เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 53
“ผมล้อคุณเล่น งูตัวนั้นไปแล้ว” เซี่ยหยางยิ้มแห้งๆ
เฉินเจียยังคงไม่ได้สติคืนมา กะพริบดวงตากลมโตมองดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ค่อยลงมาจากตัวเซี่ยหยาง จู่ๆ ก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมา จากนั้นหมัดนวลก็เริ่มลงมือทุบตี ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอับอายและโมโหเป็นอย่างยิ่งว่า “คุณนี่มันน่าตายนัก ถึงกับหลอกคนอื่นได้ เมื่อกี้คุณไปทำไมเล่า น่าเกลียดจริงๆ เลย”
รู้สึกถึงหมัดที่เบาราวกับนวดของเธอ เซี่ยหยางก็จนคำพูดอยู่บ้าง ได้แต่เกลี้ยกล่อมว่า “ก็แค่งูตัวหนึ่งเองไม่ใช่เหรอ แถมไม่มีพิษด้วย ไหนคุณบอกว่าจะไปเป็นเพื่อนผมไง?”
“ฉันไม่อยากไปต่อแล้ว ฉันจะกลับ” เฉินเจียตกใจมากอย่างเห็นได้ชัด ในใจยังคงหวาดผวาอยู่
“งั้นกลับไปเถอะ แต่ผักผลไม้พวกนั้นที่ร้านคุณพอใช้หมดเกลี้ยงแล้ว อย่ามาหาผมแล้วกัน” เซี่ยหยางเชิดหน้า พร้อมกับเดินไปข้างหน้าต่อ
เฉินเจียรีบตามไปทันที ตะโกนอย่างร้อนใจว่า “คุณกล้าเหรอ แบบนี้มันวางกับดักกันชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ?”
เซี่ยหยางทำเป็นไม่สนใจ เดินไปข้างหน้าต่อ คิดไม่ถึงว่าเฉินเจียจะยังไล่ตามมา เห็นเซี่ยหยางจู่ๆ ก็หยุดเดิน ราวกับกำลังจ้องมองบางอย่างอยู่
“นี่ คุณทำอะไรอยู่น่ะ?” เฉินเจียถามอย่างไม่เข้าใจ
“ชู่ อย่าส่งเสียง” เซี่ยหยางจ้องพงหญ้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งตาไม่กะพริบ จู่ๆ ก็ปิดปากเฉินเจียไว้กะทันหัน
เฉินเจียชะงักไป กำลังคิดจะดึงมือเซี่ยหยางออก จู่ๆ ก็เห็นเซี่ยหยางพุ่งออกไปราวกับสายลม
“มีอะไรเหรอ คุณวิ่งทำไมคะ?” เฉินเจียนึกว่าพบอันตรายอะไร พอคิดถึงงูยักษ์เมื่อกี้ ก็ร้องขึ้นมาอย่างวิตกกังวล
เวลานี้ จู่ๆ ก็มีกระต่ายตัวอ้วนพีตัวหนึ่งกระโดดหนีอย่างรวดเร็วออกมาจากพงหญ้านั่น ไม่ถูกต้อง เหมือนจะมีสองตัว น่าจะเป็นตัวผู้หนึ่งตัวเมียหนึ่ง ราวกับได้รับความตกใจ เพียงพริบตาก็วิ่งหนีเข้าไปในป่าแล้ว
เซี่ยหยางถึงกับไล่ตามหลังไปอย่างไม่ยอมลดละ และในชั่วพริบตาก็ไม่เห็นร่องรอยแล้ว
เฉินเจียอดเบิกตากว้างไม่ได้ นี่เซี่ยหยางเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ถึงกับไล่ตามกระต่ายไปด้วยมือเปล่า เขาจะตามมันทันเหรอ?
พอคิดเช่นนี้ เฉินเจียก็ไม่กล้ายืนเฉยอยู่ในป่าตามลำพังอีก รีบตามไปทันที
ตอนที่เธอตามไปอย่างกระหืดกระหอบนั้น ก็พบว่าเซี่ยหยางกำลังนอนสูบบุหรี่อยู่ใต้ร่มไม้ ราวกับรอตนเองอยู่
พอเห็นเซี่ยหยางสองมือว่างเปล่า เฉินเจียก็พูดด้วยท่าทางสมน้ำหน้าว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณน่ะดีแต่อวดเก่ง ไล่ตามกระต่ายไม่ทันล่ะสิ?”
