เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 30
“เรื่องอะไร คุณบอกมาได้เลย” เซี่ยหยางเทเหล้าให้ช่ายเลี่ยงอีก ส่วนตนเองจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ รอคอยคำพูดต่อไป
ช่ายเลี่ยงกล่าวขึ้นโดยกดน้ำเสียงลงต่ำ “ต่อไปฉันมากินดื่ม แม้จะไม่คิดเงิน แต่ลูกสาวฉันห้ามฉันดื่มเหล้ากินเนื้อ ฉันอายุมากแล้ว มีโรคความดันโลหิตสูง เธอคอยว่าฉันอยู่ตลอด แต่ฉันเป็นคนตะกละ ช่วยไม่ได้ นายต้องช่วยฉันเก็บเป็นความลับ”
“ไม่มีปัญหา เรื่องแค่นี้เอง ถ้าอย่างนั้นโทรหาช่ายยั่นตอนนี้เลยได้ไหม?” เซี่ยหยางรอคอยแทบไม่ไหวอยู่บ้าง
ช่ายเลี่ยงพยักหน้าวางตะเกียบ ควักมือถือออกมา กดต่อสาย ผ่านไปสักพัก ก็ไม่มีใครรับ จึงอดบ่นไม่ได้ว่า “ยัยเด็กคนนี้ ไม่รู้ทำอะไรอยู่ทั้งวัน”
“งั้นจะทำยังไงดี?” เซี่ยหยางร้อนใจอยู่บ้าง
“รีบร้อนทำไม ฉันอยากไปหาเธอ มีวิธีมากมายให้ไป” ช่ายเลี่ยงทำท่าทางราวกับมีแผนการอยู่ในใจ จากนั้นก็โทรไปอีกเบอร์หนึ่ง ครั้งนี้รับสายอย่างรวดเร็ว เขากระแอมให้คอโล่งก่อนจะกล่าวว่า “ฮัลโหล ฉันเป็นใคร? ฉันเป็นพ่อของกำนัลช่ายของพวกคุณไงล่ะ ไม่รู้จักเหรอ?”
ที่รับสายคงจะเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงหวานหยดว่า “คุณเองเหรอคะ คุณโทรหากำนัลช่ายมีธุระเหรอคะ?”
“แน่นอน คุณเรียกให้เธอมารับสายที ทำไมมือถือเธอถึงโทรไม่ติด?” ช่ายเลี่ยงวางท่าเป็นอย่างมาก
“อ้อ กำนัลช่ายกำลังประชุมอยู่ค่ะ คงจะยุ่งเกินไป หากคุณลุงมีเรื่องธุระ ฝากฉันไปบอกเธอได้นะคะ “หญิงสาวคนนั้นพูดอย่างเกรงอกเกรงใจมาก
“เธอเสร็จธุระเมื่อไหร่ คุณให้เธอรีบโทรกลับมาหาผมที” ช่ายเลี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
ทางด้านหญิงสาวเงียบไปพักหนึ่ง ในน้ำเสียงเจือความลำบากใจ “คืออย่างนี้ค่ะ การประชุมครั้งอาจจะนานมากนะคะ ฉันเองก็บอกไม่ได้ รอเธอเสร็จธุระแล้ว ฉันจะบอกเธอให้เป็นยังไงคะ?”
