี่ยหยาง
“ใช่ รีบไสหัวไปซะ ในหมู่บ้านยังมีผู้ใหญ่บ้านอย่างกูที่คำพูดมีน้ำหนักอยู่” หวังหยุนจู้ใช้อำนาจรังแกคน เขาไต่ขึ้นมาจากพื้น ปัดฝุ่นออก จากนั้นก็เชิดหน้าถลึงตาใส่เซี่ยหยาง
เห็นทีเรื่องในวันนี้คงต้องทะเลาะกันใหญ่โตแล้ว พวกเขาไม่เพียงทำตัวเกะกะระราน ยังเอาชายฉกรรจ์สองสามคนมาที่นี่ด้วย แถมยังลงไม้ลงมือกับคนงาน เอาเครื่องมือโยนทิ้ง จากนั้นก็ยังจะไปรื้อฐานที่เพิ่งสร้างออก พวกคนงานจนปัญญา ได้แต่ทำตาปริบๆ มองเซี่ยหยาง
“พวกคุณต้องการขัดแย้งสินะ ไม่ต้องการหารือ?” เซี่ยหยางลอบกำหมัด โกรธจนดวงตาวาวโรจน์
“ทำไมเรียกว่าขัดแย้งล่ะ ไม่พูดได้ไหม แบบนี้จะได้ทำให้แกจดจำไปนานๆ อย่ามองไม่เห็นใครในสายตา หากรู้จักสถานการณ์ก็รีบไสหัวไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็ทำลายที่นี่ซะ” หวังหยุนจู้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“หากฉันปฏิเสธล่ะ?” เซี่ยหยางดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ กัดฟันกรอด ที่ตัวแผ่ไอสังหารออกมา
“งั้นก็ไม่เกรงใจแล้ว รื้อกำแพงของที่นี่ให้ฉัน โยนของออกไปให้หมด” หวังหยุนจู้ตะโกนอย่างไม่เกรงใจ
ลู่เฟยรีบส่งซิกให้คนเหล่านั้น ชายฉกรรจ์เหล่านั้นคันไม้คันมือ ถกแขนเสื้อจากนั้นก็ปรี่เข้าไป
แต่เห็นเพียงเงาคนวาบผ่านตรงหน้า เซี่ยหยางระเบิดอารมณ์ มองไม่ชัดว่าเขาออกหมัดอย่างไร ก่อนจะเกิดเสียงดังตึงตังราวกับตีกลอง จากนั้นก็เกิดเสียงเหมือนของหนักตกลงบนพื้นสองสามหน ชายฉกรรจ์เหล่านั้นถึงกับพากันนอนคว่ำอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้นอีก พร้อมกับร้องโหยหวนไม่หยุด
ชั่วพริบตาเดียวหวังหยุนจู้ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา ก่อนจะชะงักไป จากนั้นก็ถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว พลางเอ่ยขึ้นอย่างแข็งนอกอ่อนในว่า “เซี่ยหยางไอ้คนสารเลว แกยังกล้าทำร้ายคนอีก แกเชื่อไหมว่าฉันแจ้งเบื้องบนให้มาจับแกได้ แกฝ่าฝืนก่อสร้างโดยพลการ ยังจะทำตัวป่าเถื่อนทำร้ายคน แกทำผิดใหญ่หลวงแล้ว”
“แกจะลองดูก็ได้ เชิญตามสบาย” เซี่ยหยางปัดมือ เอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจ
“ฉันจะโทรเดี๋ยวนี้แหละ ไอ้หยา……” หวังหยุนจู้ยังพูดไม่ทันจบ มือถือในมือก็กระเด็นออกไป หล่นลงกระแทกพื้นแตกเป็นชิ้นๆ เขาตกตะลึง บนใบหน้าเกิดรอยฝ่ามือขึ้นหนึ่งรอบ
“แก แกกล้าตบฉัน……” หวังหยุนจู้เพิ่งจะกุมใบหน้าซีกซ้ายไว้ ใบหน้าซีกขวาก็ถูกตบอย่างแรงอีกที่หนึ่ง ศีรษะเอียงไปข้างหนึ่งแล้วล้มลงกับพื้น
เซี่ยหยางชักหมัดกลับ ก่อนจะเย้ยหยันว่า “ฉันตบแล้ว แกจะทำยังไงได้?”