“ใช่แล้ว มันวิ่งเร็วจริงๆ” เซี่ยหยางยิ้ม อันที่จริงกระต่ายถูกเขาจับได้นานแล้ว ในช่วงที่เฉินเจียกำลังรีบมาที่นี่ เขาก็กลับไปยังโลกแผ่นหยกหนหนึ่ง เอากระต่ายสองตัวไปปล่อยไว้ในป่าของโลกแผ่นหยก
ทั้งยังกำชับเจ้าฉายและลูกแมวสองตัวว่าระวังอย่าทำร้ายกระต่าย เจ้าฉายเห่าอย่างร้อนใจ มองกระต่ายอ้วนสองตัวนั้นพลางน้ำลายไหล กลับกลายเป็นว่าถูกเซี่ยหยางตีเท้าสุนัขของมันถึงได้ยอมเลิกรา พร้อมกับวิ่งหนีหางจุกก้นไปอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“คุณนี่จริงๆ เลย พวกเรากลับกันดีกว่า ที่นี่ไม่ค่อยดีนัก” เฉินเจียมองสำรวจป่ารอบๆ แม้จะดูเขียวชอุ่มร่มรื่น แต่เพราะสวมเดรสเปลือยไหล่กับรองเท้าส้นสูง จึงดูทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ได้ กลับกันเถอะ” เซี่ยหยางเองก็รู้ว่าที่นี่ไม่เหมาะกับหญิงสาวในเมืองคนนี้ ใครใช้ให้เธอผิวพรรณบอบบางกันล่ะ
สักพักคนทั้งสองก็เดินออกมาจากป่าถึงเชิงเขาอีกฟากหนึ่ง พบว่ามีน้ำตกเล็กๆ สายหนึ่ง กำลังตกเสียงดังซู่ซ่า ที่เบื้องล่างเป็นแอ่งน้ำลึกสิบกว่าเมตร ดูใสสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ข้างในยังมีปลาแหวกว่ายไปมาอยู่ด้วย
แสงแดดที่ทะลุผ่านรอยแยกของต้นไม้สะท้อนลงบนผิวน้ำ เกิดเป็นประกายระยิบระยับ ลมอ่อนๆ โชยมา ทำให้รู้สึกเย็นสบายเป็นพิเศษ
มีภูเขาล้อมรอบสี่ด้าน เสียงนกขับขานไปมา ยังมีผีเสื้อสองสามตัวเริงระบำอยู่รอบๆ ช่างเป็นสถานที่ที่ดีมีทิวทัศน์งดงามจับตาที่หนึ่งจริงๆ
เซี่ยหยางนั่งลงใต้ร่มไม้ที่อยู่ด้านข้างอย่างเกียจคร้าน ยังคงหรี่ตาชื่นชมทิวทัศน์ ราวกับไม่อยากจากไปไหน
กระทั่งเฉินเจียที่เมื่อกี้ยังทนไม่ไหวอยู่เลยก็นั่งลงข้างๆ เขาเช่นเดียวกัน มองปลาที่อยู่ในน้ำ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาทางสีหน้า ต่อมาเธอก็เดินเข้าไปอย่างห้ามใจไม่อยู่ ถึงกับกระโดดลงไปทันที ว่ายขึ้นมาอย่างมีความสุข ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานออกมาเป็นระยะๆ
“คุณก็มาด้วยสิ เย็นสบายดี” เฉินเจียว่ายมาหยุดที่ริมฝั่ง ถึงกับสาดน้ำใส่เซี่ยหยางอย่างสนุกสนาน
เห็นท่าทางน่ารักราวกับบัวที่โผล่พ้นน้ำของเธอ เซี่ยหยางก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา ในใจเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น จู่ๆ เขาก็ชี้นิ้วไปในน้ำแล้วพูดว่า “ไอ้หยา ทำไมตรงนั้นมีงูน้ำอยู่ด้วยล่ะ ว่ายมาทางคุณแล้ว”
“อยู่ตรงไหน แย่ล่ะ” เฉินเจียตกใจจนสะดุ้งโหยง ความสนุกหายไปหมด กระโดดขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว แล้วโผเข้าไปในอ้อมแขนของเซี่ยหยางอีกครั้ง
คราวนี้เซี่ยหยางสูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์ ผมของเธอเปียกโชกแนบไปกับแก้ม ท่าทางเปียกปอนเช่นนี้ยิ่งทำให้คนเกิดความลุ่มหลง ดังนั้นจึงจูบเธออีกครั้ง
หลังเฉินเจียขัดขืนเล็กน้อย ก็ถึงกับตอบรับขึ้นมา ในดวงตาแวววาวฉ่ำน้ำเจือความเขินอาย
ยามที่คนสองคนอารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน มือถือของเซี่ยหยางก็ดังขึ้นไม่หยุดราวกับเร่งจะเอาชีวิต บรรยากาศอันสวยงามถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
เขาปล่อยเฉินเจียออกอย่างอาลัยอาวรณ์ เซี่ยหยางมองหน้าจอมือถือ เป็นเอ้อนิ้วโทรมา
