เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 60
“พี่หยาง เรื่องที่พี่ให้ผมไปจัดการเรียบร้อยแล้วนะ พี่ระวังหน่อยก็แล้วกัน” เอ้อนิ้วทำเสียงทุ้มดัง หัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ฉันรู้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรนะ?” เซี่ยหยางรู้สึกกังวลใจอยู่ลางๆ
“แน่นอน ผมทำอะไรพี่วางใจได้ ต่อไปก็ถึงตาพี่แล้ว” เอ้อนิ้วหัวเราะร่า
เซี่ยหยางวางสาย รีบกลับไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้ช่ายยั่นกับจางฝู้กุ้ยเดินมายังใจกลางฟาร์มเลี้ยงสัตว์แล้ว มีหวังหยุนจู้คอยอธิบายและคุยโม้อยู่ด้านข้างอย่างสุดแรงกายแรงใจ ท่าทางมีความสุขเสียเต็มประดา โดยมีช่ายยั่นพยักหน้าติดๆ กัน
“เป็นยังไงครับกำนัลช่าย คุณรู้สึกว่าโครงการนี้ของพวกเราพอจะยื่นคำร้องขอเงินจัดสรรได้ไหม?” จางฝู้กุ้ยถามอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ช่ายยั่นพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ตอนนี้ดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว สามารถนำมาพิจารณาเรื่องเงินจัดสรรได้”
“จริงนะครับ งั้นก็เยี่ยมไปเลย กำนัลช่ายคุณนี่ช่างตาแหลมจริงๆ พวกเราจะต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีกแน่ ไม่มีทางทำให้คุณผิดหวัง” จางฝู้กุ้ยดีใจอย่างปิดไม่มิด พร้อมกับสบตากับหวังหยุนจู้ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มลำพองใจออกมา
“แน่นอน นี่ยังต้องสังเกตการณ์ไปทีละขั้น เงินจัดสรรใช่ว่าเป็นเรื่องที่จะทำก็ทำได้เลย ยังต้องพิจารณาปัจจัยแต่ละด้านด้วย รวมถึงปัญหาขั้นตอนบางอย่าง” ช่ายยั่นอธิบายรอบหนึ่ง
“นั่นแน่นอนอยู่แล้วครับ กำนัลช่ายเชิญทางนี้ พวกเรามาดูกันอีก” จางฝู้กุ้ยกำลังนำทางอยู่ด้านหน้า
เซี่ยหยางก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว มองแวบหนึ่ง เห็นมีสุนัขสองตัวอยู่ใกล้ๆ พอมันเห็นคนแปลกหน้า ก็ตื่นตระหนก เริ่มทำท่าดุร้าย เบิกตาเห่าเสียงดังขึ้นมา
“กำนัลช่ายไม่ต้องกังวล นี่เป็นสุนัขเฝ้ายาม ทั้งยังผูกเชือกไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีทางออกมากัด……”
“อ๊าก……” ยังไม่ทันสิ้นเสียงจางฝู้กุ้ย จู่ๆ ก็มีสุนัขตัวหนึ่งพุ่งออกมาอย่างไม่คาดคิด วิ่งเข้าไปหาฝูงคนอย่างรวดเร็ว กระโดดไปมาอย่างบ้าคลั่ง เห็นใครก็กัดไปทั่ว
สุนัขนั่นคือหมาป่า อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย นิสัยก็ดุร้ายอย่างมาก พอโกรธขึ้นมาก็จะแยกเขี้ยวยิงฟัน ถึงกับกระโจนเข้าหาคน ทำเอาพวกข้าราชการเหล่านั้นตกใจจนวิ่งเตลิดเปิดเปิง มีบางคนหกล้มอย่างน่าเวทนา
“เร็วเข้า ขวางมันไว้ พวกแกมันเลี้ยงเสียข้าวสุก” จางฝู้กุ้ยตื่นตระหนกทันที รีบออกคำสั่ง
แต่เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว หมาป่าตัวโตตัวนั้นเวลานี้ได้กระโจนเข้ามาหาช่ายยั่นแล้ว
