เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 58
ทอดสายตามองไป เซี่ยหยางพบว่าหมูที่จางฝู้กุ้ยเลี้ยงมีจำนวนไม่น้อยเลย อย่างต่ำก็หลายร้อยตัว ทุกตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ หมูบางตัวมีน้ำหนักประมาณหนึ่งถึงสองจิน ดูท่าทางจะเลี้ยงอย่างเงียบๆ มาสักระยะแล้ว มีคนในหมู่บ้านสองสามคนกำลังช่วยกันจัดการล้อมหมู น่าจะเป็นคนที่จางฝู้กุ้ยใช้เงินจ้างมา
เซี่ยหยางรู้จักพวกเขา ล้วนแต่เป็นคนในหมู่บ้านที่เป็นเครือญาติของจางฝู้กุ้ย ช่างเป็นการไม่ยอมให้น้ำดีไหลไปยังที่นาผู้อื่นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เดิมทีเซี่ยหยางเองก็วางแผนจะทำการเลี้ยงสัตว์เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะถูกจางฝู้กุ้ยชิงตัดหน้าไปก่อน อันที่จริงเซี่ยหยางไม่ได้กลัวว่าสัตว์ที่จางฝู้กุ้ยเลี้ยงจะดีมากแค่ไหน แต่เขารู้สึกว่าการที่จางฝู้กุ้ยแอบเลี้ยงสัตว์ จะต้องแฝงเจตนาอื่น
อีกทั้งที่เฉียงจื่อพูดมาก็มีเหตุผลอย่างมาก จางฝู้กุ้ยคิดอาศัยความได้เปรียบตรงนี้มาทำลายตัวเขา สร้างฐานะกลางหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ มิน่าระยะนี้จึงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ที่แท้ก็มาแอบทำเรื่องนี้อยู่นี่เอง
เวลานี้ประตูใหญ่ถูกเปิดออก มีคนเดินเข้ามา เซี่ยหยางจึงรีบซ่อนตัวทันที
“ผู้ใหญ่บ้านหวัง คุณเป็นยังไงมายังไง กินข้าวมาหรือยัง?” ชาวบ้านคนหนึ่งที่ถือไม้กวาดอยู่ กล่าวทักทายหวังหยุนจู้
“ฉันแวะมาดูหน่อย พักนี้ที่นี่เป็นยังไงบ้าง มีความคืบหน้าอะไรไหม?” หวังหยุนจู้ชำเลืองมองไปรอบๆ จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ เขาหนีบซองเอกสารราชการไว้ใต้แขน พลางเดินไปเดินมา มองหมูอ้วนพีเหล่านั้นอย่างเบิกบานใจ
“ก็ไม่เลวครับ เถ้าแก่จางบอกว่าอีกสองสามวันก็ใกล้จะได้ขายแล้ว ถึงเวลาจะต้องได้ราคาดีแน่ คุณวางใจได้เลย” ชาวบ้านคนนั้นกล่าวตามจริง
หวังหยุ่นจู้วางมาดข้าราชการ ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “ฉันขอเตือนพวกนายว่าสองสามวันนี้จะต้องใส่ใจให้มากๆ หน่อย นี่คือไพ่ตายของเถ้าแก่จาง อนาคตจะต้องมีประโยชน์มากแน่”
“ผู้ใหญ่บ้าน ประโยชน์มากอะไรหรือ? ทำไมต้องมีลับลมคมในด้วย บอกให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม?” ชาวบ้านสองสามคนต่างล้อมวงกันเข้ามา ทำท่าทางแปลกใจเป็นอย่างมาก
หวังหยุนจู้ทำสีหน้าประหลาด ทำท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะพูดว่า “เรื่องนี้พวกนายคงไม่รู้สินะ เห็นว่าพวกนายก็เป็นญาติสนิทมิตรสหายของเถ้าแก่จางเช่นกัน จะบอกความจริงกับพวกนายให้ฟัง ที่เถ้าแก่จางทำการเลี้ยงสัตว์นี้ อันที่จริงก็เพื่อดึงดูดเงินจัดสรรของเบื้องบน เข้าใจหรือยัง?”
