เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 213
ต้องบอกว่า ผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ
มีสาวสวยอยู่ข้างกายถังเฉาจำนวนไม่น้อย หลินชิงเสว่เย็นชาและเย่อหยิ่ง เจียงไป๋เสว่โดดเดี่ยวราวกับหิมะ ซ่งหรูอี้สูงส่งและมีอำนาจ ฟางหย่าอ่อนโยน แต่ละคนมีข้อดีของตัวเอง แต่ว่าจ้าวเย็นหรานคนนี้ก็เพียงพอที่จะเข้ามาอยู่ในห้าอันดับแรก
นอกจากนี้ยังแตกต่างจากพวกเธอ ในแง่ของรูปร่าง จ้าวเย็นหรานไม่ได้ด้อยกว่าพวกเธอเลย และยังมีความกระตือรือร้นในการแสดงออกโดยไม่ปิดบังอะไรแบบที่พวกเธอไม่มี —-ผู้หญิงประเภทนี้มักจะดึงดูดความสนใจของผู้ชายได้มากที่สุด
ดูคนก่อนดูเสื้อผ้า ผู้หญิงจะสวยหรือไม่ ต้องดูก่อนว่าสามารถควบคุมเสื้อผ้าแบบไหนได้ และในข้อนี้สไตล์การแต่งตัวของจ้าวเย็นหรานและการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา ล้วนแต่กระตุ้นดวงตาของถังเฉา
ผู้หญิงอย่างจ้าวเย็นหรานคือแบบที่ผู้ชายรักและผู้หญิงเกลียดนั่นเอง
นี่ยังไงล่ะ ถังเฉายังไม่ทันเปิดปาก หลินฉ่ายเวยเป็นฝ่ายพูดอย่างไม่พอใจก่อนเลยว่า : “ใครบอกว่าไม่มีคนแล้ว ฉันไม่ใช่คนเหรอไง?”
สายตาของจ้าวเย็นหรานถึงได้มองเห็นหลินฉ่ายเวย เธอยิ้มหวานแล้วพูดว่า : “ไม่นับเธอสิ เธอนับแค่ครึ่งเดียว”
“คุณพูดว่าอะไรนะ?”
ด้วยความโกรธดวงตาของหลินฉ่ายเวยเบิกกว้างแล้วจ้องเขม็งไปที่จ้าวเย็นหราน
เธอไม่เข้าใจว่าอะไรคือครึ่งเดียว แต่เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่คำที่ดีอย่างแน่นอน
บวกกับไม่พอใจที่ถูกเปรียบเทียบกับนิ้วกลางตั้งแต่ครั้งแรก หลินฉ่ายเวยจึงไม่ชอบเธอจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ทำไมเหรอ โดนพูดแทงใจเลยไม่พอใจงั้นเหรอ?”
จ้าวเย็นหรานหัวเราะ เธอดูสวยงามยิ่งกว่าดอกไม้ : “งั้นเธอบอกมาสิว่า เธอจะสามารถนับว่าเป็นคนได้ยังไง —-เมื่อคุณที่อยู่ข้างนอกเอาแต่สร้างปัญหาอยู่เสมอ ไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวคนเดียว แม้แต่ขับรถยังทำไม่ได้เลย”
“คุณ—-”
หลินฉ่ายเวยทนฟังการพูดฉีกหน้าได้ที่ไหนกัน ทันใดนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“พอได้แล้ว”
ถังเฉาโบกมืออย่างปวดหัวเพื่อยุติการทะเลาะที่ไม่มีสาระอะไรเลยของหญิงสาวทั้งสองคน : “คุณหนูจ้าว ขอบคุณมากที่เข้ามาช่วย ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ควรกลับบ้านนอนได้แล้วนะครับ”
เมื่อจ้าวเย็นหรานได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอหยุดหัวเราะคิกคักในทันทีแล้วพูดอย่างจริงจังว่า : “ฉันมาหาคุณ เพราะมีธุระจริงๆ ถึงแม้ว่าคืนนี้คุณไม่โทรหาฉัน อีกไม่กี่วัน ฉันก็ต้องไปหาคุณอยู่ดี”
“มีเรื่องอะไร?” ถังเฉาเหล่ตามองเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม
จ้าวเย็นหรานเหลือบมองหลินฉ่ายเวยที่อยู่ข้างๆด้วยท่าทางลังเล
ถังเฉาหันไปมองทางหลินฉ่ายเวยทันที : “ฉ่ายเวย ผมจะให้เฟิ่งหวงไปส่งคุณกลับบ้านนะ”
ในใจของหลินฉ่ายเวยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย มีอะไรที่ฉันฟังด้วยไม่ได้ใช่ไหม?
