เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 29
“เซี่ยหยาง แกจะฆ่าเถ้าแก่ลู่แล้ว รีบปล่อยมือเร็ว” ผู้ใหญ่บ้านหวังหยุนจู้เห็นว่าไม่ปกติ จึงอดอ้อนวอนขึ้นมาไม่ได้
ส่วนลู่เฟยสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ หายใจลำบากอย่างยิ่ง มองเซี่ยหยางอย่างหวาดกลัว
เซี่ยหยางสลัดมือทิ้ง ลู่เฟยก็กระเด็นออกไป กลิ้งอยู่บนพื้นสองสามตลบ กระเสือกกระสนไปมา กุมลำคอหอบหายใจเฮือกใหญ่ เกือบเอาชีวิตไม่รอด
“ยังไม่ไปอีก?” เซี่ยหยางกวาดตามองอย่างนิ่งเฉย ไม่โกรธและยังน่าเกรงขาม
“เซี่ยหยาง ฉัน ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่ ฝากไว้ก่อน” ลู่เฟยกว่าจะลุกขึ้นมาไม่ง่ายเลย ก่อนจะคำรามอย่างไม่ยอมแพ้
เซี่ยหยางจงใจเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว ลู่เฟยตกใจจนหัวหด หมุนตัววิ่งหนีไปทันที ส่วนคนที่ชื่อหลางจื่อก็รีบพาคนตามไป และหวังหยุนจู้ก็บื้อใบ้ไปแล้ว เขาอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ เพียงแค่มองเซี่ยหยางอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง ก่อนจะจากไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ
“เจ้านายเซี่ย ยังต้องเริ่มงานอีกไหม?” เวลานี้เหล่าคนงานล้อมวงกันมาสอบถามความเห็น
“แน่นอนสิ ทำต่อ มีเรื่องอะไรฉันรับผิดชอบเอง” เซี่ยหยางมองท่าทางอับจนปัญญาของคนเหล่านี้ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
อย่างไรก็ผูกความแค้นกับพวกเขาแล้ว วันนี้จึงต้องสั่งสอนพวกเขาสักหน่อย ว่าคราวต่อไปจะไม่ใจอ่อนมืออ่อนแบบนี้อีก
เพิ่งกลับถึงหมู่บ้าน บิดาก็มาหาเขา หลายวันมานี้บิดาเขาช่วยเรื่องซ่อมถนน ดูท่าทางไม่เพียงไม่เหน็ดเหนื่อย ยังดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก คำพูดที่บิดาใช้ พักอยู่ตลอดจนเบื่อแล้ว ตอนนี้มีเรื่องให้ทำก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา
“พ่อ มีอะไรเหรอ?” เซี่ยหยางพบว่าสีหน้าท่าทางของบิดาดูผิดปกติ
บิดาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเต็มไปด้วยความจริงใจว่า “หยางจื่อ เรื่องของแกกับผู้ใหญ่บ้าน พ่อได้ยินแล้วนะ”
“ได้ยินมาจากใคร เร็วขนาดนี้เชียว” เซี่ยหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ตอนนี้หมู่บ้านเหล่านั้นลือกันไปทั่วแล้ว เป็นธรรมดาที่พ่อจะรู้ แกทำร้ายพวกหวังหยุนจู้ทำไมกัน ตามที่ลือกันยังมีลู่เฟยของหมู่บ้านเกาตี้ที่อยู่ข้างๆ อีกคน เขาเป็นพวกอันธพาล แกทำให้เขายุ่งยากอย่างมาก” บิดากล่าวขึ้นอย่างกังวล
เซี่ยหยางส่ายหน้าอย่างไม่สนใจพลางกล่าวว่า “พ่ออย่ากังวลนักเลย สมน้ำหน้าพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าจงใจมาหาเรื่อง”
“พ่อรู้ แต่สำหรับเรื่องก่อสร้าง แกก็ไร้เหตุผลเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องขั้นตอนแกไม่ได้จัดการเลยสินะ?” บิดาถาม
“อืม ผมอยากจะรีบสร้างบ้านก่อน จากนั้นก็ค่อยดำเนินการตามขั้นตอนอีกทางหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าพวกหวังหยุนจู้จะบอกว่ามาก็มา ไม่ให้โอกาสผมเลยด้วยซ้ำ” เซี่ยหยางเอ่ยขึ้นอย่างโมโห
บิดาถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวโน้มน้าวว่า “พ่อรู้แกทำอะไรจะมีวิธีการของตัวเอง แต่เรื่องที่ควรทำก็ยังคงต้องทำ ตามที่พ่อพูดแกควรดำเนินการตามขั้นตอนให้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา แม้จะบอกว่าหวังหยุนจู้คนนั้น คนในหมู่บ้านต่างไม่ชอบเขา แต่คนเราก็ต้องมีความรับผิดชอบของตัวเอง”
