เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 150
บทที่ 150 ของขวัญชิ้นหนึ่ง
“กรี๊ดดดดดด”
ทั้งงานถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของผู้หญิงเท่านั้น
ไฟลุกไหม้อยู่บนใบหน้าของซ่งชิงหมิง ภาพตรงหน้าทำให้ทุกคนสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ราวกับผู้นำของตระกูลต่างๆ เสียงหายไปพร้อมกัน พวกเขาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
พวกเขาไม่เข้าใจว่าถังเฉาไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าทำร้ายญาติสายตรงของตระกูลซ่ง
“คุณชาย!”
คนในตระกูลซ่งทำอะไรไม่ถูก ขนาดบอดี้การ์ดของตระกูลซ่งก็ไม่สนใจเรื่องจับตัวถังเฉา พวกเขาเข้ามาช่วยชีวิตซ่งชิงหมิงเอาไว้ก่อน
มีเพียงซ่งหมิงเวยเพียงคนเดียวที่มองถังเฉาด้วยแววตาวูบไหว
การที่มาก่อเรื่องในถิ่นตระกูลซ่ง ถือว่าเป็นการตบหน้าตระกูล แต่ถ้าหากมาทำร้ายคนในตระกูลซ่ง มันเท่ากับว่าเปิดศึกชัดๆ !
แต่ทว่าสีหน้าของถังเฉายังคงนิ่ง มองไม่เห็นความกลัวแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นตระกูลซ่งอยู่ในสายตา
“ชิงหมิง!”
จู่ๆ ก็มีเสียงน้ำเสียงเจ็บปวดของคนมีอายุดังขึ้น
ทุกคนพากันหันไปมอง เห็นชายชราผมหงอกที่สวมเสื้อคอจีนสีดำกำลังวิ่งกุลีกุจอเข้ามา เขาคือซ่งสวินผู้นำตระกูลซ่ง
ถังเฉายิ้มอย่างเย้ยหยัน พูดออกมาด้วยเสียงก้องกังวานว่า “จำฉันได้หรือเปล่า หมาแก่ซ่งสวิน!”
ซ่งสวินโกรธจนตาถลึง ไม่เคยมีใครมาเรียกเขาว่า ‘หมาแก่’
แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นถังเฉา ความสงสัยก็กลายเป็นความตกตะลึง เขาถอยกรูดไปข้างหลัง
ชายชราชี้ถังเฉาแล้วพูดว่า “กะ..แก ถังเฉา?”
“เรื่องที่ตระกูลซ่งทำกับฉันในตอนนั้น ฉันจำได้แม่นทุกเรื่อง”
ถังเฉาแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ตอนแรกกะว่าจะมาหาให้ช้ากว่านี้หน่อย แต่ว่าพวกแกรนหาที่ตายเอง จะโทษฉันไม่ได้นะ…”
ซ่งสวินโกรธมาก ไม่รู้ว่าถังเฉากำลังพูดเรื่องอะไร ขณะนั้นเสียงร้องอันเจ็บปวดของซ่งชิงหมิงก็ดังขึ้น
“ปู่ ช่วยผมด้วย!”
ซ่งสวินไม่มีเวลาไปสนใจถังเฉา เขาโมโหจนเลือดขึ้นตา “พวกแกยืนบื้ออะไรอยู่ รีบไปเอาน้ำมาเร็ว!”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งไปเอากะละมังน้ำเย็นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สาดไปที่หน้าของซ่งชิงหมิง
ซ่าาาาาา…
น้ำดับไฟจนหมด แต่ทว่าใบหน้าของซ่งชิงหมิงมีไอน้ำลอยออกมา มันเป็นไอน้ำที่เกิดจากการที่น้ำเจอกับความร้อน
ใบหน้าของเขาโดนเผาจนเป็นสีดำ ผิวหนังและเนื้อเยื่อถูกทำลายจนเสียหายทั้งหมด
“ปู่อยู่ไหน…”
ใบหน้าของซ่งชิงหมิงเสียหายทั้งหมด เขายื่นมือออกมาหาปู่
“ชิงหมิง ปู่อยู่นี่”
ซ่งสวินจับมือของซ่งชิงหมิงเอาไว้ ซ่งชิงหมิงกอดปู่เอาไว้แน่น เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ปู่ ผมอยากให้มันตาย ผมอยากให้มันรู้สึกเหมือนตายดีกว่ามีชีวิตอยู่…”
เมื่อเห็นสภาพน่ากลัวของหลานชาย ความอาฆาตในใจของซ่งสวินก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาไม่เคยเกลียดใครขนาดนี้มาก่อน
“ถังเฉา!”