กำลังจะพูดอย่างไม่พอใจ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับเขานั้นแย่ลงกว่าเดิมมาก
ในตอนนี้เอง หลินฉ่ายเวยกัดริมฝีปากแน่น แล้วพูดอย่างประณีประณอมว่า : “งั้นก็ได้ค่ะ”
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเตือนว่า : “อย่าลืมแล้วกันว่าคุณแต่งงานแล้ว”
ถังเฉากลืนไม่เข้าคายไม่ออก : “ข้อนี้ ผมเข้าใจดีกว่าใครๆ”
ถึงแม้ว่ากำลังยิ้มอย่างขมขื่น แต่จ้าวเย็นหรานกลับรู้สึกได้ว่าถ้าอยากจะเดินเข้าไปในใจของผู้ชายคนนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ……
แต่เธอไม่ได้พูดอะไรเลยเช่นกัน ยังไงก็ยังมีเวลาอีกมาก จนหลังจากที่เฟิ่งหวงส่งหลินฉ่ายเวยออกไปแล้ว
จ้าวเย็นหรานจึงได้พูดอย่างเคร่งขรึมกับถังเฉาว่า : “ไอ้แก่นั้น อาจจะลงมือกับพี่ชายของฉันเร็วๆนี้”
“จ้าวลิ่วกับเย่เทียนหลงงั้นเหรอ?” ถังเฉาเอ่ยถามด้วยใจจดจ่อเล็กน้อย
จ้าวเย็นหรานพยักหน้า : “ถึงแม้ว่าทั้งตระกูลจ้าวและตระกูลเย่จะลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพและจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในวงกว้าง แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วยังไงเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น—-เสือที่เป็นพี่ชายของฉันยังเดินออกมาจากตระกูลจ้าวแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ถังเฉาขมวดคิ้วลึกยิ่งขึ้น ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นเย่เทียนหลงกับจ้าวเย็นหรานมีท่าทางที่สนิทสนมกันมาก เขารู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ปกติ
จ้าวเย็นหรานเงียบไปนาน ทันใดนั้นภายในดวงตาก็มีประกายของความเกลียดชังแล้วพูดว่า : “คาวมจริงแล้ว บอกคุณอย่างไม่ปิดบังเลยนะ พี่เทียนหลง เดิมทีเขาเป็นคนของตระกูลจ้าว แล้วก็เป็นหนึ่งในลูกนอกสมรสของไอ้แก่สารเลวนั่นด้วย”
“พูดต่อไป”
ในดวงตาของถังเฉาเป็นประกายเจิดจ้า จากบทสนทนาของทั้งคู่ก่อนหน้านี้สามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลย เป็นความจริงที่เย่เทียนหลงออกจากตระกูลจ้าวแล้ว
“ถึงแม้ว่าพี่เทียนหลงเองก็เป็นลูกนอกสมรส แต่ว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ตอนเป็นเด็กไม่ว่าฉันจะเกลียดเขามากแค่ไหน เขายังปฏิบัติต่อฉันอย่างดี เขาจะยืนอยู่หน้าฉันเป็นคนแรกเสมอเมื่อเกิดเรื่อง ถึงแม้จะพูดทุบตีจนเป็นแผล แต่ก็ไม่เคยพร่ำบ่น”
ท่าทางของจ้าวเย็นหรานเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าอย่างมาก : “เดิมทีครอบครัวของฉันอาจจะเป็นครอบครัวที่มีความสุข แต่ทั้งหมดต้องโทษชายแก่คนนั้น ตัณหาแก้ยาก แม่ของฉันต้องตรอมใจตายตั้งแต่ฉันยังเด็ก”
“เขาคนเดียว ทำลายครอบครัวหลายครอบครัว!”