“รู้แล้วครับ พ่อไปพักสักเดี๋ยว ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เซี่ยหยางเรียกเอ้อนิ้วมาที่นี่ เพราะอย่างไรก็เพิ่งทะเลาะกับหวังหยุนจู้ไป จึงให้เอ้อนิ้วไปองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในการสร้างบ้าน
เอ้อนิ้วไปไม่นานก็กลับมา เขาเกาศีรษะแล้วกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “พี่หยาง พวกเขาบอกว่าไม่ทำให้ แถมยังบอกอีกว่าขอเพียงเป็นเรื่องของพี่ ก็จะไม่ทำให้เด็ดขาด นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เห็นได้ชัดว่าหวังหยุนจู้เล่นตุกติก เจ้าหมอนี่เกรงว่าจะคอยขัดขาฉัน” เซี่ยหยางยิ้มออกมา
“แล้วจะทำยังไงดี พี่ไม่ทำตามขั้นตอน นั่นก็เท่ากับฝ่าฝืนสร้าง หากเกิดว่าเบื้องบนมีคนลงมาดูแล คงจะไม่เป็นผลดี” เอ้อนิ้วพูดอย่างกังวล
เซี่ยหยางย่อมมีความคิดของตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกเอ้อนิ้วพูดจี้ใจดำเข้า ยังไม่ทันที่เซี่ยหยางจะขยับตัว ก็เห็นรถสองสามคันจากที่ไกลๆ ขับตรงมาที่นี่ แล้วจอดที่หน้าประตูบ้านของเขา
“คนไหนคือเซี่ยหยาง ออกมาหน่อย” เป็นคนของส่วนราชการคนหนึ่ง แสดงท่าทางเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เขาลงมาจากรถ ก็เริ่มตะโกนเข้ามาด้านใน
พอเซี่ยหยางออกไปดู ก็เห็นว่าคนเหล่านั้นเหมือนจะเป็นหน่วยงานอะไรสักอย่าง ดูเหมือนว่าไม่ได้มาดี เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก็แทบจะเข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็ถามว่า “ผมนี่แหละคือเซี่ยหยาง มีอะไรให้รับใช้ครับ?”
เจ้าพนักงานคนนั้นมองสำรวจเซี่ยหยางขึ้นลงแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “โครงการตรงข้างถนนในหมู่บ้านนั่นเป็นของคุณ?”
“ใช่แล้ว ทำไมเหรอครับ?”
“พวกเรามาจากกรมที่ดิน บ้านหลังนี้ของคุณละเมิดกฎการก่อสร้าง ตอนนี้คุณตามไปกับพวกเราหน่อย” เจ้าพนักงานชักสีหน้า แสดงใบสำคัญออกมา
เซี่ยหยางรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้มาเพื่อเรื่องนี้ ไม่ต้องบอกก็ต้องเป็นแผนการของหวังหยุนจู้กับลู่เฟย เจ้าสองคนนั้นถูกเอาเปรียบก่อนหน้านี้ ก็เลยแอบแจ้งกรมที่ดินอย่างลับๆ แต่จะว่าไปแล้วก็แปลก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องรบกวนคนของกรมที่ดินด้วย นี่แสดงว่าเส้นสายของลู่เฟยไม่ธรรมดา ส่วนหวังหยุนจู้ เขาคงจะไม่มีความสามารถเรียกคนของกรมที่ดินมาหรอก
“พวกคุณมาเพราะจุดประสงค์อะไร ก็พูดเข้าประเด็นเลยเถอะ” เซี่ยหยางเองก็ไม่อยากอ้อมค้อมเช่นกัน พวกเข้าพนักงานพุงย้อยแต่งตัวเกินความพอดีเหล่านี้ หากไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ ก็ไม่มีทางออกหน้าเด็ดขาด เวลานี้ควรจะนั่งอยู่ในห้องทำงานจิบชาอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่า
“ดูท่าทางคุณจะเป็นคนเข้าใจง่าย” เจ้าพนักงานคนนั้นจ้องเซี่ยหยางเขม็ง ก่อนจะกล่าวอีกครั้งว่า “ในเมื่อพูดชัดเจนแล้ว ผมก็ขอพูดตามตรงเลยแล้วกัน เรื่องการสร้างบ้านนี้ของคุณ ไม่สอดคล้องกับกฏเกณฑ์แต่แรกแล้ว ตามกฎหมายที่ดินของหลวง ไม่อาจก่อสร้างโดยพลการได้ เรื่องนี้ คุณไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานก่อน ก็ก่อสร้างโดยพลการ มันผิดต่อกฏหมายคุณเข้าใจไหม?”