“หืม? อย่างนี้เอง งั้นก็ได้ จะต้องบอกเธอให้ได้นะ เข้าใจไหม?” น้ำเสียงที่ช่ายเลี่ยงพูด ราวกับเขาเป็นเจ้าพ่อก็ไม่ปาน
เป็นธรรมดา หญิงสาวคนนั้นในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของช่ายยั่น ย่อมเคารพช่ายเลี่ยงเป็นอย่างมาก จึงรีบรับปากทันที
พอวางสาย ช่ายเลี่ยงก็ยิ้มอย่างลำพองใจ “ไอ้หนุ่มเป็นยังไงบ้าง ฉันพอทำเรื่องได้สินะ ฉันว่านะ เรื่องนี้สำเร็จแน่”
เซี่ยหยางหัวเราะ เทเหล้าให้ช่ายเลี่ยงอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า “งั้นก็เยี่ยมมาก ผมต้องขอดื่มเป็นเพื่อนคุณอีกสองแก้ว”
“ดีมากไอ้หนุ่ม แบบนี้ค่อยสนุกหน่อย อาหารวันนี้รสชาติไม่เลวจริงๆ” ช่ายเลี่ยงปล่อยหนังท้องแล้วดื่มเข้าไป
หลังผลักแก้วเปลี่ยนถ้วยไปครั้งหนึ่ง ช่ายเลี่ยงก็หน้าแดงหูแดง รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเมาแล้ว ผ่านไปไม่นาน ก็ถึงกับฟุบไปบนโต๊ะแล้วหลับไป
เซี่ยหยางพยุงเขาไปพักบนโซฟาที่ห้องรับรอง เวลานี้โทรศัพท์ของช่ายเลี่ยงก็ดังขึ้น เซี่ยหยางหยิบออกมาพอเห็นว่าเป็นช่ายยั่นโทรมา ก็นิ่งคิดแล้วรับสาย
“ฮัลโหล พ่อ โทรหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?” น้ำเสียงของช่ายยั่นที่อยู่ปลายสายไพเราะถึงขนาดนั้น
“คือว่า ผมคือเซี่ยหยางเอง” เซี่ยหยางหัวเราะแห้งๆ
“เอ๋ ทำไมเป็นคุณได้ล่ะ พ่อฉันล่ะคะ?” ช่ายยั่นกล่าวอย่างประหลาดใจ
“เมื่อกี้เขามีธุระนิดหน่อย ทิ้งมือถือไว้ที่ผม “ เซี่ยหยางไม่ได้บอกว่าช่ายเลี่ยงเมา กังวลว่าช่ายยั่นจะตำหนิ
“เรื่องอะไรคะ คุณให้พ่อฉันรับสายหน่อย” ช่ายยั่นรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอยู่บ้าง
เซี่ยหยางกำลังคิดว่าจะทำยังไงดี จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งยื่นออกมา ก็เห็นว่าช่ายเลี่ยงลุกขึ้นมานั่งกะทันหัน แย่งมือถือไปพูดว่า “ฮัลโหล ลูกพ่อ ลูกทำงานเสร็จสักที พ่อจะให้เซี่ยหยางไปหาลูกจัดการธุระนิดหน่อย ลูกจะไว้หน้าไหม?”
“พ่อ เรื่องอะไรคะ?” ช่ายยั่นถามอย่างสงสัย
“สรุปคือไม่ว่าเรื่องอะไร ลูกจัดการให้ก็พอแล้ว พ่อยังมีธุระอีก ไม่พูดแล้ว” ช่ายเลี่ยงพูดจบหนังตาก็หนักอึ้ง จากนั้นก็หงายหลังผึ่งลงไปบนโซฟานอนหลับไปอย่างมึนงง
เซี่ยหยางรีบเก็บมือถือขึ้นมา ได้ยินช่ายยั่นยังพูดอะไรบางอยู่ จึงรีบวางสายทันที
หาพนักงานสักคนมาดูแลช่ายเลี่ยง จากนั้นเซี่ยหยางก็มุ่งหน้าไปยังตำบล เรื่องนี้ต้องรีบจัดการถึงจะใช้ได้
ตึกใหญ่ที่ทำงานของช่ายยั่นดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คือการกินข้าวหลวง ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งสูง หน้าประตูยังมีทหารยืนยามอยู่ด้วย ครั้นพอเห็นเซี่ยหยางเข้ามา ก็ขวางไว้ทันที ก่อนจะถามว่า “โปรดแสดงหลักฐานยืนยันตัวตนด้วย”
เข้มงวดขนาดนี้เชียว เซี่ยหยางหยิบบัตรประชาชนออกมา ทหารที่ยืนยามคนนั้นชำเลืองมอง ก่อนจะถามว่า “คุณมาที่นี่มีหมายนัดล่วงหน้าไหม?”