หวังหยุนจู้กลัวแล้ว เขาถูกเซี่ยหยางตีไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เขากลับสู้ไม่ได้เลย เขาทำหน้าบิดเบ้ มองลู่เฟยอย่างขอความช่วยเหลือ เพราะอย่างไรความคิดนี้ลู่เฟยก็เป็นคนคิดออกมา
“บัดซบ เซี่ยหยางแกตายแน่ คอยดูว่าฉันจะจัดการกับแกยังไง” ลู่เฟยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หยิบมือถือออกมาเตรียมจะโทรเรียกคน ตอนนี้เขาถึงพบว่าได้ประเมินเซี่ยหยางต่ำไป ตอนแรกที่หวังหยุนจู้บอกว่าเซี่ยหยางร้ายกาจ ตอนนั้นลู่เฟยยังไม่เชื่อ ตอนนี้พอมาได้เห็นกับตา ค่อยเสียใจภายหลังว่าตนเองพาคนมาน้อยไป
“ฮัลโหล ฉันเอง พวกแกมาที่นี่ เรียกคนมาให้หมด ยิ่งมากยิ่งดี” ลู่เฟยวางสาย จ้องมองเซี่ยหยางอย่างเอาเป็นเอาตาย “แกจบเห่แล้ว คิดต่อกรกับฉัน แกยังอ่อนไป”
ดูเหมือนเซี่ยหยางจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด ยังส่งบุหรี่ให้พวกคนงานอีกด้วย หลังจุดสูบ ก็พ่นควันออกมาอย่างสบายอกสบายใจ นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง พลางกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ได้เลย ฉันจะคอยดู คนของนายจะเป็นพวกไม่เอาถ่านหรือเปล่า”
“แกอย่ามาอวดเก่ง เดี๋ยวแกได้เจอดีแน่” ลู่เฟยเริ่มวางแผนอยู่ในใจ วันนี้จะต้องสั่งสอนเซี่ยหยางสักครั้งให้ได้ ทำลายความน่าเกรงขามของเขา ในมุมมองของเขา เจ้าโง่นี่ก็แค่กวนบาทาเท่านั้น
เพียงเวลาไม่นานนัก ก็มีรถตู้สองคันส่งเสียงกระหึ่มขับเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงเบรครถดังเอี๊ยด คนสิบกว่าคนถือมีดปังตอและไม้กระบองกรูกันลงมา จากนั้นก็ล้อมเอาไว้ด้วยท่าทางดุร้าย
คนที่เป็นหัวหน้าคือชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำหลังหมีเอวเสือคนหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยมัดกล้าม บนแขนกับลำคอนอกจากจะมีรอยมีดแล้วยังมีรอยสักสักตามตัวเต็มไปหมด เขากวาดสายตาทีหนึ่ง แล้วก็มองเลยเซี่ยหยางไปทันที ราวกับไม่พบใครสักคนที่ดูน่าจะเก่ง ดังนั้นจึงมองไปที่ลู่เฟยก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เถ้าแก่ลู่ คนไหนที่กล้ารนหาที่ตายยั่วโมโหคุณ”
“หลางจื่อ ก็คนนี้ไง เซี่ยหยางที่ไม่รู้จักที่ตาย สั่งสอนเขาให้มากๆ หน่อย ขอแค่ไม่ถึงกับตาย ทรมานได้ตามใจ” ลู่เฟยทำท่าราวกับกิ้งก่าได้ทอง จ้องทะลุผ่านแว่นตาดำ พลางยกมือชี้ไปที่เซี่ยหยาง
หลางจื่อมองสำรวจเซี่ยหยาง จากนั้นก็เอียงศีรษะ รู้สึกว่าคนตรงหน้าดูธรรมดาจนไม่อาจจะธรรมดาไปกว่านี้ได้อีก จะมีความสามารถในการต่อสู้ได้ยังไงกัน เขาเดินเข้าไปถลึงตาใส่เซี่ยหยางราวกับผู้อยู่เหนือกว่าก่อนะจะกล่าวว่า “ไอ้หนุ่ม แกโง่หรือเปล่า? มานี่ พี่ชายจะดูสิว่าตัวแกเป็นไม้แข็งหรือเปล่า”
“ก่อนอื่นฉันไม่ได้ชื่อไอ้หนุ่ม ฉันชื่อเซี่ยหยาง นายจงจำชื่อฉันไว้เข้าใจไหม?” เซี่ยหยางกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“จำแม่แกสิวะ ไอ้ระยำ แกเจ๋งขนาดนั้นเชียว? ปากเก่งนัก รู้ไหมว่าพี่ชายเคยฆ่าคนมาก่อน?” หลางจื่อหัวเราะเสียงดัง
เซี่ยหยางโยนบุหรี่ทิ้งลงพื้น แล้วก็ใช้เท้าเหยียบจนมอดดับไป เขาเงยหน้าหรี่ตามองคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะกระดิกนิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า “เลิกพูดพล่ามได้แล้ว พวกนายเข้ามาพร้อมกันเลย”