ช่ายยั่นอย่างไรก็เป็นผู้หญิง จึงเลี่ยงที่จะตกใจไม่ได้ เธอถอยหลังไปหลายก้าว ติดอยู่ตรงมุมอับ จะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว แต่สุนัขตัวนั้นเอาแต่ไล่ตามมา พอเห็นก็จะกัดเธอเข้า
ทุกคนต่างตกตะลึงกันไปหมด มองฉากตรงหน้าอย่างเคร่งเครียดและจนปัญญา อยากจะขวางไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ชั่วขณะที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็มีเงาร่างสายหนึ่งวาบผ่านไปหยุดอยู่ตรงหน้าช่ายยั่น ยื่นมือมาคว้าเอวคอดกิ่วของเธอไว้ จากนั้นก็หมุนตัวอย่างสง่างามรอบหนึ่ง หลบพ้นอันตรายมาได้
ช่ายยั่นเพียงรู้สึกถึงความอบอุ่นสายหนึ่ง พอเหลือบตามองดู ก็เห็นว่าคนที่มาไม่ใช่ใครอื่นเป็นเซี่ยหยางนั่นเอง
หมาป่าตัวนั้นกระโจนเข้าหาอากาศ หมุนตัวเห่าเสียงดังจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เซี่ยหยางจึงยกเท้าถีบกระเด็นออกไป สุนัขตัวนั้นร้องเสียงหลงอยู่สองสามครั้ง กลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ จากนั้นก็วิ่งหางจุกก้นหนีไปอย่างทุลักทุเล
“ไม่เป็นไรนะกำนัลช่าย? ทำให้คุณได้รับความตกใจแล้ว ขอโทษด้วย” เซี่ยหยางกล่าวปลอบใจ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสช่ายยั่นอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ จึงปล่อยเธอออกอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
“ขอบคุณค่ะ โชคดีที่คุณอยู่ด้วย ฉันไม่เป็นไรแล้ว” ช่ายยั่นแก้มแดงเรื่อ มองเซี่ยหยางอย่างขอบคุณ หัวใจยังคงเต้นตึกตัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจ หรือเป็นเพราะอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยหยางเมื่อกี้
“ไอ้หยา จบกัน กำนัลช่ายคุณเป็นยังไงบ้าง?” จางฝู้กุ้ยทำหน้านิ่วคิ้วขมวด วิ่งเข้ามาอย่างลนลาน
ช่ายยั่นยังตกใจไม่หาย กลับเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลันชักสีหน้ากล่าวด้วยหมากขุนนางใหญ่ว่า “จางฝู้กุ้ย ไหนเมื่อกี้คุณบอกว่าที่นี่ปลอดภัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันอย่างไรล่ะ ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้?”
“นี่ นี่เป็นอุบัติเหตุ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ” จางฝู้กุ้ยเหิดอาการประหม่า ร้องโอดครวญไม่หยุด
หวังหยุนจู้ก็มือเท้าลนลานเช่นกัน รีบพูดว่า “จริงสิ กำนัลช่าย ผมให้คนไล่ตามสุนัขบ้าตัวนั้นไปแล้ว จะต้องสั่งสอนมันให้หนักๆ อย่างแน่นอน ควบคุมเจ้าเดรัจฉานตัวนี้ไว้ คุณอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”
“ใช้ได้ที่ไหนกัน สุนัขตัวเดียวก็ยังดูแลไม่ได้ จะหวังให้พวกคุณเลี้ยงสัตว์ได้ยังไงกัน” ช่ายยั่นกล่าวเสียงเฉียบขาด
“นี่ กำนัลช่าย คุณดูต่อเถอะ ด้านหน้ายังมีอีกนะครับ” จางฝู้กุ้ยหลั่งเหงื่อเย็นเต็มใบหน้า
