เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 276
บริษัทการบันเทิงเฉาเหอมาจากชื่อตัวสุดท้ายของถังเฉากับถังชิงเหอ มีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวมันเอง
ถังเฉาเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพูดออกมาว่าเห็นด้วยกับชื่อนี้
สะสางเรื่องราวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างพากันแยกย้ายกลับไป แต่จ้าวเย็นหรานกับอาจารย์เปายังไม่กลับ ถังเฉาหรี่ตาลงแล้วถามว่า “ยังมีธุระอะไรอีกไหม”
จ้าวเย็นหรานบอกให้ลูกน้องออกไป เธอมองอาจารย์เปาและให้อาจารย์เปาเป็นฝ่ายพูดก่อน
อาจารย์เปาไม่ปฏิเสธ อีกอย่างเรื่องของเขาก็ไม่ใช่ความลับอะไร
เขายิ้มแล้วพูดว่า “คุณถังเฉา ยังจำเรื่องที่ผมคุยกับคุณเมื่อนานมาแล้วได้ไหม งานด้านศิลปะการต่อสู้น่ะครับ”
ถังเฉาพยักหน้า
อาจารย์เปารีบเอาบัตรเชิญสีแดงออกมา “มันจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้อีกไม่กี่วัน นี่คือบัตรเชิญ”
ถังเฉามองแวบหนึ่งก็หัวเราะออกมาเบาๆ “นี่คือสิ่งที่คุณจะพูดเหรอ หรือเป็นเรื่องของนายกสมาคม”
“คุณถังเฉา นี่คือสิ่งที่นายกสมาคมจะบอกครับ”
อาจารย์เปาตอบด้วยความหวาดระแวง ถ้าจะให้เรียกว่าบัตรเชิญ สู้เรียกว่าสารท้ารบดีกว่า
“แม้ว่านายกสมาคมจะได้รับการเคารพจากผู้แข็งแกร่ง แต่คุณถังเฉาไม่ใช่คนในสมาคมของผม และทำร้ายผู้มีฝีมือในสมาคมจนสาหัส ทำให้นายกสมาคมโกรธมาก”
“แต่ว่า นายกสมาคมไม่ต้องการที่จะสะสางเป็นการส่วนตัว เขาจึงใช้งานนี้เพื่อขู่ว่าจะทำให้คุณถังเฉาพ่ายแพ้!”
ถังเฉามองบัตรเชิญแวบหนึ่ง จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ
“กลับไปบอกนายกสมาคมของคุณว่าผมจะร่วมงานนี้ แต่ผมขอพูดแบบน่าเกลียดไว้ก่อนว่าถึงคนในงานศิลปะการต่อสู้ร่วมมือกัน สำหรับผมแล้วมันก็แค่เรื่องจิ๊บจ๊อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวเย็นหรานที่ยืนอยู่อีกด้านถึงกับเบิกตาโพลง ขนาดคำท้าของนายกสมาคมศิลปะการต่อสู้เขาก็ไม่แคร์อย่างนั้นเหรอ
“ผู้ชายแบบนี้…”
“หล่อชะมัด!”
จ้าวเย็นหรานมองถังเฉาด้วยสายตาหวานเยิ้ม ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร จู่ๆ หน้าก็แดงขึ้นมา
อาจารย์เปาก็อึ้งไปเช่นกัน แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโค้งให้ถังเฉาแล้วพูดว่า “ผมจะไปรายงานให้ครับ!”
ถังเฉามองไปที่จ้าวเย็นหราน “คุณล่ะ”
ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น สีหน้าของเธอจริงจังขึ้นมา “เรื่องที่ฉันจะพูดเป็นเรื่องสำคัญ หวังว่าคุณถังเฉาจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป”
เมื่อถังเฉาตอบตกลง จ้าวเย็นหรานจึงพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า
“วันนี้จ้าวเหล่าลิ่วไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เขาเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม!”