แข็งแกร่ง! สามารถพูดได้ว่าอวดดีโดยแท้
คำพูดนี้ทำให้หลางจื่ออกชะงักไปไม่ได้เช่นกัน พูดอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ผ่านอะไรมาโชกโชน ผ่านวันเวลาที่เลียเลือดบนคมมีดมาก็มาก ไอ้หนุ่มท่าทางพื้นๆ ที่อยู่ตรงหน้านี้ หรือว่าจะเป็นพวกคมในฝักจริงๆ หรือว่าเป็นแค่ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวพยัคฆ์ อวดเก่งไปอย่างนั้นเอง? แต่ไม่ว่าอย่างไร การจะได้ประโยชน์จากลู่เฟย ก็ต้องทำงาน หลางจื่อโบกมือทีหนึ่ง จากนั้นก็คำรามว่า “ไอ้เวรนี่ สงสัยจะเบื่อชีวิตแล้วพวกพี่จะสั่งสอนเองว่าการเป็นคนมันเป็นยังไง”
คนสิบกว่าคนนั่นก็ไม่ใช่พวกกินนิ่ม ชั่งกระบองในมือ ก่อนจะร้องคำรามพุ่งเข้าไปหาเซี่ยหยาง
เกิดเสียงพลั่กดังขึ้น ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่พุ่งมาอยู่ตรงหน้ารู้สึกเพียงง่ามนิ้วชาวาบ ไม้กระบองกระแทกใส่แขนของเซี่ยหยาง เพียงแต่มันถูกดีดกลับมา ยังไม่ทันได้หลบเลี่ยง หน้าผากก็เจ็บแปลบ ถูกไม้กระบองฟาดจนสลบไป
คนหนึ่งที่ด้านหลังสบถออกมาคำหนึ่ง เพิ่งจะลงมือ ลำคอก็ถูกจับไว้ รู้สึกเพียงร่างกายลอยสูงจากพื้น เกิดเสียงสวบดังขึ้น ตัวคนลอยไปในอากาศ ตีลังกาหล่นลงมาบนพื้นลุกขึ้นมาไม่ได้อีก
คนอื่นๆ ที่ตามหลังมาติดๆ ยังไม่มีใครได้สติ สองมือเซี่ยหยางราวกับคีม หลังเกิดเสียงปริแตกสองสามครั้ง ไม้กระบองก็แตกหัก เขาเป็นดังเช่นหมาป่าหิวโซตัวหนึ่งเจอฝูงแกะ ฝูงแกะแตกกระเจิง
จึงพบว่าเซี่ยหยางยึดเอาไม้กระบองไป พบเจอหนึ่งศีรษะก็รู้สึกว่ามันคือการตีลูกเบสบอล ตีจนเสียงดังตึงตัง ดีที่เซี่ยหยางควบคุมแรงไว้ ไม่อย่างนั้นที่กระเด็นออกไปคงไม่ใช่ร่างกายของพวกเขา แตรเป็นศีรษะแทน
สุดท้ายชายฉกรรจ์สองคนก็ได้แต่มองเพื่อนสองสามคนนอนอยู่บนพื้นตาปริบๆ ต่างมองหน้ากันและกัน ขาเริ่มสั่น เพิ่งคิดจะฝืนศีรษะพุ่งเข้าไป เซี่ยหยางก็พุ่งเข้ามาราวกับลมหอบหนึ่ง จากนั้นก็จับศีรษะของเขากระแทกเข้าด้วยกัน
ตรงหน้าผุดดาวสีทอง พริบตาชายสองคนก็สูญสิ้นแรงขัดขืน มองเซี่ยหยางเดินเข้าไปหาหลางจื่อด้วยสายตาปริบๆ
หลางจื่อมุมปากกระตุก ถึงกับเกิดอาการสั่นกลัวอย่างระงับไม่อยู่ เขาเป็นนักเลงมาหลายปี ไม่เคยปีนข้ามใครมาก่อน แต่วันนี้เขากลัวแล้ว กระทั่งหัวใจก็ยังเต้นเร็วจนถึงคอหอย
ขยับลำคอไปมา หลางจื่อยังคงกัดฟันพุ่งเข้าไป แต่ใต้เท้ากลับถูกเกี่ยวไว้ คลานอยู่บนพื้นราวกับสุนัขกินอาจมตัวหนึ่ง อยากจะลุกขึ้นมา แต่ถูกเซี่ยหยางเหยียบไว้
เซี่ยหยางทั้งเตะทั้งถีบ จนหลางจื่อกลิ้งไปหยุดแทบเท้าลู่เฟย
ถือดี อวดเก่ง ราวกับเทพสังหารโดยแท้ ทุกอย่างนี้สร้างแรงกดดันให้ลู่เฟยอย่างมหาศาล เขาที่เมื่อกี้ยังไร้ความหวาดกลัวเพราะมีที่พึ่ง หน้าถอดสีแล้ว มองเซี่ยหยางอย่างหวาดผวา พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “แกคิดจะ……”
เกิดเสียง “เพี๊ยะ” ดังขึ้น ไม่รอให้ลู่เฟยพูดจบ เซี่ยหยางก็โบกฝ่ามือเข้าไปหา ทำให้กระจกแว่นตาดำของลู่เฟยแตกกระจายทิ่มใบหน้าเขา
“ไอ้……”ลู่เฟยตะโกนร้องเสียงดัง เพิ่งจะเปิดปากด่า ก็ถูกโบกด้วยฝ่ามืออีกครั้ง ดูเหมือนกรามจะหลุดเสียแล้ว เขาอ้าปากก็ไม่มีคำพูดหลุดออกมา
จากนั้น เซี่ยหยางก็คว้าโบว์หูกระต่ายของเขาไว้ ออกแรงดึงจนลิ้นของลู่เฟยเผยออกมา ดวงตาเหลือก สองมือปัดป่าย สองขาเตะถีบไปมา ดูเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