“ไม่ดูแล้ว ที่นี่ฉันไม่อยากอยู่สักวินาทีเดียว พวกเราไป” ช่ายยั่นเดือดดาล หมุนตัวเดินจากไป
จางฝู้กุ้ยกับหวังหยุนจู้ตามอยู่ข้างหลัง หลั่งเหงื่อเม็ดโตเต็มศีรษะอย่างร้อนใจ
เซี่ยหยางลอบยิ้มขำ ดูท่าทางแผนการนี้จะสำเร็จแล้ว ช่ายยั่นโกรธแล้ว ผลที่ตามมาจึงร้ายแรงอย่างยิ่ง
“กำนัลช่าย คุณฟังพวกเราอธิบายก่อน นี่เป็นแต่อุบัติเหตุจริงๆ หวังว่าคุณจะพิจารณาเรื่องเงินจัดสรรต่อ” จางฝู้กุ้ยตะโกนพลางทำหน้าร้องไห้
ช่ายยั่นกลอกตามองบน พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คุณยังมีแก่ใจพูดเรื่องเงินจัดสรรอีก ก็พวกคุณเป็นซะอย่างนี้ เบื้องบนจะวางใจให้พวกคุณเลี้ยงสัตว์ได้ยังไง วันนี้หากไม่ใช่เพราะเซี่ยหยางอยู่ที่นี่ เกรงว่าฉันคงต้องไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า นี่คือเรื่องที่อันตรายมากเลยนะ พวกคุณเข้าใจถึงผลที่ตามมาบ้างไหม? ตอนนี้ฉันสงสัยแล้วสิว่าที่ฟาร์มของพวกคุณคงจะไม่ดีพร้อมเสียแล้ว คุณสมบัติไม่พอต่อการยื่นคำร้องของเงินจัดสรร”
“อะไรนะ หมายความว่ายังไง กำนัลช่าย ผมไม่เข้าใจ” จางฝู้กุ้ยดูหงุดหงิดงุ่นง่าน
“ยกเลิกสิทธิ์ของพวกคุณ ง่ายๆ แค่นี้แหละ” ช่ายยั่นเดือดดาล
“หา? ไม่ได้นะ กำนัลช่ายคุณทำไม่ได้ คุณลองพิจารณาอีกทีเถอะ” จางฝู้กุ้ยพลันท้อใจขึ้นมาทันที ทรงตัวได้ไม่มั่นคงแล้ว
“ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เอาตามนี้แหละ ฉันยังต้องไปดูงานที่อื่นอีก” ช่ายยั่นพูดอย่างเด็ดขาดเป็นที่สุด
จางฝู้กุ้ยรีบส่งสัญญาณให้หวังหยุนจู้ หวังหยุนจู้ทำหน้าหนาเขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดว่า “กำนัลช่าย คุณก็ช่วยใจกว้างสักครั้งเถอะ อีกอย่าง ตอนนี้ก็ใกล้จะเป็นเวลาอาหารเที่ยงแล้ว คุณจะไปดูงานที่ไหน?”
“ไปเยี่ยมแปลงเพาะปลูกกับสระน้ำของเซี่ยหยาง อาหารเที่ยงฉันอาจจะอยู่กินที่ร้านเขา พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ มีเวลาว่างแบบนี้ ทำไมพวกคุณไม่ไปจัดการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของพวกคุณให้ดีๆ ฉันไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก” ช่ายยั่นพูดพลางมองเซี่ยหยาง จากนั้นก็พยักหน้าให้
เซี่ยหยางถือโอกาสพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมจะสั่งให้คนไปจัดการ กำนัลช่ายเชิญทางนี้”
“อืม พวกเราไป” พอช่ายยั่นโบกมือ ข้าราชการกลุ่มนั้นก็มองหน้ากัน กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่เดินตามช่ายยั่นไป
เซี่ยหยางหันกลับไปจงใจมองจางฝู้กุ้ยกับหวังหยุนจู้ พบว่าพวกเขาเหมือนกับไก่ตัวผู้ที่ชนแพ้อย่างไรอย่างนั้น ทำอะไรไม่ถูกโดยสิ้นเชิง จึงอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “โธ่ น่าเสียดายจริงๆ เลย เงินจัดสรรกำลังจะถึงมืออยู่แล้วแท้ๆ ได้ยินว่ามากกว่าหนึ่งล้านเชียวนะ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”