“ฮัลโหล เอ้อนิ้ว เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยหยางพูดอย่างรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
“พี่หยางพี่อยู่ไหน โทรไปตั้งหลายครั้งก็ไม่ติด พี่รีบกลับมาเร็วหน่อยเถอะ มีคนมาหาพี่เต็มไปหมดเลย หากพี่ไม่อยู่ ผมก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้” เอ้อนิ้วบ่นพึมพำ
“สงสัยจะสัญญาณไม่ดี ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้” เซี่ยหยางวางสาย หันหน้าไปมองเฉินเจีย ใบหน้ารูปไข่ของเธอยังทิ้งริ้วสีแดงไว้จางๆ ทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง แต่คนสองคนก็รู้สึกเก้อกระดากขึ้นมา
“คุณมีธุระเหรอคะ งั้นพวกเรากลับกันเถอะ ฉันเองก็ต้องกลับร้านฝูหมั่นโหลวแล้วเหมือนกัน” เฉินเจียพูดติดๆ ขัดๆ ดวฃตาฉ่ำน้ำสองข้างกะพริบปริบๆ เมื่อกี้คิดไม่ถึงว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขนาดนั้น พอคิดถึงก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
“อื้ม ก็ได้” แม้เซี่ยหยางหวังจะทำบางอย่างต่อ แต่ก็รู้ว่าบรรยากาศนั้นได้หายไปแล้ว จึงเกาศีรษะพลางเดินนำอยู่ด้านหน้า
ตอนกลับไปถึง เอ้อนิ้วก็รออยู่ที่นั่นแล้ว พอเอ้อนิ้วเห็นเฉินเจียเสื้อผ้าเปียกโชก จากนั้นก็มองเซี่ยหยาง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบกระซาบว่า “พี่หยาง เมื่อกี้เป็นไงบ้าง ไปเดทกับสาวสวย? โรแมนติคชะมัด คงไม่ได้รบกวนเรื่องดีของพวกพี่หรอกนะ?”
“นายว่าไงล่ะ เอาล่ะ มีเรื่องอะไร?” เซียหยางมองเฉินเจียแวบหนึ่งอย่างนึกเสียดา
“คือว่าคนจากหมู่บ้านอื่นมากันไม่น้อยเลย บอกว่ามาเรียนรู้การเพาะปลูกจากพี่อะไรนี่แหละ ทั้งยังจะเข้าชมแปลงปลูกเหล่านั้นของพี่ด้วย พี่ว่าจะทำยังไงดี?” เอ้อนิ้วพูดพลางหัวเราะร่า
“รู้แล้ว นายไปต้อนรับก่อน ฉันจะรีบไปทันที” เซี่ยหยางหันไปมองเฉินเจีย เห็นเธอกำลังควงกุญแจรถอยู่ในมือ ดูท่าทางกำลังเตรียมจะกลับไป
“ฉันกลับแล้วนะคะ ไว้พบกันใหม่ อย่าลืมเตรียมผักผลไม้สดไว้ให้ฉันด้วยนะ” เฉินเจียบีบเซี่ยหยางเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเข้าไปในนั่งในรถ นำพากลิ่นหอมจากไปด้วย
เซี่ยหยางพยักหน้า มองเธอจากไป ในใจรู้สึกตัดใจไม่ลงอยู่บ้าง คิดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ยังติดใจไม่หาย
“ไอ้หยา เถ้าแก่เซี่ย พอเห็นหน้าคุณแล้วช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ พวกเราคงไม่ได้รบกวนคุณหรอกนะ?” เซี่ยหยางเพิ่งจะเดินเข้าไป ก็มองเห็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ลูกบ้านจำนวนไม่น้อยล้วนเป็นคนจากหมู่บ้านอื่น สองคนที่นั่งอยู่ในนั้น คนหนึ่งคือลู่ต้าฝูผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเกาตี้ อีกคนคือลู่เฟยลูกชายของเขาเอง
เซี่ยหยางไม่เข้าใจเลยว่า ลู่เฟยเป็นเจ้าของบริษัทอะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอ ทั้งวันไม่มีเรื่องอะไรก็วิ่งมาอยู่ที่หมู่บ้าน แถมยังมีหน้ามาเข้าร่วมที่นี่อีก ช่างหน้าหนาจริงๆ
พอคนทั้งสองสบตากัน ลู่เฟยก็เชิดจมูกขึ้น เผยสีหน้าเหยียดหยามออกมา
เซี่ยหยางไม่เผยสีหน้าท่าทางใดๆ จากนั้นก็ยิ้มกับทุกคนแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าพวกคุณมาที่นี่ มีอะไรต้องการให้รับใช้เหรอครับ?”