“มะเร็งปอดระยะลุกลามอย่างนั้นเหรอ”
เป็นไปตามคาด เมื่อได้ยินแววตาของถังเฉาก็นิ่งไป
แววตาของจ้าวเย็นหรานมีความอ้างว้างอยู่ไม่มากก็น้อย “หมอบอกเขาว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสองเดือน จากนิสัยของเขาแล้ว เขาจะต้องสะสางทุกอย่างเพื่อปูทางให้ฉัน”
แววตาของถังเฉานิ่งไป โลกใต้ดินของเมืองหมิงจูจะต้องระส่ำระสาย
เขารู้ดีว่าสิ่งที่จ้าวเย็นหรานพูดมีผลกระทบมากแค่ไหน
จ้าวเหล่าลิ่วเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม มีชีวิตอยู่ได้อีกสองเดือน ในช่วงเวลานี้ เขาต้องปูทางให้จ้าวเย็นหราน กำจัดคนที่ไม่ได้เรื่องออกจากตระกูลและทำลายตระกูลเย่
นั่นก็หมายความว่าอีกสองเดือนไม่เพียงแค่ตระกูลจ้าว ตระกูลเย่ที่จะเปิดศึกอย่างเต็มรูปแบบ ภายในตระกูลจ้าวก็ต้องมีการล้างบางเหมือนกัน
“คุณจะให้ผมช่วยยังไง”
เขามองเข้าไปในตาของจ้าวเย็นหราน
อย่ามองว่าจ้าวเย็นหรานให้ถังเฉาช่วย ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่เธอเลือกเอง
ความสัมพันธ์ของตระกูลจ้าวกับตระกูลเย่ มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่จ้าวเหล่าลิ่วถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลามแล้ว มันแตกสลายจนไม่มีชิ้นดี เสือสองตัวสู้กันจะต้องมีตัวที่ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไป แต่เพราะเธอเป็นผู้หญิง ทำให้เหล่าลูกชายนอกสมรสของจ้าวเหล่าลิ่วไม่พอใจ และจะต้องลงมือก่อนอย่างแน่นอน
อีกด้านคือพ่อที่เธอเกลียดชัง ส่วนอีกด้านคือพี่ชายที่เธอเคารพ ดูเหมือนว่าจะเลือกง่าย แต่มันต้องเป็นแบบนี้เหรอ
แววตาของจ้าวเย็นหรานเต็มไปด้วยความสับสน “ฉันไม่รู้…”
“งั้นรอให้คุณคิดเสร็จก่อนแล้วค่อยมาหาผม”
ถังเฉามองเธอด้วยแววตาราบเรียบ จากนั้นก็เรียกรถกลับไป
เขามองผ่านกระจกมองหลัง เห็นจ้าวเย็นหรานทรุดลงกับพื้น เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
เขาสามารถช่วยให้จ้าวเย็นหรานมีตำแหน่ง แต่เขาไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินความเป็นความตายของคนข้างกายเธอ
ขณะนั้น ถังเฉาได้รับสายของหลินเจิ้นสง
“เสี่ยวเฉา พรุ่งนี้กลับมาทานข้าวกับประธานหลินสิ พาลูกสาวมาด้วย ฉันยังไม่เคยอุ้มหลานสาวเลย”
ถังเฉาพยักหน้าอย่างปลาบปลื้ม “ได้ครับพ่อ”
เมื่อวางสายลง รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา เขายังไม่เคยพาหลินชิงเสว่กับถังเสี่ยวลี้ไปหาคนที่บ้านเลย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาบอกเรื่องนี้กับหลินชิงเสว่และถังเสี่ยวลี้ หลินชิงเสว่ดูลังเลเล็กน้อย และเอาแต่เงียบ
ส่วนถังเสี่ยวลี้ปรบมือด้วยความดีใจ “ดีจัง หนูจะได้เจอคุณปู่แล้ว”
“คุณเห็นไหม เสี่ยวลี้ตกลงแล้ว”
ถังเฉาหัวเราะแล้วพูดว่า “ลูกสะใภ้ขี้เหร่ยังไงก็ต้องเจอพ่อแม่สามี จะปิดยังไงก็ปิดไม่ได้หรอก”
คำพูดนี้กระแทกโดนหลินชิงเสว่เต็มๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วถลึงตาใส่ถังเฉา “นายว่าใครขี้เหร่!”
ถังเฉารีบยอมแพ้ “ผมขี้เหร่เองๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
หลินชิงเสว่ปล่อยถังเฉาไป เธอลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบตกลง “งั้นก็ได้”
เมื่อรู้ถึงความกังวลของหลินชิงเสว่ ถังเฉาจึงพูดปลอบประโลมว่า “วางใจเถอะ คุณกลัวพวกเขา พวกเขาก็กลัวคุณ คนที่จะต้องจับตาดูก็คือโจวเหม่ยหยูน”
หลินฉ่ายเวยเปลี่ยนแปลงไปมาก เหลือแค่โจวเหม่ยหยูนเท่านั้น
ก่อนหน้านี้หลินชิงเสว่ตัดสินความเป็นความตายของตระกูลหลิน ทำให้เธอทรมาน แต่ตอนนี้เธอมาเป็นสะใภ้ของตระกูลหลิน โจวเหม่ยหยูนจะต้องไม่ปลอดโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน
หลินชิงเสว่ส่ายหน้า “นายเข้าใจผิดแล้ว ที่ฉันกังวลไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ฉันกลัวว่าพวกเขาจะชอบฉันไหม”