“แก แกมันไอ้คนอวดดี แกคิดจะมาเยาะเย้ยเราใช่ไหม?” จางฝู้กุ้ยกัดฟันพูด
“ผมไม่ได้เยาะเย้ยพวกคุณ แต่มีคำหนึ่งบอกว่าเดินหมากผิดตัวเดียวล้มทั้งกระดาน” เซี่ยหยางพูดจบ ก็หมุนตัวจากไป
หวังหยุนจู้กับจางฝู้กุ้ยสบตากัน หน้าดำหน้าแดงอย่างร้อนใจ
“พวกแกออกมากันให้หมดเดี๋ยวนี้” จางฝู้กุ้ยไม่มีที่ให้ระบายความโกรธ จึงตะโกนเรียกคนงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ให้ออกมา ก่อนจะเปิดปากด่าว่า “พวกแกมันโง่ไปหมดแล้วหรือไง สุนัขตัวเดียวก็ดูแลกันไม่ได้ ไป จับสุนัขทั้งหมดมาที่นี่เดี๋ยวนี้”
“เถ้าแก่จาง นี่คุณจะทำอะไร?” หวังหยุนจู้ถามอย่างไม่เข้าใจ
“กูจะฆ่าไอ้เดรัจฉานเหล่านี้น่ะสิ ทำลายเรื่องใหญ่ของกู อุตส่าห์ลำบากลำบนเตรียมมานานขนาดนี้ ดันมาคว้าน้ำเหลวเสียได้ กูโมโหจะตายอยู่แล้ว” จางฝู้กุ้ยพูดอย่างไม่ยินยอม
หวังหยุนจู้รีบโน้มน้าวว่า “เถ้าแก่จาง ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย ต่อให้ไม่ได้เงินมา พวกเราก็ยังไม่แพ้สักหน่อย ยังสามารถสู้กับเซี่ยหยางต่อไป”
“สู้ยังไง? ไหนคุณลองพูดมาสิ” ความโกรธของจางฝู้กุ้ยสลายหายไปหมด
“ผมว่า ทำไมไม่เอาแบบนี้ล่ะ……” หวังหยุนจู้พูดอย่างนั้นอย่างนี้
จางฝู้กุ้ยนิ่งคิด จากนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว เอาตามนี้แล้วกัน”
ตอนที่พวกเขาหารือกัน บางทีอาจไม่คาดคิดว่า เวลานี้มีเงาร่างร่างหนึ่งค่อยๆ ย่องออกจากที่ซ่อนตัวบริเวณใกล้ๆ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
“ทำคนร้อนใจแทบตาย พวกคุณบอกหน่อยสิว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ ตอนแรกฉันยังคิดจะมอบเงินจัดสรรให้จางฝู้กุ้ย โชคดีที่ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น” ช่ายยั่นทางหนึ่งเดิน ทางหนึ่งก็กำลังก่นด่าไปด้วย
ข้าราชการเหล่านั้นที่เดินตามมาไม่กล้าส่งเสียง เพราะอย่างไร้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี กังวลว่ายิ่งถมจะยิ่งดำ ในบรรดาพวกเขามีสองสามคนที่ได้รับผลประโยชน์จากจางฝู้กุ้ย ตอนนี้เสียเรื่องแล้ว ในใจพวกเขาเองก็กลุ้มใจเช่นกัน
เซี่ยหยางย่อมคำนวณอยู่ในใจ กล่าวปลอบว่า “กำนัลช่ายไม่ต้องโกรธแล้ว โกรธไปทำไมกัน คุณเองก็เปลี่ยนมุมมองความคิดได้นี่ นี่ก็นับว่าเป็นความโชคดีในโชคร้ายแล้ว เหมือนอย่างที่คุณพูด หากไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ คุณก็คงมอบเงินจัดสรรไปแล้ว พอถึงเวลานั้นเกิดเรื่องขึ้นมา เสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว”
“ที่คุณพูดมาไม่ผิด เฮ้อ ดูท่าฉันงคงต้องไปค้นหาโครงการอื่นเพื่อมอบเงินจัดสรรให้แล้วสิ” ช่ายยั่นมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดว่า “จริงสิ เซี่ยหยาง ทำไมไม่ไปดูที่แปลงปลูกของคุณล่ะ ฉันรู้สึกว่าทางคุณยังไว้ใจได้มากกว้า”