คำพูดต่อมา สายตาของจ้าวเย็นหรานเปลี่ยนเป็นรุนแรงมากในชั่วพริบตา น้ำเสียงมีความเคียดแค้นอย่างลึกซึ้งปนอยู่
ถังเฉาเงียบงันไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาเช่นกัน
จริงๆแล้ว ถ้ามีคนหนึ่งนอกใจ สองครอบครัวก็จะถูกทำลาย ไม่ต้องพูดจ้าวลิ่วที่หวานเมล็ดพันธุ์ไปทั่วแบบนี้เลย
“แม่ของพี่เทียนหลงเป็นกุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ แต่ไอ้แก่นั่นต้องตาต้องใจเธอ เขาถึงกับฆ่าพ่อของพี่เทียนหลงเพื่อให้ได้ตัวเธอมา”
จ้าวเย็นหรานพูดต่อไปว่า : “ต่อจากนั้นมา แม่ของพี่เทียนหลงต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดและการกดขี่ข่มเหงจากเขา หลังจากให้กำเนิดพี่แล้วก็เกิดอาการหดหู่และฆ่าตัวตาย”
“ในตอนนั้น พี่เทียนหลงเพิ่งจะอายุได้เพียงสามขวบ ต้องมองเห็นแม่ตัวเองแขวนคอตายต่อหน้า พี่เทียนหลงจดจำความเกลียดชังนี้มาโดยตลอด ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ในตระกูลจ้าวที่อันตรายราวกับเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ เขาก็หากลยุทธ์ที่จะทำให้ศิลปะการต่อสู้แข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย”
ถังเฉาพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ที่แท้นี่คือความจริงของฝีมือการต่อสู้ที่ดีของเย่เทียนหลง
“ฉันกับพี่เทียนหลงเป็นคนประเภทเดียวกัน ดังนั้นพวกเราสองคนจึงอยู่ใกล้กันมาก และคิดตั้งนานแล้วว่าจะแก้แค้นให้แม่อย่างไร แต่ว่าตอนนั้นตระกูลจ้าวแข็งแกร่งว่าตอนนี้มาก พึ่งพาเพียงแค่เราสองคนย่อมเป็นไปไม่ได้”
“แล้วเย่หลงเทียนผู้นั้นแยกตัวจากตระกูลจ้าวไปก่อตั้งตระกูลเย่ได้ยังไง?” ถังเฉาถามอย่างสงสัย
ตระกูลเย่ในตอนนี้ ไม่ได้อ่อนแอกว่าตระกูลจ้าวเลย เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าการพึ่งพาเพียงแค่เย่หลงเทียนนั้นไม่เป็นความจริง
“พี่เทียนหลงสามารถออกจากตระกูลจ้าวได้และก่อตั้งตระกูลเย่เพราะมีโอกาสใหญ่สองอย่าง”
สายตาของจ้าวเย็นหรานเคร่งขรึมอย่างมากและพูดด้วยสายตาที่จริงจัง: “หนึ่งเพราะได้พบกับคนของสำนักMars”
“สำนักMarsงั้นเหรอ?”
สีสันแห่งความตื่นตะลึงได้ระเบิดขึ้นในดวงตาของถังเฉาอย่างฉับพลัน อู่ตงหยางหนึ่งในเจ็ดที่บ้าวรยุทธ์ของเซี่ยกั๋วชีชือเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ เขาได้ส่งเสริมศาสตร์ศิลปะการต่อสู้บางอย่างที่ก่อตั้งโดยถังเฉาและเดินทางไปทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อว่า “Mars”
ปัจจุบันมีลูกศิษย์จำนวนมากในประเทศ แม้กระทั่งมีการก่อตั้งศิลปะการต่อสู้ในสถานที่ต่างๆ โดยที่เมืองหมิงจูเองก็มีเช่นกัน
ดวงตาของเขาที่มองจ้าวเย็นหรานนั้นจริงจังเป็นอย่างยิ่งแล้วถามว่า : “เย่เทียนหลงเข้าร่วมสำนักMarsแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
นี่เป็นคำถามที่สำคัญมาก ถ้าหากว่าเย่เทียนหลงเข้าร่วมสำนักMarsก็จะเป็นลูกศิษย์ของถังเฉาและตัวเขาย่อมต้องคอยปกป้องโดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม จ้าวเย็นหรานได้ส่ายหัว : “เปล่าค่ะ พี่เทียนหลงเพียงแค่ได้พบกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์ของบ้าบู๊เท่านั้น เขาได้ชี้แนะเคล็ดลับหลายๆอย่าง ทั้งยังชี้หนทางสว่างให้กับพี่เทียนหลงแล้วก็จากไปเลย”
“งั้นเหรอ……”
ได้ยินดังนี้ถังเฉาหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
ยังจำได้ว่า ตอนที่ถังเฉากับเย่เทียนหลงพบกันครั้งแรกก็เรียกเขาว่า “ท่านบ้าบู๊” แล้ว
“แล้วโอกาสที่สองล่ะ?” ถังเฉาถามอีกครั้ง
จ้าวเย็นหรานพูดว่า : “ พี่เทียนหลงเชื่อฟังคำพูดลูกศิษย์บ้าบู๊คนนั้น รวบรวมเคล็ดลับการต่อสู้ทั่วทุกที่แล้วฝึกฝนอย่างหนัก ความแข็งแกร่งของเขาจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญของตระกูลจ้าว”
“ในเวลานั้น กองกำลังใต้ดินของเมืองหมิงจู นอกจากตระกูลจ้าวแล้ว ยังมีตระกูลเม่ง พี่เทียนหลงตอบรับและร่วมมือทั้งนอกและใน เขารวมกลุ่มกับผู้นำตระกูลเม่ง ทำลายล้างตระกูลอย่างหนัก ในทางกลับกันยังได้ฆ่าผู้นำตระกูลเม่งแล้วยึดตระกูลเม่งมาเป็นของตัวเอง”
“พี่เทียนหลงได้ตักตวงผลประโยชน์บนฐานรากของตระกูลเม่ง แล้วใช้นามสกุลแม่เขาก่อตั้งตระกูลเย่ขึ้น เขายังทรยศต่อตระกูลจ้าว เปลี่ยนชื่อจากจ้าวเทียนหลงเป็นเย่เทียนหลงอีกด้วย!”