นี่คือการใช้กฎหมายมาขู่คนแล้ว แต่เซี่ยหยางเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร กล่าวขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ผมจะดำเนินตามขั้นตอน แต่เจ้าพนักงานในหมู่บ้านเราไม่ยอมแจ้งขึ้นไป จงใจถ่วงเวลา ผมเลยได้แต่สร้างก่อน หากมีอะไรไม่เหมาะสม คุณบอกมาให้หมดก็พอแล้ว”
แล้วเจ้าพนักงานก็ชี้ไปที่ที่ดินผืนนั้น พลางพูดว่า “อันดับแรก คุณต้องหยุดก่อสร้างก่อน จากนั้นก็ต้องจ่ายค่าปรับ สุดท้ายหากคุณยังคิดจะสร้างอีกล่ะก็ ก็ต้องดำเนินการแต่ละขั้นตอนให้เสร็จสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้น พวกเราสามารถดำเนินการตามกฏหมายกับคุณได้”
เห็นเจ้าพนักงานจงใจดัดเสียงด้วยท่าทางน่ารังเกียจ เซี่ยหยางก็รู้สึกสะอิดสะเอียน แต่เจ้าตัวกินข้าวหลวง หากทำตัวหยาบคายจะไม่เป็นการดี เรื่องนี้ไม่อาจใช้กำลังมาแก้ไขได้
“ค่าปรับผมไม่มี ผมสามารถหยุดงานชั่วคราวได้ สำหรับขั้นตอน ผมจะจัดการให้เร็วที่สุด”
เจ้าพนักงานไม่พอใจขึ้นมา ก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ค่าปรับต้องจ่าย หากทุกคนทำเหมือนกับคุณ พวกเรายังจะดูแลอีกทำไม?”
“แปดหมู่บ้านในสิบลี้ของพวกเราล้วนสร้างบ้านไปตั้งมากมายขนาดนั้น ทำไมไม่เห็นพวกคุณจะไปปรับเงิน? สงสัยวันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก ลมที่หอบพวกคุณมาที่นี่คือลู่เฟยสินะ?” เซี่ยหยางถากถางกลับเสียเลย
“มีเหตุผลนี้หรือไม่ คุณจะสนทำไมว่าเป็นใคร มีคนมาแจ้งประจำนั่นแหละ หากคุณไม่ให้ความร่วมมือ พวกเราก็จะใช้มาตรการที่เข้มงวดมากกว่านี้ อย่างร้ายสุดคือแจ้งตำรวจ คุณอย่าทำให้เรื่องมันใหญ่เลยดีกว่า” เจ้าพนักงานโมโหเดือดดาล พลางเอ่ยเสียงสูง
เซี่ยหยางไม่มีทางจ่ายเงินโดยไม่เป็นธรรม เขาแบมือออกสองข้างแล้วกล่าวว่า “ต้องการเงินก็ไม่มีจริงๆ ขั้นตอนผมจัดการได้ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็เชิญตามสบาย ผมต้องทำงาน”
“เหลวไหล ท่าทีแบบนี้ของคุณนี่มันยังไงกัน?” เจ้าพนักงานโมโหจนหายใจไม่ทัน รีบให้คนที่ด้านหลังส่งบิลค่าปรับมาที่นี่ทันที เมื่อกรอกตัวเลขลงไปแล้ว ก็ส่งให้เซี่ยหยาง “นี่คือบิลค่าปรับ คุณดูเอา ทางที่ดีจ่ายเงินจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคุณก็รอรับโทษทางกฏหมายได้เลย”
เซี่ยหยางไม่รับ เจ้าพนักงานคนนั้นจึงโยนบิลลงบนพื้นด้วยท่าทางอวดดี แล้วหันหลังโบกมือจากไป
เซี่ยหยางจ้องมองเจ้าพนักงานคนนั้นอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาล ก่อนจะหยิบบิลค่าปรับขึ้นมา ในใจมีไฟลุกโชนกองหนึ่ง