ซ่งสวินหันกลับไปจ้องถังเฉา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถึงแกจะไม่มุดหัวเอาชีวิตต่ำๆ ของแกให้อยู่ต่อไปก็ช่าง คิดไม่ถึงว่าแกจะกล้าบุกเข้ามาทำร้ายหลานชายของฉันถึงที่นี่!”
ไม่เพียงแค่ซ่งสวินที่โกรธ คนในตระกูลซ่งคนอื่นๆ ก็ทั้งโกรธและตกใจเช่นกัน
พวกเขาคิดว่าถังเฉาก็แค่กลับมาที่เมืองหมิงจูอีกครั้งหลังจากผ่านไปห้าปี ยังไงเขาก็คือสวะ จะมาต่อกรกับตระกูลยิ่งใหญ่อย่างตระกูลซ่งได้อย่างไร
มีเพียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ทอดมองมายังถังเฉา เขาคือซ่งเต้าหลิงพ่อของซ่งเทียนซาน
ถังเฉาส่งสายตาบอกให้ฟางหย่ารีบออกไปจากที่นี่ ฟางหย่าอยากจะปฏิเสธ แต่ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวบนตัวของถังเฉา เธอกัดริมฝีปากและออกไปจากที่นี่
หลังจากที่ฟางหย่าไป ถังเฉาจึงไม่ต้องห่วงอะไรอีก เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นยะเยือก “พวกแกทำอะไรผิดไปเรื่องหนึ่งหรือเปล่า”
ถังเฉาเงียบและพูดต่อ “ห้าปีก่อน ฉันยอมให้พวกแกทำอะไรฉันก็ได้ แต่หลังจากผ่านมาห้าปี คนที่เป็นเนื้อบนเขียงก็คือพวกแก!”
ซ่งสวินโกรธและแสยะยิ้มออกมา “แกมันก็แค่สวะกระจอกในตระกูลหลิน เป็นแค่ทหารโง่ๆ มาห้าปี กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้”
ได้ยินเช่นนั้น ถังเฉาจึงยิ้มบางๆ “แกต้องการความกล้าเหรอ ได้ ฉันจะให้แก”
พูดจบ ร่างของถังเฉาก็หายวับไป และไปปรากฏตัวต่อหน้าของซ่งสวินราวกับผี เขาจับคอของชายชราเอาไว้ และยกตัวขึ้นจนลอยจากพื้น
“ปู่!”
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า คนในตระกูลซ่งตกใจจนแทบจะหยุดหายใจ เขากลัวว่าถังเฉาจะโกรธจนหักคอปู่
ซ่งสวินก็ตกใจจนหน้าซีดและตัวสั่นเทา
“นี่เป็นแค่หนึ่งในความกล้าของฉันเท่านั้น”
แววตาอาฆาตของถังเฉาพลุ่งพล่าน เขาหรี่ตามองซ่งสวิน “ยอมหรือยัง”
“ยอม..ยอมแล้ว…”
ซ่งสวินยอมแพ้ เขาใช้แรงเค้นคำพูดออกมาจากลำคอ
ถังเฉาบีบคอซ่งสวินและโยนออกไป คนในตระกูลซ่งตกใจและวิ่งมารีบตัวของปู่เอาไว้ ไม่งั้นคนอายุแปดสิบอย่างปู่จะต้องตายอย่างแน่นอน
ถังเฉานั่งลงตรงที่เดิมอีกครั้ง แต่ทว่าบรรยากาศในงานมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
คนที่มีอำนาจในนี้คือถังเฉา เขากวาดตามองผู้นำตระกูลที่อยู่ในงานทีละคน สายตาของเขาหยุดลงที่หวางหมิ่นเหมินกับจ้าวลิ่ว เขามองทั้งสองคนอยู่นาน
ขณะนั้นเอง หวางหมิ่นเหมินกับจ้าวลิ่วก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว พวกเขาตกใจจนหน้าซีดและตัวสั่นเทา
ขณะที่คนในตระกูลซ่งกำลังประคอง ซ่งสวินเอามือกุมหน้าอก หายใจเข้าออก เพื่อตั้งสติ
ผ่านไปนาน เขาจึงตั้งสติได้ สายตาของชายชราที่มองถังเฉาแปรเปลี่ยนไป “แกจะทำอะไรกันแน่ถังเฉา อีกเดี๋ยวซ่งหรูอี้จะมาถึงแล้ว!”