“คืออย่างนี้ ตั้งแต่หลังจากประชุมแลกเปลี่ยนทางการเกษตรเมื่อคราวก่อน ทุกคนก็เลื่อมใสคุณอย่างมาก เลยอยากจะมาเรียนรู้เทคนิคสุดล้ำจากคุณบ้าง ดังนั้นจึงจัดกลุ่มกัน มาดูที่นี่ หวังว่าจะไม่เสียมารยาทนะครับ” คนที่พูดคือเกาหมิงจากหมู่บ้านหลิ่วซู่เมื่อคราวก่อน เขาดูจริงใจเป็นอย่างมาก
“อ้อ ไม่เป็นไร จะทำยังไงได้ล่ะ อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้มีเทคนิคอะไร ทุกคนอยากดูก็ตามผมมา” เซี่ยหยางเดินนำอยู่ด้านหน้า
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ เดิมไปดูไป ตามเซี่ยหยางไปจนถึงแปลงปลูก
เนื่องจากเมล็ดพันธุ์มากมายเพิ่งจะนำลงปลูกในระยะนี้ เพราะอย่างไรล็อตแรกก็ถูกเก็บเกลี้ยงหมดแล้ว ตอนนี้ในแปลงปลูกส่วนใหญ่จึงยังไม่มีผลผลิต บางต้นก็แก่แล้ว ดูไปแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ
ทำได้เพียงพูดว่าคนเหล่านี้มาไม่ถูกเวลา แต่คนที่ทำอาชีพนี้ล้วนเข้าใจ ดินนี้ก็เพิ่งจะไถพรวนไม่นาน ต้นกล้าและต้นพืชของผักผลไม้สดเหล่านั้นก็โตจนสูงเกือบจะถึงหัวเข่าแล้ว ดูเขียวชอุ่มชุ่มชื้น ดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง ดูมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด
“เถ้าแก่เซี่ย หากผมมองไม่ผิด เมล็ดเหล่านี้ที่คุณลงปลูกจนถึงตอนนี้ เพิ่งจะไม่ถึงหนึ่งเดือนเองสินะ แต่ดอกกลับใกล้จะบานแล้ว น่าเลื่อมใสจริงๆ” เกาหมิงพูดอย่างเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรเลย” เซี่ยหยางพูดยิ้มๆ อย่างถ่อมตัว
เวลานี้สมาชิกของหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็พูดว่า “เถ้าแก่เซี่ย คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว วิธีเพาะปลูกนี้ของคุณไม่เลวเลยเชียวล่ะ ดูระยะห่างของแถวสิ ไหนจะวิธีเรียงลำดับอีก ล้วนใส่ใจทั้งนั้น มิน่าถึงได้ผลผลิตเช่นนั้นออกมา
“นั่นสิ ขอดูเมล็ดพันธุ์ของคุณหน่อยได้ไหม มีตรงไหนที่พิเศษหรือเปล่า” เกาหมิงเสนอความเห็น
“ใช่ เถ้าแก่เซี่ยคุณคงจะไม่หวงหรอกนะ? ของดีต้องแบ่งปันกันสิ พวกเราเองก็จะเรียนรู้จากคุณให้มากๆ เหมือนกัน” สมาชิกหมู่บ้านคนอื่นๆ อีกสองสามคนก็พากันกล่าวสำทับเช่นกัน
เซี่ยหยางรู้ว่าเปลี่ยนใจใครไม่ได้ จึงได้แต่พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เมล็ดพืชธรรมดา”