ส่วนเรื่องสร้างบ้าน จำเป็นต้องหยุดชั่วคราวก่อน กำลังคิดอยู่พอดีว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ก็มีคนมาหาเขาที่นี่
“เซี่ยหยาง เกิดอะไรขึ้นล่ะ?” คนที่มาคือช่ายเลี่ยง เขาลูบศีรษะอันล้านเลี่ยนของตน พลางจ้องมองเซี่ยหยางอย่างสงสัย
“คุณนี่เอง ไม่มีอะไร ที่แปลงปลูกทำเสร็จแล้วเหรอ” เซี่ยหยางส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้ช่ายเลี่ยง ส่วนตนเองก็จุดสูบเช่นกัน
ช่ายเลี่ยงถือบุหรี่มาเคาะๆ ตรงฝ่ามือ เหมือนจะมองเงื่อนงำอะไรออก จึงถามว่า “นายมีเรื่องในใจสินะ เกี่ยวกับเรื่องที่สร้างวิลล่าพักผ่อนหรือเปล่า?”
“ทำไมคุณรู้ล่ะ ใช้ได้นี่” เซี่ยหยางพูดพลางยิ้มขื่น
“ล้อเล่นอะไร ฉันอายุหลายสิบปีแล้วนะ ลมฝนอะไรก็ผ่านมาหมดแล้ว อีกอย่างเรื่องนี้ก็ชัดเจนมากไม่ใช่เหรอ จากที่ฉันเห็น นายเองก็ไม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว” ช่ายเลี่ยงถึงกับหัวเราะอย่างรื่นเริง
“พ่อตานี่ เห็นคนอื่นประสบเคราะห์ก็หัวเราะดีใจใช่ไหม มีอะไรน่าขำกัน? อีกอย่างผมดูทุกข์ใจมากเลยเหรอ
“ไอ้หนุ่ม ห้ามเรียกฉันว่าพ่อตา คราวก่อนก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ รอนายมีเงินซื้อทั้งตำบลเฮยถู่ให้ได้ก่อน ถึงเวลาฉันจะเอาลูกสาวมาส่งถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง กลัวแต่ว่านายจะไม่มีความสามารถนี้น่ะสิ” ช่ายเลี่ยงทำหน้าตึง
เซี่ยหยางมุมปากกระตุก กล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า “กลัวอะไร นี่เป็นเรื่องของเวลา”
“เหลวไหล นายมันขี้โม้ ตอนนี้เรื่องแค่นี้นายยังจัดการไม่ได้เลย ฉันได้ยินมาว่าคนของกรมที่ดินมาหานายถึงที่เลย นายยังจะมีหวังเหรอ?” ช่ายเลี่ยงพูดอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เซี่ยหยางกลอกตาบนใส่เขา ก่อนจะพูดว่า “พ่อตา คุณจงใจมาซ้ำเติมผมใช่ไหม?”
“ไอ้หนุ่ม อย่าท้อสิ ไม่ใช่อยู่แล้ว” ช่ายเลี่ยงตบๆ ที่บ่าของเซี่ยหยาง พลางพูดว่า “ฉันมาเพื่อออกความเห็นให้นายต่างหาก หรือนายมองไม่ออก”
“คุณใจดีขนาดนี้เชียว?” เซี่ยหยางถามอย่างข้องใจ
ช่ายเลี่ยงทำท่าเหมือนคนทำดีแต่ไม่มีใครเห็น จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ดูไอ้หนุ่มนี่พูดสิ พวกเรารู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้วนะ ฉันเป็นคนอย่างนั้นหรือไง พูดยังไงนายเองก็นับว่าช่วยเหลือฉันไม่ใช่เหรอ?”
