เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 288
หูเข่อเฟิงส่งพวกถังเฉาทั้งสามคนลงใต้ตึกด้วยตัวเอง ยกยิ้มมุมปากแล้วหันหลังกลับเข้าห้องทำงาน
เขานั่งลงบนตำแหน่งของท่านประธาน และหัวเราะออกมา
“เหอะๆๆ…..ฮ่าๆๆ!”
“คนโง่ เป็นคนโง่ที่แค่ชวนก็ตกหลุมจริงๆ!”
เสียงหัวเราะค่อยๆเปลี่ยนจากทุ้มต่ำดังขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของหูเข่อเฟิง หัวเราะจนน้ำตาเล็ด
ชายแก่ผมหงอกมองดูเงียบๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายหู น่าขำตรงไหนครับ?”
“ท่านหาน ท่านเป็นถึงเค่อชิงของสมาคมการค้าหงยิง คุณไม่เห็นความลับที่แฝงอยู่หรอครับ?”
หูเข่อเฟิงหัวเราะจนพอแล้ว หัวเราะอ่อนและมองไปยังชายแก่ผมหงอกคนนี้
ถ้าหากว่าหูอีซานและเจิงเทียนเสียงรู้ตัวตนของชายแก่คนนี้ จะต้องตกใจมากแน่ๆ เพราะตำแหน่งของเค่อชิงสูงส่งกว่าสมาชิกระดับสูงซะอีก
พวกเขาไปมาคนเดียว ไม่ถือเป็นสมาคมการค้าของใคร เพียงแค่ลงนามในสมาคมการค้าหงยิง ก็สามารถเพลิดเพลินกับสิทธิของสมาชิกทุกคน และจำนวนเค่อชิงก็น้อยมากๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเบื้องหลังมีอำนาจอย่างมาก สมาคมการค้าไม่มีทางยอมรับตำแหน่ง ‘เค่อชิง’ แน่นอน
“ท่านหาน เกมนี้ดูแล้วยุติธรรม แต่ว่าสำหรับผมแล้ว มีวิธีที่ชนะแน่นอน”
ใบหน้าหูเข่อเฟิงยิ้มร้ายกาจ “ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้จักผู้ถือหุ้นรุ่นที่หนึ่ง แต่ว่า คุณปู่ของผมสนิทกับพวกเขามาก ถ้าได้คุณปู่แนะนำ และผมอยากได้การสนับสนุนจากพวกเขานั้นง่ายดายอย่างมาก ถังเฉานั่น จะไม่ได้สักคะแนน!”
เมื่อคิดว่าหลังจากนี้ 12 วันจะได้ลี่จิงกรุ๊ปมาครอง สีหน้าของหูเข่อเฟิงก็ปรากฏความตื่นเต้นดีใจ
ท่านหานกลับยิ้มอ่อน “คุณชายหู มีความมั่นใจถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ว่าอย่าดูถูกใครก็ตาม นี่คือคำเตือนที่ผมให้กับคุณ”
“รู้แล้วครับท่านหาน”
หูเข่อเฟิงพูดอย่างนี้ แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วย
เขยแต่งเข้าบ้านคนหนึ่งที่เกาะผู้หญิงกิน จะสามารถทำอะไรได้?
…….
ถังเฉานั่งกลับเข้าไปในรถอีกครั้ง เจิงเทียนเสียงและหูอีซานตามหลังมา
เพียงแต่ว่า ใบหน้าของทั้งสองมีความกังวลอยู่ ในสายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ท่านประธานใหญ่ครับ ทำไมท่านถึงได้ตกลงเกมของเขาครับ ยึดไว้เลยก็ได้แล้วนี่ครับ?”
หูอีซานเองก็พูดว่า “ใช่แล้วครับ ท่านประธานใหญ่ ที่เขาเสนอเกมนี่ออกมา จะต้องมีผลดีต่อเขาแน่นอน ไม่แน่ อาจจะ…..”
ถังเฉาจะไม่เข้าใจความหมายของหูอีซานและเจิงเทียนเสียงได้ยังไงกัน แต่ว่า เขาก็ยังยิ้มเล็กน้อย “ที่พวกนายพูด ฉันเข้าใจทั้งนั้น”
“แล้วทำไมท่านยัง….”