“ฉันไม่ชอบพูดคุย แถมเอาอกเอาใจคนอื่นไม่เป็น หลังจากที่เจอนาย ฉันลองเปลี่ยนตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้… ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด…”
อีกคนเป็นคนที่เป็นกันเอง ส่วนอีกคนเป็นคนที่เงียบไม่พูดกับใคร คนทั่วไปมักจะเข้าหาคนประเภทแรก หลินชิงเสว่รู้นิสัยของตัวเองดี
แต่เธอยังไม่ทันได้พูดจบ แขนอันแข็งแกร่งก็รวบตัวเธอเข้าไปในอ้อมกอด
หลินชิงเสว่เบิกตาโพลง เธอพูดต่อไปไม่ได้อีก
“ผมรู้ว่าคุณกังวลแต่คุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย”
แววตาของถังเฉาอบอุ่น เขายิ้มออกมาจากใจ “ตอนที่ผมรักคุณในตอนแรกก็เพราะความเย็นชาของคุณ ในช่วงที่ผมเป็นทหารมาห้าปี ผมเอาแต่คิดถึงคนที่มีนิสัยเย็นชาที่ยอมมาช่วยคนแปลกหน้า แถมยังยอมสละสิ่งมีค่าของตัวเอง จิตใจของเธอจะดีขนาดไหน”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินชิงเสว่เบิกตาโต เธอมองถังเฉาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ผมค่อยๆ หลงเสน่ห์คุณ ดังนั้นคุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลง คุณที่เป็นแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว”
“ถังเฉา…”
หลินชิงเสว่หวั่นไหวกับคำพูดของถังเฉา เธอเป็นฝ่ายขยับเข้าไป จากนั้นจึงหลับตาลง ริมฝีปากแดงเผยอขึ้นน้อยๆ
ถังเฉากำลังจะจูบเธอ
“คิคิคิ”
“คุณพ่อคุณแม่ น่าอายนะ”
มีเสียงหัวเราะที่ไม่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้ดังขึ้นมา
ถังเสี่ยวลี้เอามือปิดตาแล้วมองผ่านร่องนิ้วมือ เธอมองถังเฉากับหลินชิงเสว่ที่กำลังจะจูบกัน เธอหัวเราะคิกคัก
หลินชิงเสว่รีบผลักถังเฉาออก เธอถลึงตาใส่ถังเฉาด้วยสีหน้าโกรธและอาย จากนั้นก็เดินขึ้นไปข้างบน
ถังเฉายิ้มแหยๆ เขาเดินมาหาถังเสี่ยวลี้แล้วลูบหัวเธอ “ยัยเด็กคนนี้ มาขัดเรื่องดีๆ ของพ่ออีกแล้ว”
ถังเสี่ยวลี้ยังคงเอามือปิดตาแล้วมุดเข้าไปในอ้อมกอดของถังเฉา จากนั้นก็หัวเราะคิกคักออกมา
ตกดึก ไฟที่บริษัทตระกูลซ่งยังคงสว่างไสว
ซ่งหรูอี้นั่งอย่างสง่างามอยู่ตรงข้ามชายหน้าตาหล่อเหลา
แต่ทว่าสีหน้าของชายคนนี้ดูไม่สู้ดี “หรูอี้ ฉันให้เธอทำลายน้องสาวของฉัน ไม่ใช่ช่วยให้เธอแข็งแกร่ง”
“ฉันรู้”
สีหน้าของซ่งหรูอี้เรียบเฉย โดยไม่สนใจคำพูดของเขา
“เธอดูสิว่าทำอะไรลงไป เธอทำโครงการก่อสร้างเมืองกับน้องสาวฉัน นี่เรียกว่าทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามหรือเปล่า”
“นี่อยู่ในแผนการของฉัน”
ซ่งหรูอี้ยกแก้วลายครามขึ้นมาจิบชา คืนนี้ยังอีกยาวนาน เธอมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ
หลินโป๋หลายเบิกตาโต “นี่อยู่ในแผนการของเธอเหรอ แผนการของเธอคืออะไรกันแน่”
ซ่งหรูอี้มองเขาอย่างดูหมิ่น จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณสบประมาทหลินชิงเสว่มากไปแล้ว คุณคิดว่าการที่ทำลายบริษัทลี่จิงกรุ๊ปแล้วจะทำให้เธอกลับไปเยี่ยนจิงด้วยความหดหู่อย่างนั้นเหรอ”
“คุณคิดผิดแล้ว ขืนทำอย่างนั้นก็จะยิ่งปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเธอขึ้นมาและจะหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้งหนึ่ง!”
หลินโป๋หลายขมวดคิ้ว “งั้นจะทำยังไง”
“จะทำลายในครั้งเดียวยังไม่พอ ต้องทำอีกสองถึงสามครั้ง ถึงจะทำให้สติของเธอแตกกระเจิงได้”
แววตาของซ่งหรูอี้สงบนิ่ง “เพราะฉะนั้นฉันจะหาคนมาร่วมมืออีก”
พูดจบเธอจึงปรบมือหนึ่งครั้ง “เข้ามา”
ประตูถูกเปิดออก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาถือพัดอยู่ในมือกำลังเดินเข้ามา เขาคือเหยียนเสี้ยงหม่าแห่งตระกูลเหยียน
เขานั่งลงตรงข้างซ่งหรูอี้อย่างสุขุม จากนั้นจึงหัวเราะแล้วมองไปที่หลินโป๋หลาย “จะทำให้ผู้หญิงสติแตก มีอยู่สามอย่าง คือ การงานตกต่ำ คนรักทรยศและชีวิตพังทลาย!”
“เราโจมตีมันทีละอย่าง รับรองเลยไม่ว่าใครก็ต้องอับอาย”
“พอดีกับที่สองสามวันมานี้ผมได้รวบรวมข้อมูล เจอเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง…”
เหยียนเสี้ยงหม่ามองไปยังหลินโป๋หลายและยิ้มมุมปาก