เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 59
ช่ายยั่นยิ้ม กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจว่า “ไม่ใช่อยู่แล้วค่ะ มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น ฉันต้องไปเยี่ยมหมู่บ้าน เบื้องบนแจ้งมา ให้ข้าราชการส่วนตำบลอย่างเราลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนตามหมู่บ้านให้มากขึ้น เพื่อหาที่จัดสรรเงินทำโครงการ”
ฟังคำพูดของช่ายยั่นจบ เซี่ยหยางก็ถึงบางอ้อในทันที จากนั้นก็ถามว่า “ซึ่งแปลว่าหากมีโครงการที่พวกคุณรู้สึกว่าเหมาะสม ขอเพียงยื่นใบสมัคร ก็จะได้เงินจัดสรรอย่างง่ายดาย?”
“อืม จะพูดแบบนั้นก็ได้ หนนี้ประการแรกเพื่อดูว่าที่ดินในการเพาะปลูกของคุณเป็นยังไง ประการที่สอง ผู้ใหญ่บ้านของพวกคุณหวังหยุนจู้บอกฉันว่าในหมู่บ้านของพวกคุณมีโครงการเลี้ยงสัตว์อยู่โครงการหนึ่ง ทั้งยังดูมีชีวิตชีวา ข้าราชการจำนวนไม่น้อยก็ดูจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเลยว่าจะไปดูเสียหน่อย” ช่ายยั่นอธิบายให้ฟังเบ็ดเสร็จ
ในใจเซี่ยหยางเคร่งเครียดขึ้นมา ดูท่าทางช่ายยั่นจะได้ยินข่าวลืออะไรมา โดยเรื่องที่จางฝู้กุ้ยทำการเพาะเลี้ยงสัตว์ได้มีการวางแผนไว้นานแล้ว เป้าหมายก็เพื่อดึงดูดสายตาข้าราชการเหล่านี้ ให้พวกเขาลงมาดูงาน จากนั้นก็ค่อยจัดสรรเงินให้
ในกรณีที่ถูกคนอย่างจางฝู้กุ้ยได้เงินจัดสรรไป นั่นแน่นอนว่าไม่รู้จะถูกเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง คนอย่างนั้นต่อให้เลี้ยงสัตว์ดีแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับชาวบ้าน
แต่เรื่องนี้จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน ต่อให้บอกเรื่องเหล่านี้กับช่ายยั่น เกรงว่าช่ายยั่นก็คงจะไปดูอยู่ดี
เซี่ยหยางคิดจะเล่าสถานการณ์ให้ช่ายยั่นฟังอย่างชัดเจน เรื่องที่จางฝู้กุ้ยกับหวังหยุนจู้สมคบคิดกัน เกรงแต่ว่าช่ายยั่นจะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก ยิ่งกว่านั้นเกรงแต่ว่าเรื่องนี้ช่ายยั่นจะไม่ได้มีสิทธิ์ขาดเพียงคนเดียว
“ผมรู้แล้ว ขอต้อนรับพวกคุณมาดูงานที่หมู่บ้านเรา” หลังวางสาย เซี่ยหยางก็ร้อนใจขึ้นมา แต่ชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าวไม่อาจคิดวิธีดีๆ ออก เห็นทีคงได้แต่ก้าวไปทีละขั้นละตอน
เขารู้สึกได้อย่างลึกๆ ว่า เรื่องนี้จางฝู้กุ้ยกับหวังหยุนจู้น่าจะวางแผนกันมานานแล้ว ที่รอก็คือวันนี้นั่นเอง บางทีพวกเขาอาจจะมีคนรู้จักเป็นข้าราชการในตำบล จึงบอกข่าวนี้แก่พวกเขาล่วงหน้า
เวลาอาหารเย็น เอ้อนิ้วมาหาเซี่ยหยางที่นี่เพื่อดื่มเหล้า พบว่าเซี่ยหยางดูไม่มีความสุขนัก ก่อนจะบ่นพึมพำว่า “พี่หยางเป็นอะไรไป อกหักเหรอ”