“เงินจัดสรร? เงินอะไร? มาจากไหน?” ชาวบ้านถามอย่างไม่เข้าใจ
“พูดไปพวกนายก็ไม่เข้าใจหรอก เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง ตอนนี้พวกนายดูแลมันให้ดีๆ พอเถ้าแก่จางได้งบจัดสรรมาแล้ว ก็ต้องมอบผลประโยชน์ให้พวกนายแน่ แค่นี้แหละ ฉันขอเข้าไปดูหน่อย” หวังหยุนจู้ทางหนึ่งพ่นควันบุหรี่ ทางหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน
จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เซี่ยหยาง หวังหยุนจู้ราวกับพบความผิดปกติ จึงเดินเข้ามาดูอย่างแปลกใจ
เซี่ยหยางหยิบก้อนหินจากบนพื้นขึ้นมา เกิดเสียงสวบสาบดังขึ้นจากนั้นก็กระแทกเข้าที่ศีรษะของหวังหยุนจู้ ก่อนจะเคลื่อนตัววิ่งผ่านรั้วกำแพงไม่เหลือร่องรอยอีก
หวังหยุนจี้ร้องเสียงหลง กุมใบหน้าไว้มองเห็นไม่ชัดว่าคืออะไร จากนั้นก็ล้มลงไปในเล้าหมู หมูสองสามตัวเดินเข้ามาเลียหน้าเขา แถมยังเอาจมูกดุนๆ เขา หวังหยุนจู้ตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาอย่างร้อนใจ ก่อนจะตะคอกอย่างโกรธจัดว่า “แม่งเอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครตีกูวะ?”
“ไอ้หยา ผู้ใหญ่บ้านเป็นอะไรไป เร็วเข้า” ชาวบ้านสองสามคนได้ยินก็รีบรุดมา รีบเข้าไปประคองหวังหยุนจู้ขึ้น ถึงพบว่าดวงตาของหวังหยุนจู้มีรอยเขียววงหนึ่งราวกับหมีแพนด้า ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“หัวเราะอะไรวะ พวกแกใครตีฉัน?” หวังหยุนจู้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มองไปทั่วอย่างร้อนใจ แต่ก็ไม่พบเห็นอะไร จึงอดไม่สบายใจขึ้นมาไม่ได้
“ผู้ใหญ่บ้าน คุณไม่ระวังลื่นล้มเองน่ะสิ ที่นี่ก็มีแต่พวกเรา ใครจะไปทำร้ายคุณได้?” มีชาวบ้านบางคนเอ่ยเตือน
หวังหยุนจู้ก็คิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยังคิดว่าตัวเองล้มไปเองจริงๆ จึงด่าอย่างโกรธเกรี้ยวไปหลายประโยค ถึงค่อยจากไปอย่างหัวเสีย
เซี่ยหยางมองหวังหยุนจู้เดินจากไปอยู่นอกรั้วกำแพง ท่าทางหัวเสียน่าดู ผู้ใหญ่บ้านสุนัขนี่ สมคบคิดทำเรื่องไม่ดีกับจางฝู้กุ้ยอีกแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนชั่วทำอะไรกัน แต่จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เรื่องนี้ยังคงระวังไว้ดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาทำร้ายเอา ยังทำเป็นไม่รู้ไปก่อน
หลังกลับไปเซี่ยหยางก็คิดไม่ออกว่าทำถึงเป็นเช่นนั้นมาตลอด จึงได้แต่ไปทำงานในแปลงปลูกก่อน
ตอนนี้ผักผลไม้ในแปลงที่ผ่านการช่วยเหลือจากเหอเสี่ยวหย่า ไม่เพียงจะจัดการเป็นระเบียบเรียบร้อย ยังได้ปริมาณผลผลิตต่างไปจากเดิมอีกด้วย กระทั่งผลไม้ก็ยังมีลูกเพิ่มขึ้น อีกทั้งลิ้นจี่กับกล้วยหอมที่ปลูกก่อนหน้านี้ ก็ยังออกผลแล้ว
เซี่ยหยางลองชิมคำหนึ่ง รสชาติดีเป็นอย่างมาก อีกทั้งเขายังพบว่า ลิ้นจี้บางลูกถึงกับมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น กล้วยหอมเองก็มีความหนาเท่าแขนคน พืชเจริญเติบโตดีคนก็ปลื้มใจ
ดูท่าทางอีกไม่กี่วันก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว จะต้องได้ผลผลิตเยอะแน่ คงจะขายได้ราคาดี