“ผมมาหากำนัลช่าย” เซี่ยหยางพูด
“ขอโทษด้วย เกรงว่าคงไม่อาจเข้าไปได้ตามอำเภอใจ โปรดรออยู่ที่โถงใหญ่” ทหารยามพูดจบก็ไม่สนใจอีก ราวกับท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น
พอเซี่ยหยางโดนปฏิเสธก็ทำตัวไม่ถูก เลยยืนรออยู่ข้างนอกเสียเลย แต่ผ่านไปสักพัก ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว จึงรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง ก่อนจะเข้าไปถามว่า “เพื่อน คุณช่วยไปบอกให้ผมหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“คุณไปรอที่ห้องโถงใหญ่ก็พอ มีคนตั้งเยอะมาหากำนัน คุณไม่เห็นเหรอ?” ทหารยื่นมือชี้
พอเซี่ยหยางมองไปตามทิศทางที่มือที่ชี้ ไม่ผิดไปจากที่คิด ในห้องโถงใหญ่มีคนกลุ่มใหญ่ กำลังชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน
เห็นเช่นนี้ ตนเองยังต้องเข้าแถว เวลานี้ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาแล้ว เกรงแต่ว่ารอจนถึงคิวของตัวเอง คนของที่นี่ก็คงเลิกงานกันหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ได้เบอร์ช่ายยั่นมาจากช่ายเลี่ยง เซี่ยหยางได้ลองโทรไปแล้ว แต่ปิดเครื่อง ดูท่าทางคงได้แต่รอแล้ว
ผ่านไปสักพักเซี่ยหยางอยากสูบบุหรี่ เพิ่งจะหยิบออกมา ก็มีพนักงานคนหนึ่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้กล่าวเตือนเขาอย่างเคร่งเครียดว่า “เพื่อน ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่ คุณไปห้องน้ำหรือเขตสูบบุหรี่ตรงด้านนั้นนะ โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
เซี่ยหยางส่งเสียงตอบรับ แล้วเดินออกไป ตอนที่กำลังเดินผ่านห้องทำงานห้องหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านใน จึงเหลือบตามองโดยไม่รู้ตัว ก็เห็นยายแก่ๆคนหนึ่งกำลังแผดเสียงร่ำไห้กับฟ้าดิน
ในห้องทำงานมีคนที่ดูท่าทางเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งอยู่ด้วย สีหน้าท่าทางเย็นขาอย่างมาก แถมยังตวาดว่า “คุณมาร้องไห้อยู่ที่นี่มีประโยชน์อะไร เรื่องนี้ต้องค่อยๆ รอการอนุมัติ รีบไปเถอะ”
“รองกำนัลหยาง คุณก็สงสารฉันหน่อยเถอะ ตอนนี้เงินคนชรานั่นของฉันก็ไม่จ่ายให้ ฉันตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่ง ทั้งลูกเต้าก็ไม่มี หากยังไม่ได้อีกก็คงอดตายแล้ว” หญิงชราร่ำไห้อ้อนวอนน้ำตานองหน้า
“ผมว่าคุณมาก่อกวนหรือเปล่า คุณมาขอความเมตตาแบบนี้ ผมจะทำงานได้ยังไง ที่นี่ไม่ได้เปิดโรงทานนะ คุณรีบไปซะ หากไม่ไปผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ” หยางอู่เจิ้งถลึงตาใส่หญิงชราแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ ดื่มชาอยู่ในโลกของตนเอง อ่านหนังสือพิมพ์สูบบุหรี่อย่างเอื่อยเฉื่อย
หญิงชราไม่ยอม พูดอย่างตีอกชกหัวว่า “คุณก็ช่วยหน่อยเถอะ ฉันอับจนหนทางแล้วจริงๆ”
“แล้วผมจะไปช่วยอะไรได้ รีบออกไปได้แล้ว” หยางอู่เจิ้งพูดจบก็ลุกขึ้นยืน ผลักหญิงชราออกไปข้างนอกทันที