“อย่าพูดซี้ซั้ว ฉันมีเรื่องในใจ มองไม่ออกเหรอ?” เซี่ยหยางเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา
“มีเรื่องในใจอะไรก็พูดออกมาสิ ผมจะช่วยพี่ออกความเห็นเอง” เอ้อนิ้วหัวเราะแหะๆ
“แกจะไปมีความเห็นอะไรได้ ฉันยังคิดไม่ออกเลย”
“พี่หยาง พี่อย่าได้ดูถูกผมเชียวนะ ไม่ว่าอย่างไรผมก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง อีกอย่างนะ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ไม่แน่ว่าสมองพี่ที่ไม่แล่น ผมกลับคิดออกก็ได้” เอ้อนิ้วเกาศีรษะ พลางรินเหล้าให้เซี่ยหยาง
เซี่ยหยางพูดโพล่งออกมาว่า “แกรู้เรื่องที่จางฝู้กุ้ยเลี้ยงสัตว์หรือไม่? เขาสร้างสถานที่หนึ่งขึ้นมาอย่างลับๆ คิดจะยื่นสมัครขอกู้เงิน เงินนี้หากถูกเขายื่นคำร้องแล้ว พวกเราก็จะหมดสิทธิ์”
“หมดสิทธิ์อะไรกัน? ผมไม่เข้าใจ พวกเราหาเงินได้เร็วกว่าเขาไม่ใช่เหรอ เอ้อนิ้วกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ
“ช่างเถอะ พูดกับนายไปก็ไร้ประโยชน์” เซี่ยหยางเงยหน้าดื่มเหล้าเข้าปาก
เอ้อนิ้วหลุบตาลง จากนั้นก็ตบต้นขาพลางพูดว่า “พี่หยาง ผมเข้าใจแล้ว พี่กังวลว่าจางฝู้กุ้ยจะแย่งทิศทางลมของพี่ไป ถึงเวลาคนในหมู่บ้านก็จะไม่สนใจพี่ใช่ไหม?”
“หัวสมองทึบอย่างนายเริ่มจะสว่างไสวขึ้นมาแล้วสินะ ก็คล้ายๆ อย่างที่นายคิดนั่นแหละ” เซี่ยหยางกล่าวอย่างตกตะลึงเล็กน้อย
“แบบนี้ไม่ง่ายเลยนะ พี่หยาง สุนัขกัดพี่ไปทีหนึ่ง พี่ยังจะกลับไปได้อีกเหรอ? จางฝู้กุ้ยให้คนมาทำลายที่ดินของเรา พวกเราก็ทำลายฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของเขาบ้างสิ” เอ้อนิ้วโมโหจนหายใจไม่ทัน
เซี่ยหยางนิ่งไป เข้าทำนองว่าคนพูดไม่จำคนฟังไม่ลืม คำพูดของเอ้อนิ้วจู่ๆ ก็เตือนสติเขาขึ้นมา แน่นอนว่าตนเองไม่อาจทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนั้นได้ แต่สามารถเปลี่ยนแนวคิดได้ เขาคิดอยู่ชั่วครู่ก็เกิดไอเดียขึ้นมา
“เอ้อนิ้วนายฉลาดจริงๆ พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ดื่มเหล้า เดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องให้นายฟัง……” เซี่ยหยางดื่มเหล้าไปพลาง กระซิบกระซาบกับเอ้อนิ้วไปพลาง
“ตกลง พี่หยาง ไว้ใจผมได้เลย” เอ้อนิ้วหัวเราะร่าออกมา
เช้าตรู่วันต่อมา โทรโข่งใหญ่ในหมู่บ้านก็มีเสียงตะโกนดังออกมา หวังหยุนจู้ตะโกนว่า “ชาวบ้านทุกคน เดี๋ยวกำนัลช่ายของเราจะมาดูงานที่นี่ หวังว่าแต่ละครัวเรือนจะส่งตัวแทนออกไปต้อนรับ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของหมู่บ้านเรา หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ……”