“เหอะ ตามที่ฉันเห็น เขามีความคิดที่จะปิดบังไว้ ฉันว่าทุกคนอย่าไปพูดจาดีๆ กับเขาเลย เขาอยากงกเก็บไว้คนเดียว กังวลว่าพวกเราเรียนรู้เทคนิคจากเขาแล้ว เขาก็จะไม่ได้กำไรมากมายขนาดนั้นอีก” ลู่เฟยที่เงียบมาตลอดก็คว้าโอกาสพูดจาเยาะเย้ยถากถางขึ้นมา
ลู่ต้าฝูบิดาเขาก็พูดใส่ไฟด้วยเช่นกัน “นั่นสิ บางทีเขาอาจจะไม่มีเทคนิคอะไรเลยก็ได้ ก็แค่บังเอิญปลูกออกมาได้ผลผลิตเช่นนั้น สู้พวกเราไปดูที่หมู่บ้านเกาตี้ของเราไม่ดีกว่าเหรอ ดีกว่าที่นี่ของเขาตั้งเยอะ”
“นี่ เถ้าแก่เซี่ย คุณว่าจะทำยังไงดี?” เกาหมิงดูเหมือนลำบากใจขึ้นมา คนอื่นๆ เองก็เริ่มข้องใจเช่นกัน
“ที่พวกผู้ใหญ่บ้านลู่พูดมาก็มีเหตุผล ผมไม่มีเทคนิคอะไรจริงๆ หากพวกคุณอยากจะดู งั้นก็ช่วยไม่ได้” เซี่ยหยางชินเสียแล้วกับการถูกคนกังขา เขาเองก็ไม่รอช้า สั่งให้เอ้อนิ้วหยิบเมล็ดพันธุ์พวกนั้นมาให้ทุกคนดู
คนเหล่านั้นมองราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า รุมล้อมเข้ามาศึกษาอย่างรวดเร็ว แต่ดูไปดูมาถึงพบว่าเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ธรรมดา แต่ละคนจึงอดมองอย่างโง่งมไม่ได้
“เถ้าแก่เซี่ย คุณคงไม่ได้จงใจเอาเมล็ดพันธุ์พวกนี้มาตบตาหรอกนะ” เกาหมิงสงสัยเป็นอย่างมาก
“เหลวไหล เขาไม่มีเทคนิคอะไรเลย พวกคุณต่างหากที่มองเขาสูงเกินไป คราวก่อนก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง ต่อให้พวกคุณดูแปลงปลูกของเขามากเท่าไหร่ ก็ไม่มีอะไรหรอก” ลู่เฟยรีบจุดไฟก่อลมทันที คิดจะโจมตีเซี่ยหยาง
พวกสมาชิกก็เริ่มสงสัยกันแล้ว พากันใช้สายตาแปลกประหลาดมองสำรวจเซี่ยหยาง แย่งกันพูดอะไรบางอย่างจนฟังไม่ได้ศัพท์
ลู่ต้าฝูกับลู่เฟยมองสบตากัน สองคนพ่อลูกดูได้ใจอย่างมาก
ในที่สุดเซี่ยหยางก็พลันเข้าใจ จุดประสงค์ที่ลู่เฟยสองคนพ่อลูกมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อเรียนรู้อะไรทั้งสิ้น แต่อาศัยโอกาสมาก่อกวนต่างหาก เดิมทีเขาคิดจะช่างมันไป แต่คิดๆ ดูแล้วไม่ยอมดีกว่า จึงพูดว่า “แล้วพวกคุณรู้สึกว่า ผมต้องทำยังไงพวกคุณถึงจะยอมเชื่อ?”
“ง่ายมาก แน่จริงก็หยิบเอาแตงโมลูกใหญ่กับซูเปอร์ผักเหล่านั้นออกมาอีกทีสิ” ลู่เฟยแค่นเสียงเย็นชา เจตนาชัดเจนอย่างยิ่ง ตอนนี้ในแปลงปลูกไม่มี ดูสิว่าเซี่ยหยางจะทำยังไง