เพียงแต่ที่ดินเหล่านี้อย่างไรก็ทีจำกัด หากสามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกได้ล่ะก็ นั่นคงจะดีไม่ใช่น้อยเลย
น่าเสียดายที่ที่ดินในหมู่บ้านมีจำกัด ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนในปัจจุบันหยิบที่ดินออกมาให้เซี่ยหยางเพาะปลูกแทบจะทั้งหมดแล้ว ที่เหลือที่ดินบางส่วนไว้ใช้ปลูกธัญญาหาร นั่นก็เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้อง
เซี่ยหยางยังใคร่ครวญถึงปัญหาอีกอย่าง นั่นก็คือหากทำบางอย่างเพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษ พอราคาตลาดสูงผลผลิตที่ออกมาก็จะราคาสูงขึ้นตาม หากที่ดินมีจำกัด ก็เหมือนอย่างที่เหอเสี่ยวหย่าพูด พอราคาเมล็ดพันธุ์สูงขึ้นพืชก็จะราคาสูงขึ้นตาม
แต่ในเวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวนี้ เซี่ยหยางก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะปลูกอะไรดี นี่จึงจำเป็นต้องรอโอกาส
เซี่ยหยางเพิ่งจะกลับมาจากแปลงปลูกไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกตัวเอง
“เซี่ยหยาง คุณคือเซี่ยหยางใช่ไหม?” ที่มามีสองสามคน แต่งตัวเหมือนคนในหมู่บ้าน แต่เซี่ยหยางรู้สึกไม่คุ้นหน้าอยู่บ้าง
“ใช่ครับ พวกคุณมีเรื่องอะไรเหรอ?” เซี่ยหยางรู้สึกสงสัยขึ้นมา จึงออกไปดู ชาวบ้านเหล่านั้นดูท่าทางร้อนใจอยู่ไม่น้อย
“เพราะว่าเห็นคุณช่วยคนมามาเยอะขนาดนี้ ผมขอแนะนำตัวเองหน่อย ผมอยู่หมู่บ้านข้างๆ คุณเรียกผมว่าเหล่าเจ้าก็ได้ ส่วนนี่ก็คือคนในหมู่บ้านของเรา” ชาวบ้านที่เหล่าเจ้าเรียกต่างยิ้มให้ หยิบบุหรี่หน้าตายับยู่ยี่ออกมาแล้วส่งให้เซี่ยหยาง
“สูบของผม มา พวกคุณนั่ง” เซี่ยหยางรีบส่งบุหรี่อย่างดีให้ เขารู้สึกลางๆ ว่าน่าจะมีเรื่องอะไร จึงพาเหล่าเจ้ากับชาวบ้านเหล่านั้นไปยังฟาร์มสเตย์ ทั้งยังชงชาให้พวกเขาดื่มด้วย
ชาวบ้านเหล่านั้นต่างเกรงใจมาก ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการระวังตัว เหล่าเจ้าน่าจะเป็นคนอายุเยอะที่สุด เขามีผมสีดอกเลา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่ดูจริงใจมาก ดูท่าทางเขาจะเป็นผู้นำ
“เถ้าแก่เซี่ยไม่เคยวางมาดใส่เลยสักนิด พวกคุณว่าจริงไหม?” เหล่าเจ้ายิ้มกว้าง รีบจุดบุหรี่ให้เซี่ยหยาง
เซี่ยหยางแสดงเจตนาของตัวเองออกมา ฟังชาวบ้านคนอื่นๆ ส่งเสียงหัวเราะตาม บางทีคงมีเรื่องต้องการจะพูด จึงพูดว่า “พวกคุณมาหาผมมีเรื่องอะไรเหรอ พูดมาได้เลย ไม่ต้องเครียด”
ชาวบ้านเหล่านั้นต่างมองกันและกัน จากนั้นสายตาก็ไปรวมกันที่ตัวเหล่าเจ้า ส่งสัญญาณให้เขาพูด
เหล่าเจ้าจัดระเบียบความคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปยังที่ดินที่ห่างไกล ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “คืออย่างนี้เถ้าแก่เซี่ย พวกเราได้ยินว่าคุณมีฝีมือในด้านเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ของที่คุณปลูกออกมานั้นจะอร่อยเป็นพิเศษ ปริมาณผลผลิตก็สูงมากด้วย แถมที่ทางก็กว้างมาก ขายได้กำไรน่าดู พวกเราขบคิดกันแล้วจึงจะมาปรึกษากับคุณ พวกเราจะเอาที่ดินให้คุณเช่า ไม่รู้ว่าคุณจะยังต้องการอีกหรือไม่?”