ตอนที่เซี่ยหยางตามชาวบ้านไปที่นั่น ก็มองเห็นแต่ไกลว่าหวังหยุนจู้กำลังชี้นิ้วสั่งการอยู่ที่นั่น แถมยังให้ชาวบ้านดึงแผ่นภาพขึ้นมา ในนั้นเขียนว่าขอต้อนรับกำนัลช่ายมาดูงานยังหมู่บ้านเรา
ถึงขั้นเชิญขบวนกลองยาวมาด้วย ตีฆ้องเล่นกลองเรียงแถวต้อนรับ ดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
ใช้ขบวนเหล่านี้มาต้อนรับ คงจะจ่ายเงินไปไม่น้อยเลย เวลานี้จางฝู้กุ้ยหน้าแดงเปล่งปลั่ง แต่งตัวทันสมัยอย่างยิ่ง และเงินนี่ก็เป็นเขาที่ออกเอง
“หวังหยุนจู้ เรื่องในวันนี้มั่นใจว่าใหญ่อย่างที่คุณว่าหรือไม่?” จางฝู้กุ้ยดึงหวังหยุนจู้ คาบไปป์ขอบทองเอาไว้ ถามอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“แน่นอนอยู่แล้ว เถ้าแก่จางคุณวางใจเถอะ รับรองสำเร็จแน่ อีกทั้งนี่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น อีกไม่นานหรอก ฐานะคุณในหมู่บ้านจะต้องมั่นคงขึ้นแน่” หวังหยุ่นจู้เอ่ยคำประจบ ยุ่งตัวเป็นเกลียว คอยเข้าไปชี้นิ้วสั่งการขบวนกลองยาว
จางฝู้กุ้ยยิ้มอย่างลำพองใจ ผู้ติดตามคอยโบกพัดให้เขาอยู่ด้านข้าง เขาเห็นอยู่ไกลๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ดูสิ ไอ้โง่เซี่ยหยางนั่นมาแล้ว บางทีวันนี้เขาอาจจะต้องงงเป็นไก่ตาแตก”
“นั่นแน่นอน อีกเดี๋ยวเขาต้องร้องไห้แทบไม่ทัน ไอ้สารเลวคนนี้ ช้าเร็วก็ต้องจัดการเขาให้ได้” หวังหยุนจู้แค่นเสียงเย็นชา กล่าวขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
เซี่ยหยางเดินเข้าไป มองพวกเขาแวบหนึ่ง กำลังเตรียมจะไปทักทายชาวบ้านคนอื่นๆ จางฝู้กุ้ยกระแอมสองสามที เอ่ยขึ้นอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ไอ้หยา นี่เถ้าแก่เซี่ยของเราไม่ใช่เหรอ ไม่ทำงานอยู่ในที่ดิน มีเวลามาร่วมสนุกอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ก็ได้ยินไก่ตัวผู้สองตัวกำลังร้องขัน เสียงดังไปหมด ผมเลยไปดู ก็พบว่าพวกมันหยิ่งยโสอย่างมาก ทั้งยังคอยปกป้องเล้าไก่ พอผมเดินเข้าไปดู ก็ถึงกับวางไข่แล้ว” เซี่ยหยางถากถางแฝงนัยบางอย่างไว้ในคำพูด
หวังหยุนจู้เป็นคนเข้าใจง่าย พอได้ยินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หน้าแดงถลึงตาใส่เซี่ยหยางพลางกล่าวว่า “แกว่าใครเป็นไก่ตัวผู้?”
เซี่ยหยางกล่าวอย่างขบขันว่า “ผู้ใหญ่บ้านหวัง คุณคงไม่ได้คิดว่าไก่ตัวผู้สองตัวที่ผมว่าคือคุณกับจางฝู้กุ้ยหรอกนะ? อย่าเอาไปโยงกันสิ คุณคิดมากไปแล้ว”
“แก……ฉันขี้เกียจจะเถียงกับแกแล้ว” จางฝู้กุ้ยกระทืบเท้าอย่างโกรธๆ ไปป์ที่อยู่ในปากแทบจะหล่นออกมา
เซี่ยหยางคร้านจะสนใจพวกเขา พวกเขาเป็นคนทำให้หมดสนุกเองแท้ๆ มาโทษเขาไม่ได้หรอกนะ จึงหันหลังให้พวกเขาเสียเลย จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังถนน
“มาแล้ว รถกำนัลช่ายมาแล้ว” มีเสียงคนตะโกนร้องในกลุ่มคน
พอเห็นหวังหยุนจู้ก็คึกคักขึ้นมา รีบปรบมือตะโกนว่า “ทุกคนฟังให้ดี รีบออกแรงร้องตะโกนให้ฉัน ฆ้องกับกลองต้องตีให้เสียงดังขึ้นหน่อย เดี๋ยวจุดประทัดเลยนะ”
พวกชาวบ้านรีบทำตาม ชั่วขณะนั้นดนตรีก็บรรเลงเสียงดัง เสียงคนจอแจ แทบจะจุดโคมประดับไฟกันเลยทีเดียว
พอช่ายยั่นลงมาจากรถ ก็เริ่มทำท่าตกใจ ทุกคนเริ่มร้องตะโกนต้อนรับกำนัลช่าย เป็นการต้อนรับอย่างอบอุ่นเชียวล่ะ
“ทุกคนหยุดเถอะ พวกคุณไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น” ช่ายยั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็โบกมือ
คนกลุ่มหนึ่งถึงค่อยหยุดลง หวังหยุนจู้รีบเดินเข้าไป ยิ้มอย่างประจบพลางกล่าวว่า “ไอ้หยากำนัลช่าย การมาถึงของคุณ ได้นำพาแสงสว่างมาสู่หมู่บ้านเราโดยแท้ ให้ผมแนะนำหน่อย นี่คือจางฝู้กุ้ยเศรษฐีของหมู่บ้านเรา คิดว่าพวกคุณน่าจะเคยพบกันแล้ว หนนี้โครงการที่ยื่นคำร้องไป ก็คือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของเขานี่แหละ ขอเชิญคุณเดินเข้าไปดู”
“อ้อ แน่นอน แต่พวกคุณทำแบบนี้มันเว่อร์เกินไปหน่อยนะ ฉันไม่เชื่ออะไรแบบนี้หรอก เก็บไปให้หมดเถอะ” ดูเหมือนพิธีต้อนรับแบบนี้ช่ายยั่นดูจะไม่ชอบใจอยู่บ้าง
“แยกย้ายกันไปให้หมดเถอะ” จางฝู้กุ้ยตะโกน ใบหน้ายิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “กำนัลช่าย คุณเดินทางมาไกล ผมเตรียมอาหารไว้ให้คุณแล้ว ขอเชิญไปที่บ้านผมพักหายใจสักหน่อย ค่อยคิดแผนกัน คุณคิดว่ายังไง?”
“เรื่องพักไม่จำเป็น พวกเราเข้าเรื่องเลยเถอะ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่คุณพูดถึงอยู่ที่ไหน ช่วยพาไปที” ช่ายยั่นท่าทางจริงจังอย่างมาก พอเธอเห็นเซี่ยหยาง สีหน้าท่าทางกลับผ่อนคลายลง จากนั้นก็พยักหน้าและส่งยิ้มให้
เซี่ยหยางไม่ได้ส่งเสียง ยิ้มให้เช่นกัน ช่ายยั่นกลับยื่นมือออกมาแล้ว
“สวัสดีครับ กำนัลช่าย เหนื่อยหน่อยนะ” เซี่ยหยางกล่าวพร้อมกับยิ้มบางๆ
“เป็นสิ่งที่ควรทำ พักนี้เรื่องเพาะปลูกเป็นยังไงบ้างคะ ฉันได้ยินว่ามีตัวแทนสมาชิกหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยมาฝึกฝนในที่ของคุณ ดูท่าทางฝีมือการเพาะปลูกนี้ของคุณจะมีอนาคตไกล” ช่ายยั่นเอามือทัดผมเบาๆ แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ บนตัวสวมใส่เครื่องแบบ ขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างกายเธอ
“อาศัยโชคจากคุณหรอก ปล่อยมันไปเถอะ ชมเกินไปแล้ว” เซี่ยหยางพูดพลางยักไหล่
จางฝู้กุ้ยที่อยู่ด้านข้างเห็นสองคนพอพบหน้าก็เอาแต่คุยกัน ก็ไม่พอใจขึ้นมา แต่ต่อหน้าช่ายยั่นจะเสียกิริยาไม่ได้ จึงพูดว่า “กำนัลช่าย พวกเราไปดูกันเถอะ?”