เจิงเทียนเสียงและหูอีซานต่างก็งุนงง
ถังเฉาไม่ได้ตอบ เพียงมองออกไปยังท้องฟ้าที่ใกล้มืด ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“หูอีซาน นายน่าจะเกลียดหูเข่อเฟิงนั่นมากสินะ?”
“….”
เมื่อประโยคนี้ออกมา หูอีซานก็อึ้งไปสักพัก เจิงเทียนเสียงเองก็มองเขาด้วยสายตาแปลกใจ ไม่พูดอะไร
หูอีซานสีหน้าแปรเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นมืดมน
มองจากกระจกหลังที่มืดมัว เขาสามารถของเห็นดวงตาที่ลึกซึ้งของถังเฉากำลังจ้องมองเขาอยู่
เงียบไปนาน หูอีซานก็พยักหน้า
“เกลียดครับ”
“ฉันให้โอกาสนายแก้แค้นตระกูลหูได้ แต่ก่อนอื่น ฉันต้องรู้ก่อนว่าเพราะอะไร” ถังเฉาพูดนิ่งๆ
หูอี้ซานตกอยู่ในความเงียบ มีความสับสนในสายตา แต่เมื่อมองดูสายตาที่นิ่งเฉยของถังเฉา สุดท้ายของถอนหายใจเบาๆ
เขารู้ดีว่ามาถึงขั้นนี้เขาไม่พูดไม่ได้แล้ว
“คุณถังครับ ก่อนอื่นผมขอขอบคุณคุณ”
หูอีซานมองถังเฉาด้วยสายตาซับซ้อน “คุณเป็นเจ้านายที่เห็นใจลูกน้องมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ”
เขาจะดูไม่ออกได้ยังไง ที่ถังเฉาตอบตกลงการพนันของหูเข่อเฟิง ที่สำคัญก็เพราะเขา….ก็จริงที่ถังเฉาสามารถยึดมาได้เลย แต่ถ้าอย่างนั้น จุดจบของหูเข่อเฟิงก็แค่ถูกขับไล่ออกจากจวี้เฟิงกรุ๊ปแค่เพียงเท่านั้น
แต่ถังเฉากลับทำตามแผนการ ถ้าหากว่าชนะการพนัน ก็สามารถให้หูเข่อเฟิงชดใช้ด้วยเลือดเนื้อได้ นี่จะไม่ใช่การช่วยหูอีซานแก้แค้นได้ยังไงละ?
สายตาถังเฉาไม่ขยับ ไม่พูดอะไร ถือว่ายอมรับคำขอบคุณของหูอีซาน
หูอีซานมองดูบรรยากาศรอบด้านที่ผ่านไป ถอนหายใจทีหนึ่ง “อดีตของผมนั้นซับซ้อนมาก ดังนั้นผมจะสรุปสั้นๆ….พูดง่ายๆก็คือผมนับตระกูลหูเป็นบ้าน แค่ตระกูลหูกลับไม่นับผมเป็นคนกันเอง”
“หมายความว่าไง?” ถังเฉาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณถัง ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจดี….การเข้าบ้านตระกูลเศรษฐีนั้นไม่ง่าย ตั้งแต่นั้นญาติพี่น้องก็กลายเป็นคนแปลกหน้า”
สายตาหูอีซานซับซ้อน “การสั่งสอนของตระกูลหูของเราแตกต่างนิดหน่อย สนับสนุนให้พวกเราแย่งชิงกันตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าอะไรก็ต้องได้มาจากการพยายามของตัวเอง ถ้ารั้งท้าย ก็จะถูกตี….เรื่องแบบนี้ เล็กจนถึงเรื่องกินข้าว ใหญ่จนถึงเรื่องชีวิตการงาน ใช้ประโยชน์จากทุกสิ่ง”
กินข้าวตอนเย็น เด็กคนไหนวิ่งช้าก็จะไม่มีข้าวกิน ใครถูกรังแก ผู้ใหญ่ไม่ตำหนิคนที่ทำ แต่กลับยังชื่นชม ในขณะเดียวกันคนที่ถูกกระทำ ถูกโมโหว่าอ่อนแอ”
“รอบตัวของเด็กเป็นแบบนี้ ระหว่างผู้ใหญ่ ยิ่งกว่านี้อีก ทุกคนคิดหาวิธีที่จะกำจัดอีกฝ่าย เพื่อที่ต้องการที่จะได้รับทรัพย์สินที่มีจำกัดของตระกูล ทั้งตระกูลหูไม่มีคำว่าญาติพี่น้อง ระหว่างพี่น้องที่ทำร้ายกันเอง ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เห็นได้ปกติ”