“พวกคุณต้องการให้ผมเช่าที่ดิน ที่ทางในหมู่บ้านเกาตี้ของพวกคุณไม่ได้ปลูกอะไรเหรอ?” เซี่ยหยางกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
เหล่าเจ้ายิ้มขื่น พลางกล่าวว่า “ปลูกน่ะปลูก แต่พูดความจริงไม่ปิดบัง ส่วนใหญ่ล้วนให้ผู้ใหญ่บ้านลู่ต้าฝูเช่า ลูกชายเขาลู่เฟยเองก็มีความสามารถเช่นกัน ลงทุนไม่น้อย แทบจะทุกครัวเรือนต่างมอบที่ให้พวกเขาเช่า
“แล้วคุณมาหาผมทำไมกัน” เซี่ยหยางรู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำพูด
“เอ่อ ยังไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องกำไรอีกเหรอ เมื่อก่อนลู่เฟยสองพ่อลูกเพาะปลูกในที่ดินของเรา ทุกปีให้ค่าเช่าพวกเรา ทุกคนก็ไม่พูดอะไร แต่ระยะนี้ ได้รับเงินไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจึงคอยจะดึงเวลาจ่ายค่าเช่าออกไป” เหล่าเจ้าทำท่าทางขมขื่นเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว พวกเราไม่ได้เงินมาหลายเดือนแล้ว คนตระกูลลู่มีอำนาจมากในหมู่บ้าน พวกเราไม่กล้าไปทวง ต่อให้ไป ก็ถูกปิดประตูใส่หน้า ดีไม่ดีอาจจะถูกไล่ออกมาด้วย” ชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นด้วยความโมโห
เซี่ยหยางพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงนิ่งคิดแล้วกล่าวว่า “นี่หมายความว่าพวกเขาคิดจะเบี้ยวค่าเช่า? พวกเขาต้องให้คำชี้แจงยังไง?”
เหล่าเจ้าถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “คำชี้แจงน่ะมี พวกเขาบอกว่าพักนี้ผลผลิตไม่ดี เก็บเกี่ยวไม่ได้ ขายไม่ออก ดังนั้นเงินจึงขาดมือ แต่ไม่มีทางค้างจ่ายพวกเรา ให้พวกเราผ่อนผันสักสองสามวัน”
ชาวบ้านของหมู่บ้านเกาตี้คนหนึ่งกล่าวรับว่า “เหลวไหล ฉันว่าตระกูลลู่ก็แค่หาข้ออ้าง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคิดจะผัดวันประกันพรุ่ง พวกเราเองก็ไร้หนทาง ไม่อาจขัดขืนได้”
“ดังนั้นพวกคุณเลยอยากยกที่ให้ผมเช่า?” เซี่ยหยางถึงบางอ้อ
“ไม่ใช่หรือไงกัน ได้ยินว่าเถ้าแก่เซี่ยเป็นคนซื่อสัตย์ไม่เห็นแก่ตัว ทั้งยังเก็บเกี่ยวในที่ดินได้ดี ดูแลคนในหมู่บ้านเดียวกันอย่างพวกเราเป็นพิเศษ พวกเราชื่นชมในชื่อเสียงมานานแล้ว โดยหลักแล้วครอบครัวของเราอาศัยที่นาเหล่านั้นในการดำรงชีพ ตอนนี้ลู่เฟยพ่อลูกไม่ให้เงิน พวกเราก็ไร้หนทางแล้วจริงๆ เลยหารือกันว่าจะมาขอพึ่งคุณ” เหล่าเจ้าอธิบายอย่างครบถ้วนกระบวนความ
เซี่ยหยางรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี เขาเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะอย่างไรก็กะว่าจะขยายพื้นที่ในการเพาะปลูกอยู่แล้ว แต่จะว่าไป เรื่องนี้ก็จัดการยากอยู่บ้าง เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าต้องปะทะกับพ่อลูกลู่เฟย ดังนั้นจึงถามว่า “แล้วลู่เฟยสองพ่อลูกจะยอมเหรอ? ก่อนหน้านี้พวกคุณไม่ใช่เซ็นสัญญาไปแล้วหรอกหรือ?”