หญิงชราถึงกับคุกเข่าอยู่บนพื้นเสียงดังตึง กอดขาหยางอู่เจิ้งไว้พลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด ก่อนจะอ้อนวอนว่า “ฉันเองก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี หากคุณไม่ช่วย ฉันก็จะคุกเข่าอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน”
“คนอย่างคุณนี่มันเป็นยังไงกัน ผมจะเรียกคนมาลากคุณออกไป อยากคุกเข่านักก็คุกไปสิ” หยางอู่เจิ้งผลักหญิงชราออกทันที ดูไร้น้ำใจอย่างมาก จากนั้นก็เดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์แล้วโทรออก ก่อนจะพูดว่า “ฉันเอง พวกนายมาที่นี่ที ที่นี่มีหญิงชราคนหนึ่งน่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว มาลากเธอออกไปที”
เซี่ยหยางผู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง อดทนไม่ไหวนานแล้ว ชั่วขณะนั้นเพลิงโกรธโหมขึ้นมาสามจั้ง คนที่ภายนอกดูดีแต่ไม่มีคุณธรรมเช่นนี้ ถึงกับเป็นรองกำนัล ยังสู้ขยะไม่ได้ด้วยซ้ำ
มีเสียงดังโครมดังขึ้น เซี่ยหยางถีบประตูเข้าไปทันที ทำหญิงชราคนนั้นตกใจจนสะดุ้ง
“นายเป็นใครกัน ใครให้นายเข้ามา ไม่รู้จักเคาะประตูหรือไง มีอย่างที่ไหนกัน” หยางอู่เจิ้งเกือบทำชาในแก้วกระฉอก เขาถลึงตาใส่เซี่ยหยางแวบหนึ่งอย่างเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญที่นายเป็นใคน ดีนักนะรองกำนัลคนหนึ่ง แม้แต่คนอายุมากขนาดนี้ก็ยังไม่แยแส นายไม่เหมาะเป็นรองกำนัลด้วยซ้ำ” เซี่ยหยางทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็พยุงหญิงชราขึ้นมา
หยางอู่เจิ้งที่ถูกเซี่ยหยางที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากล่าวตำหนิชุดหนึ่ง ก็กัดฟันด้วยความโกรธ ก็ตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น ชี้เซี่ยหยางพลางตวาดว่า “แกนับเป็นตัวอะไร รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ มาทำตัวป่าเถื่อนที่นี่ แกรู้ไหมว่าที่นี่มันสถานที่อะไร?”
“รู้ ปัญหาคือนายรู้ไหมว่าที่นี่มันสถานที่อะไร นายผิดต่อตราอาชีพนั่น ผิดต่อหมวกอูซา(เป็นหมวกที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดทางการในโบราณจีน)ที่สวมบนหัวนายหรือเปล่า? ข้าราชการอย่างคุณน่าให้สังคมรุมประณามจริงๆ” เซี่ยหยางกล่าวด้วยความโมโหเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันทำอะไร ก็ยังไม่ถึงคราวให้นายมายุ่ง ไร้เหตุผลสิ้นดี” หยางอู่เจิ้งทำหน้าตาถมึงทึง
หญิงชรางุนเหงาไปเล็กน้อย มองเซี่ยหยาง แล้วก็มองหยางอู่เจิ้ง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
เวลานี้ มีรปภ.สองคนเข้ามา หยางอู่เจิ้งมองเห็นพอดี ก่อนจะชี้ไปที่เซี่ยหยางกับหญิงชราพลางกล่าวว่า “พวกนายลากตัวสองคนนี้ออกไป เห็นได้ชัดว่ามาก่อกวน”
“ไป เร็วเข้า” รปภ.อดแก้ตัวไม่ได้ จากนั้นก็ยื่นมือมาผลัก
หญิงชราร้อนใจอย่างมาก คว้าเสื้อของรปภ.ไว้แน่น ยังคงร้องอ้อนวอนว่า “รองกำนัลหยาง คุณก็ช่วยๆ หน่อยได้ไหม?”