“ผมในอดีต เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในตระกูล และก็เป็นคนที่ถูกรังแกหนักที่สุดคนหนึ่ง”
ฟังหูอีซานระบาย ถังเฉาและเจิงเทียนเสียงสีหน้าเย็นชา มีสีหน้าท้อ
หูอีซานเป็นถึงเศรษฐีอันดับหนึ่งของหมิงจู กลับมีอดีตแบบนี้
ในสมองของถังเฉามีคำหนึ่งโผล่ขึ้นมา : เธอเก่ง ก็เป็นการอวดเก่ง เธออ่อนแอ ก็เป็นความผิดอย่างหนึ่ง
“จากนั้นละ?” เจิงเทียนเสียงถาม
หูอีซานหัวเราะเยาะตัวเอง “คนที่อ่อนแอ แม้แต่สิทธิ์ในการเลือกชีวิตตัวเองก็ไม่มี ชีวิตของผม ถูกตระกูลใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ในตอนที่ได้แต่งและหย่าต้องไปตัวเปล่า แต่งเข้าตระกูลหนึ่งในตอนนั้น”
“ตอนนั้น ผมมีแฟนแล้ว เป็นครั้งแรกที่ต่อต้านการตัดสินใจของตระกูล แอบหนีออกจากเจียงเฉิงพร้อมกับเมียของผม แต่ว่าระหว่างทางถูกตระกูลหูไล่ฆ่า”
“จากนั้นละ?”
ถังเฉาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ในน้ำเสียง กลับมีความอำมหิตแฝงอยู่ด้วย
นี่เป็นครั้งแรก ที่เขามีความอาฆาตต่อตระกูลที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
หูอีซานสีหน้านิ่งเฉย “กำลังของผมคนเดียว จะเป็นคู่ต่อสู้ต่อตระกูลหูทั้งบ้านได้ยังไง? ไม่นานก็ถูกไล่เจอ ไม่เพียงแต่ผมที่บาดเจ็บ แต่เมียผมที่กำลังท้องเองก็บาดเจ็บ”
“โชคดีที่เด็กในท้องไม่ได้รับบาดเจ็บ ผมพยายามช่วยเมียผมออกมา หนีไปจนถึงเมืองหมิงจู เมียผมตายตอนที่คลอดลูกของพวกเรา ตั้งแต่นั้นมา ผมก็สาบานว่าจะต้องแก้แค้นตระกูลหู”
น้ำเสียงเขานิ่งสงบ แต่ถังเฉากลับรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่เก็บกดไว้อย่างมากมาย
นี่เป็นตระกูลที่โรคจิต ไม่เพียงแต่ควบคุมชีวิตของเขา ยังฆ่าภรรยาของเขา ก็ว่า ตระกูลหูเป็นตระกูลที่คลอดเขาเลี้ยงดูเขา แต่หูอีซานกลับเกลียดเข้ากระดูก
“และในตอนที่ลูกสาวผมอายุ 3 ขวบ ตระกูลหูก็หาผมเจออีกครั้ง ในขณะที่หนี ผมและลูกสาวผมพลัดหลงกัน จนถึงตอนนี้ ผมยังหาลูกสาวที่หายตัวไปของผมไม่เจอ ตอนนั้นธุรกิจของผมนั้นเติบโตขึ้น และถูกสมาคมการค้าหงยิงเล็งเห็น แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ความหวังที่ใหญ่ที่สุดของผมก็คือหาเธอเจอ”
พูดถึงนี่ดวงตาของหูอี้ซานก็แดงก่ำ น้ำเสียงก็มีความสั่นเครือ
เจิงเทียนเสียงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ตบบ่าของหูอีซาน แสดงถึงการปลอบใจ
แต่ถังเฉากลับถามขึ้นว่า “มีรูปถ่ายของลูกสาวนายมั้ย?”
ตามกำลังของเขาแล้ว ถ้าต้องการหาคนๆหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องยาก
“มีครับ”
หูอีซานล้วงเอารูปใบหนึ่งที่ยับเยิน “นี่คือลูกสาวของผมครับ”
ถังเฉารับมาดู รู้สึกว่าเด็กสาวในภาพคุ้นตามาก
นึกคิดดีๆ อยู่ๆก็พูดชื่อหนึ่งออกมา
“ซูเซี่ย?!”