“นี่ไม่ค่อยดีมั้ง สะดวกเหรอ?” เซี่ยหยางจงใจพูดด้วยความเกรงอกเกรงใจ อันที่จริงในใจลองยินดี
“แน่นอน ไปเดี๋ยวนี้เลย” ช่ายยั่นเองก็ไม่รอช้า โบกมือส่งสัญญาณให้พวกข้าราชการตามไป
ข้าราชการเหล่านั้นมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจ แต่ได้แต่เดินตามไปอย่างไร้อารมณ์
คราวนี้ถึงตาเซี่ยหยางแสดงฝีมือบ้าง ที่ดินในแปลงนี้ไม่เพียงทิวทัศน์จะดีอย่างยิ่ง ยังสามารถชิมผลไม้อร่อยๆ ได้อีกด้วย ยังมีดอกไม้กลิ่นหอม ทำให้คนจิตใจชื่นบาน ทั้งอิ่มท้องทั้งอิ่มสายตา พูดได้ว่าสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่ช่ายยั่นกินมะเขือเทศลูกที่สองเสร็จ อันที่จริงเธอยังอยากกินอีก กลับกินไม่ไหวแล้ว จึงปิดปากเล็กๆ กล่าวขึ้นด้วยความพออกพอใจว่า “เซี่ยหยางคะ ผลไม้ในที่ของคุณแตกต่างจากที่อื่นจริงๆ คราวก่อนหลังงานชุมนุมแลกเปลี่ยน คนส่วนใหญ่ต่างประทับใจในตัวคุณอย่างมาก ฉันเชื่อในสายตาของตัวเอง เรื่องเงินจัดสรรนี่ คุณควรจะได้ไปนะ
“จริงเหรอ เยี่ยมไปเลย ขอบคุณครับกำนัลช่าย” เซี่ยหยางแย้มปากเป็นรอยยิ้ม ที่ทำมาช่างไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ
แต่พวกข้าราชการที่อยู่ด้านข้างไม่ยินดี รู้สึกว่าผลประโยชน์ตรงนี้จะถูกเซี่ยหยางชิงไปได้ยังไง มีข้าราชการบางคนเอ่ยขึ้นว่า “กำนัลช่าย เรื่องนี้ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนหรือเปล่า พวกเราเพิ่งจะมาไม่นาน ไม่รีบร้อนไปหน่อยเหรอ?”
“พวกคุณก็เห็นแล้ว กินแล้ว พูดอย่างคนมีมโนธรรม โครงการนี้ของเซี่ยหยางไม่ดีหรอกหรือ อีกอย่าง ข้อมูลเหล่านั้นก็สามารถบอกถึงปัญหาได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญที่สุดคือ โครงการของเขาเหมาะแก่การเผยแพร่ แต่ละครัวเรือนต่างมีแปลงเกษตร สามารถมาเรียนรู้เทคนิคการเพาะปลูกแบบใหม่กับเซี่ยหยางได้ทุกเมื่อ สามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว โครงการแบบนี้ หากไม่จัดสรรเงินให้ หรือจะให้ไปหาคนอย่างจางฝู้กุ้ยใช่ไหม เงินทุนที่ต้องใช้ในการเลี้ยงสัตว์ค่อนข้างมาก เดิมทีก็ไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง”
“แต่ว่า……”
“ไม่มีแต่ว่าแล้ว เดิมทีฉันคิดจะรวบรวมข้อมูลของสองโครงการนี้ของเซี่ยหยางและจางฝู้กุ้ยขึ้นมา เงินจัดสรรและเงินอุดหนุนบางส่วนล้วนสัมพันธ์กัน จางฝู้กุ้ยไม่มีความสามารถเอง ดังนั้นเงินจัดสรรทั้งหมดสำหรับหมู่บ้านนี้ควรมอบให้เซี่ยหยางเป็นคนดูแล หากพวกคุณมีความคิดเห็นใดๆ ก็เสนอมาได้เลย “ช่ายยั่นพูดจาฉะฉาน ท่วงท่าโดดเด่น และมีสไตล์ความเป็นผู้นำ
ช่ายยั่นพูดแบบนี้ ใครจะกล้าพูดอะไรอีก หากพูดถึงจางฝู้กุ้ยอีกครั้ง นั่นไม่เท่ากับว่าหาเรื่องให้ตัวเองเผยธาตุแท้ออกมาหรอกหรือ เดี๋ยวจะถูกสงสัยว่ารับผลประโยชน์มาพอดี ดังนั้นจึงรีบหุบปากทันที
“ไม่มีความเห็นแล้วสินะ เซี่ยหยางคุณตามฉันมา” ช่ายยั่นมองไปรอบๆ จากนั้นสายตาก็จ้องเขม็งไปที่เซี่ยหยาง