“รีบไป ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้ว” หยางอู่เจิ้งกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
จากนั้นรปภ.สองคนก็เริ่มยื้อยุดฉุดกระชาก คิดไม่ถึงว่าเซี่ยหยางจะยืนนิ่งไม่ขยับ เขาดึงเบาๆ เอาหญิงชราขึ้นมา ส่วนรปภ.สองคนดึงยังไงก็ดึงเซี่ยหยางไม่ไป พบว่าเหมือนเขามีรากงอกขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น จนพวกเขาสองคนเหนื่อยหอบจนตัวโยน
“นายยังกล้าดื้อรั้นอีก?” รปภ.คนหนึ่งร้อนใจจนหน้าแดงหูแดง ออกแรงดึงเซี่ยหยางจนเส้นเลือดปูดโปน
เซี่ยหยางปล่อยเบาๆ รปภ.ก็ลงไปนั่งก้นจั้มเบ้าอยู่บนพื้น
หยางอู่เจิ้งอยู่เฉยไม่ไหว ตบโต๊ะพร้อมกับตวาดอีกครั้ง “เหลวไหล แกกล้าลงไม้ลงมือต่อหน้าฉัน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ไล่ตีออกไปให้ฉัน”
รปภ.สองคนเดิมที่กักเก็บความโกรธไว้จนเต็มท้อง ดีร้ายอย่างไรเขาก็มีอาชีพเป็นทหาร มีความสามารถอยู่บ้าง ตอนนี้ได้รับการอนุญาตจากรองกำนัล ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ล้วงไม้กระบองออกมาจากตัว ก็พุ่งเข้าไปหาเซี่ยหยางทันที
ตอนแรกเซี่ยหยางคิดจะพูดจากันด้วยเหตุผล แต่ตอนนี้เป็นปัญญาชนพบเจอทหาร คงพูดจากันไม่รู้เรื่อง ได้แต่กำหมัดยกแขนขึ้นมากันไว้ ไม้กระบองจึงกระเด็นออกไป ยกเท้าเตะเบาๆ รปภ.คนหนึ่งก็ล้มลงไปแล้ว
เกิดเสียงดังปังขึ้น ไม้กระบองเฉียดผ่านหนังหัวหยางอู่เจิ้งไป หยางอู่เจิ้งที่ตกใจจนคอหด สีหน้าซีดเผือด
พอหยางอู่เจิ้งได้สติขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนหลายเสียง ถึงพบว่าเพียงชั่วพริบตารปภ.สองคนก็นอนอยู่บนพื้นลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้ว
“แก แก……” หยางอู่เจิ้งตื่นตระหนก ทั้งโกรธทั้งฉุน แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
“แกอะไร?” เซี่ยหยางกลอกตาใส่หยางอู่เจิ้ง พยุงหญิงชราพาไปนั่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปหาหยางอู่เจิ้ง
“แกคิดจะทำอะไร? ฉันเตือนแกนะ อย่าได้ทำอะไรผลีผลามเชียว ระวังจะไม่มีผลไม้ดีๆ กิน” หยางอู่เจิ้งตัวสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังทำใจดีสู้เสือ
เซี่ยหยางหัวเราะ ดวงตาราวกับคบเพลิง ตบฝ่ามือไปบนโต๊ะเสียงดังปัง หยางอู่เจิ้งตกใจจนตัวสั่น
“ฉันเองก็ไม่อยากทำอะไร นายจัดการตามขั้นตอนให้คุณยายคนนี้ซะ ให้เธอได้รับเบี้ยคนชรา เรื่องนี้ก็แล้วกันไป ถ้าไม่อย่างนั้น……” เซี่ยหยางจงใจหยุดคำพูดไว้แค่นั้น
“ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วยังไง แกคิดจะขู่ฉันเหรอ ฉันคือรองกำนัลนะ แกต่อต้านฉัน รอก่อนเถอะ ฉันจะเรียกคนมาจับแกเดี๋ยวนี้เลย” รองกำนัลหยางรีบไปหยิบโทรศัพท์ ดูท่าทางเตรียมจะเรียกคน
“รองกำนัลแล้วยังไง เง็กเซียนก็ไม่ใช่ หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย นายก็จะเหมือนกับโต๊ะตัวนี้” เซี่ยหยางเพิ่งจะพูดจบ ก็ใช้หมัดข้างหนึ่งทุบลงไป เกิดเสียงดังโครม โต๊ะทำงานถึงกับทรุดลงแล้วแยกออกเป็นชิ้นๆ
หยางอู่เจิ้งถือโทรศัพท์ไว้ไม่มั่นคง ตกใจจนถอยหลังไปติดๆ มองเซี่ยหยางด้วยสีหน้าหวาดกลัว ถึงกับตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “ใครก็ได้ ที่นี่มีโจรชั่ว อ๊าก……”
จากนั้นเขาก็ร้องตะโกนเสียงดัง เสียงฝีเท้ารีบเร่งที่ด้านนอกดังขึ้นทันที มีรปภ.หลายคนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือถือไม้กระบองแต่ละชนิด ล้อมที่นี่ไว้