จนถึงตอนนี้ ความหวังของเขาคงจะอยู่ที่ซ่งหรูอี้แล้ว
พวกเขายังคงเชื่อในสิ่งเดียว เมื่อห้าปีก่อนซ่งหรูอี้สามารถทำให้ถังเฉาอยู่ตรงหน้าเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ผ่านมาห้าปีเธอก็ต้องทำได้เหมือนเดิม!
“ซ่งหรูอี้เหรอ…”
ถังเฉาแสยะยิ้มเยาะเย้ย “คนที่ฉันรอก็คือเธอ แต่ก่อนที่เธอจะมา ฉันก็ถือโอกาสจัดการเรื่องอื่นไปก่อน”
“เรื่อง..เรื่องอะไร”
ซ่งสวินจ้องถังเฉาเขม็ง ไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
“ก่อนที่ฉันจะบอกแก ฉันขอถามแกเรื่องหนึ่ง”
ถังเฉาหรี่ตาลง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ซ่งเทียนซานเป็นหลานของแกสินะ”
“ใช่!”
ซ่งสวินตอบอย่างไม่คิด แต่เขากลับรู้สึกใจโหวงแปลกๆ
เทียนซานหายไปจะเกือบวันแล้ว โทรก็ไม่ติด ขนาดผู้ดูแลบ้านก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปไหน
“งั้นก็ดี”
ถังเฉาถามขึ้นต่อ “มันให้คนมาลักพาตัวภรรยาของฉัน แต่กลับลักพาตัวผิดคน แกรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนในตระกูลซ่งต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี ซ่งสวินขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ภรรยาของแกคือใคร”
“แกไม่ต้องรู้หรอก”
ถังเฉาแววตาเย็นชา “แกตอบว่ารู้เรื่องนี้หรือไม่ก็พอ!”
คำสั่งของถังเฉา ทำให้ซ่งสวินไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก แต่เขาส่งเสียงหึออกมา “แกเป็นยังไงคู่ครองของแกก็เป็นแบบนั้น สวะอย่างแกแต่งเมียก็คงไม่ใช่คนดีอะไร เทียนซานชอบเมียของแก ถือว่าเป็นวาสนาของเมียแก แกไม่สำนึกบุญคุณก็ช่าง แต่กล้าดียังไงมาก่อเรื่องที่นี่!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังเฉาพยายามควบคุมอารมณ์โกรธอย่างยากเย็น ถ้าเขาโดนยั่วโมโหอีกครั้ง ต้องรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้แน่นอน!
“คนเลวๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกัน หลานเป็นยังไงปู่ก็เป็นอย่างนั้น!”
เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็ไม่เกรงใจแล้ว เฟิ่งหวง เอาของขวัญมาให้ตระกูลซ่ง!”
“ค่ะ!”
เฟิ่งหวงก็แสยะยิ้มเช่นกัน เธอเดินออกไปในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง
หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที เธอจึงเดินกลับมา
แต่ทว่าในมือของเธอกำลังลากใครบางคนเหมือนลากสุนัข
อีกทั้งบนตัวของคนคนนั้นเต็มไปด้วยเลือด เลือดเป็นทางยาวตามที่เธอลากมา
ผัวะ
เฟิ่งหวงโยนร่างนั้นไปตรงหน้าซ่งสวินเหมือนทิ้งขยะ
“พวกแกเบิกตาดูสิ ว่ามันคือใคร!” ถังเฉาพูดออกมาด้วยเสียงก้องกังวาน
เมื่อเห็นใบหน้าของคนคนนั้น ซ่งสวินถึงกับเบิกตาโพลง เขาอุทานออกมา
“เทียนซาน!”