“ได้ค่ะ เชิญ” ช่ายยั่นผายมือ
จู่ๆ เวลานี้หวังหยุนจู้ก็วิ่งมาหยุดตรงหน้าเซี่ยหยาง ชักสีหน้ากล่าวว่า “นายห้ามเข้าไป ส่วนคนอื่นๆ ตามสบายเถอะ”
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะไปสักหน่อย ผมแค่มาต้อนรับกำนัลช่ายเท่านั้น” เซี่ยหยางไม่อนาทรร้อนใจ จุดบุหรี่พลางหรี่ตาสูบมันเข้าไป
“แน่นอนว่าต้องไป ไปด้วยกัน เซี่ยหยางในฐานะตัวแทนผู้ยอดเยี่ยมของหมู่บ้านพวกคุณ นี่จึงเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้และศึกษาเล่าเรียน” คำพูดของช่ายยั่นทำให้จางฝู้กุ้ยกับหวังหยุนจู้มองอย่างทึ่มทื่อ มองหน้ากันและกัน จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“อย่างนั้นก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่ง” เซี่ยหยางกำลังมีความคิดเช่นนี้อยู่พอดี ประการแรกเพราะอยากดูฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของพวกเขาอย่างสง่าผ่าเผย ประการที่สองเพราะอยากจับตาดูอยู่ข้างๆ ดูว่าพวกเขาจะใช้เล่ห์เหลี่ยมยังไงกันแน่ หากว่าพวกเขาเล่นไม่ซื่อกับช่ายยั่น อย่างนั้นเขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว
ดังนั้นข้าราชการที่ตามมาด้วย รวมทั้งช่ายยั่นกับเซี่ยหยาง จึงเดินตามหวังหยุนจู้กับจางฝู้กุ้ยไปพร้อมกัน กลุ่มคนที่ใหญ่โตและคึกคัก เดินไปพลางคุยไปพลาง เพียงไม่นานก็มาถึงฟาร์มเลี้ยงสัตว์
ข้างในยังคงคึกคักมากเหมือนเดิม หมูส่งเสียงออกมาเป็นระยะๆ พอหมูอ้วนพีเหล่านั้นเห็นคนมา ก็เงยหน้ามามองด้วยความแปลกใจ มีบางตัวฉลาดหน่อย หลบไปซ่อนในมุมอับ ราวกับกังวลว่าจะถูกเชือด
“กำนัลช่าย คุณดูสิ หมูเหล่านี้ล้วนเป็นหมูที่ผมเพิ่งจะเพาะเลี้ยงในปีนี้ มันโตเร็วมาก ไม่นานก็ออกจากจากคอกได้แล้ว ที่นี่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีพนักงานเลี้ยงสัตว์เฉพาะทาง ความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกก็เข้าถึง” จางฝู้กุ้ยทางหนึ่งเดินทางหนึ่งแนะนำ
“ใช่แล้ว เพื่อเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ เถ้าแก่จางได้ศึกษาค้นคว้าอย่างหนัก ตามความเห็นผม เพียงไม่นาน ก็สามารถนำพาความร่ำรวยมาสู่หมู่บ้าน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” หวังหยุนจู้รีบเติมเชื้อไฟอยู่ด้านข้าง
ช่ายยั่นพยักหน้า แล้วถามว่า “ไม่เลวจริงๆ พื้นที่ที่ทำก็ใหญ่มากทีเดียว ไม่รู้ว่าช่วงหลังพวกคุณมีโครงการอะไรหรือไม่?”
จางฝู้กุ้ยรีบแนะนำอย่างรวดเร็วว่า “มีแน่นอน อย่างเช่นนำพาหมู่บ้านทำการเลี้ยงสัตว์ด้วยกัน ทั้งหมู่บ้านแต่ละครัวเรือนต่างมาเข้าร่วม เป็นหุ้นส่วนกัน หรือทำรับเหมาเป็นต้น ขอเพียงมีเงินทุนหมุนเวียน ชาวบ้านมองเห็นความหวัง เป้าหมายให้ทุกคนร่ำรวยพร้อมกันจะต้องบรรลุผลสำเร็จอย่างแน่นอน”
เซี่ยหยางเงียบมาตลอด เขากำลังสังเกตท่าทีของช่ายยั่นกับพวกข้าราชการเหล่านั้น พบว่าตอนนี้พวกเขาพอใจอย่างมาก จึงร้อนใจขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้จางฝู้กุ้ยก็เริ่มพูดจาฟังดูสวยหรูเรื่องเงินจัดสรรแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเรื่องเงินจัดสรรพวกเขาคงจะชวดเสียแล้ว ในเวลานี้เอง มือถือเซี่ยหยางก็สั่นขึ้นมา เขาหยิบออกมาดู ก็เห็นเป็นเอ้อนิ้วโทรมา จึงหาข้ออ้างมาเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็มารับสายอยู่อีกด้าน