“พูดมา คุณมีวิธีอะไร?” เซี่ยหยางเองก็ไม่อยากอ้อมค้อมเช่นกัน
“วิธีน่ะมี แต่นายต้องเลี้ยงข้าวฉันมื้อหนึ่ง โลกนี้ไม่มีของฟรีหรอกนะ” ช่ายเลี่ยงเอ่ยเงื่อนไขออกมา
เซี่ยหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “อย่าว่าแต่มื้อหนึ่งเลย คุณไปกินที่ฟาร์มสเตย์ได้ทุกวันเลย ผมเองก็ไม่มีไอเดีย ขอเพียงคุณมีวิธีแก้ปัญหาได้ก็พอ”
“นี่นายพูดเองนะ ห้ามเสียใจทีหลัง ตอนนี้ฉันอยากกินปลานั่นของร้านนาย คราวก่อนเคยกินไปแล้ว ตอนนี้ยังติดใจไม่หาย แต่มันแพงเกินไป ฉันกินไม่ลง” ช่ายเลี่ยงเอ่ยขึ้นอย่างคาดหวังเป็นอย่างมาก
“พวกนี้มันเรื่องเล็ก ผมจะให้คนไปทำเดี๋ยวนี้เลย”
เซี่ยหยางพาช่ายเลี่ยงไปที่ฟาร์มสเตย์ ให้คนจัดอาหารมาโต๊ะหนึ่ง ทั้งยังนำเหล้ามาด้วย ก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้คุณบอกได้แล้วสินะ?”
ช่ายเลี่ยงดวงตาเป็นประกาย ไม่เกรงใจเช่นกัน นำหน้ากินไปก่อนหลายคำ ดื่มเหล้าอย่างเอร็ดอร่อย ถึงค่อยกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ไม่เลวจริงๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าไอ้หนุ่มนี่ใจดี”
“คุณยังไม่ได้บอกเลยนะว่าวิธีอะไร” เซี่ยหยางมองช่ายเลี่ยงกินจนปากเป็นมัน ทั้งต้องการจะรินเหล้าอีก เขาจึงหยิบขวดเหล้าออก
ช่ายเลี่ยงทำปากจิ๊จ๊ะ แย่งเหล้ากลับมา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางลึกลับว่า “นี่ไม่ง่ายนัก นับเส้นขนของกรมที่ดินนั้น ก็แค่ในตำบลเองไม่ใช่เหรอ นายลืมไปแล้วเหรอว่าลูกสาวฉันช่ายยั่นเป็นใคร? นั่นก็คือกำนันไงล่ะ เป็นความภูมิใจที่ฉันเลี้ยงดูออกมา ให้เธอออกหน้า เรื่องนี้จะต้องสำเร็จแน่”
เซี่ยหยางถึงบางอ้อ จริงสิ ทำไมลืมช่ายยั่นไปได้นะ แต่ตนเองกับเธอไม่ได้สนิทกันเป็นพิเศษ เธอจะยอมช่วยเขาเหรอ? มองช่ายเลี่ยง เซี่ยหยางก็พลันผุดไอเดียขึ้นมาทันที
ช่ายเลี่ยงรินเหล้า ส่วนตนเองก็ดื่มเป็นเพื่อนเขา “นี่เป็นความคิดที่ดี คุณกินมากหน่อยดื่มมากหน่อย”
ช่ายเลี่ยงชอบใจ หัวเราะร่าก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้รู้ความร้ายกาจของฉันแล้วสินะ นายตาแหลมมาก”
“เห็นคุณพูดเช่นนี้ หากเรื่องสำเร็จ ต่อไปคุณมากินก็ฟรีทุกอย่าง” เซี่ยหยางชนแก้วกับช่ายเลี่ยง
ช่ายเลี่ยงเงยหน้ากระดกรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนจะเช็ดปากแล้วกล่าวว่า “ให้ฉันออกหน้าไม่มีปัญหาแน่นอน แต่มีบางเรื่องที่นายต้องรับปากฉัน”