“ใช่เซ็นแล้วล่ะ คุณกังวลว่าพวกเขาจะเล่นตุกติกสินะ พวกเราคิดมาแล้วว่าอย่างมากค่าเช่าปีนี้พวกเราก็ไม่เอาแล้ว พวกเราจะยกที่ดินให้คุณเช่าแทน คุณจะให้นิดหน่อยก็ได้ แบบนี้คงจะไม่เหนือไปกว่าพวกเขาหรอกนะ?” เหล่าเจ้ารีบกล่าวรับคำ
“งั้นพวกเขาจะรับปากหรือ? เรื่องนี้เกรงว่าจะจัดการได้ไม่ง่าย” เซี่ยหยางลำบากใจเล็กน้อย
เหล่าเจ้าพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า “เรื่องนี้เถ้าแก่เซี่ยคุณวางใจ หากพ่อลูกตระกูลลู่ไม่รับปาก พวกเราก็จะไปฟ้องร้องกับเบื้องบน พวกเขาจะตั้งตัวเป็นใหญ่มากดขี่ผู้อื่นได้เชียวหรือ บ้านเมืองยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่? อีกอย่างพวกเราก็ไม่ต้องการเงินแล้ว พวกเขามีสิทธิ์อะไรไม่คืนที่ดินให้พวกเรา”
“จริงด้วย นี่คือที่ดินของเรา ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเกาตี้ต่างคิดเห็นกันเช่นนี้ เถ้าแก่เซี่ย พวกเราไร้หนทางแล้ว จึงได้แต่ลองมาหาคุณดู หากคุณรู้สึกลำบากใจ อย่างนั้นพวกเราก็รบกวนแล้ว” ชาวบ้านเหล่านั้นลุกขึ้นยืนคิดจะจากไป ราวกับรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
เซี่ยหยางย่อมไม่คิดทำให้พวกเขาผิดหวัง ก่อนจะพูดว่า “เอาอย่างนี้เถอะ พวกคุณกลับไปหารือกันก่อน มีคนยินยอมประมาณกี่คน ทำการบันทึกไว้สักหน่อย แล้วให้เหล่าเจ้ามาติดต่อกับผม หลังทำเสร็จแล้วก็มาบอกผม ถึงเวลาผมจะไปดูที่นั่น พวกคุณเองก็รู้ว่าวิ่งไปวิ่งมามันไม่สะดวก หากได้ที่ดินเพิ่มอีกหน่อย ผมก็สามารถลงมือเพาะปลูกได้โดยเฉพาะ”
“เข้าใจแล้ว แค่พวกเราไม่กี่คน ก็มีที่ดินเพิ่มขึ้นมาสี่ห้าหมู่แล้ว คนอื่นๆ ก็น่าจะมีอยู่ไม่น้อย ไม่มีทางทำให้คุณต้องวิ่งไปเสียเที่ยวเพื่อที่ดินไม่กี่หมู่แน่นอน ผมกล้ารับประกัน อย่างน้อยก็ควรจะมีที่ดินยี่สิบหมู่” เหล่าเจ้าตบอกรับรอง
“งั้นก็ได้ พวกคุณกลับไปก็เอาความคิดของผมไปบอกทุกคน อย่างไรก็ไม่มีทางเอาเปรียบพวกคุณแน่ หากมีจำนวนมากพอ ผมสามารถจ่ายเงินมากกว่าที่พวกคุณได้เมื่อก่อนเท่าหนึ่ง” เซี่ยหยางเอ่ยความคิดออกมา
เหล่าเจ้ากับชาวบ้านเหล่านั้นล้วนดีใจเป็นอย่างมาก รีบจับมือกับเซี่ยหยางทันที แล้วค่อยจากไปพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นาๆ
คิดถึงคำพูดของพวกเขาเมื่อกี้ เซี่ยหยางก็ได้ไอเดียแล้ว ดูท่าทางที่ดินผืนนี้ยังคงต้องช่วงชิงมา แม้ว่าจะจัดการยาก ก็ต้องทำ สิ่งนี้จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาหมู่บ้านในอนาคตได้อย่างมาก
เช้าตรู่วันนี้เซี่ยหยางเพิ่งจะลุกขึ้นมา ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากกำนัลสาวช่ายยั่น
“ฮัลโหล กำนัลช่าย มีอะไรจะสั่งการก็ว่ามาได้เลยครับ” เซี่ยหยางรู้สึกได้ลางๆ ว่าช่ายยั่นโทรหมตนเองจะต้องมีเรื่องแน่ ไม่มีทางเป็นเพราะคิดถึงตนเองถึงได้โทรมาแน่นอน
“เซี่ยหยาง พักนี้เป็นยังไงบ้าง? พ่อฉันอยู่ในหมู่บ้านสบายดีไหม?” ช่ายยั่นไม่ได้กลับมาหลายวัน จึงเอ่ยปากถาม
“สบายดีครับ คุณโทรหาผมคงไม่ใช่เพราะเรื่องพ่อคุณใช่ไหม?” เซี่ยหยางถามอย่างสงสัย